เอือม ๑นาย โอลิเวอร์ จูเฟอร์ ชายชาวสวิส วัย 57 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกจับกุมตัวหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจของเชียงใหม่ตรวจสอบวิดีโอบันทึกเทปพบว่านายโอลิเวอร์เป็นผู้พ่นสีสเปรย์ใส่พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2549 ด้วยความเมา เขาจึงถูกศาลไทยตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี
ในวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา นายพิษณุ แทนบัวคลี่ ผู้พิพากษาในคดีที่นายโอลิเวอร์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตัดสินให้นายโอลิเวอร์ จูเฟอร์ จำคุกด้วยความผิด 5 กระทง โดยผู้ต้องหาจะได้รับโทษจำคุก 4 ปี ต่อความผิดที่ก่อขึ้น 5 กระทง รวมทั้งหมดเป็นเวลา 20 ปี แต่เนื่องจากนายโอลิเวอร์ยอมรับความผิดและรับสารภาพแต่โดยดี จึงได้รับการลดโทษเหลือเพียงการจำคุกเป็นเวลา 10 ปี
ทั้งนี้ นายโอลิเวอร์เป็นชาวต่างชาติคนแรกที่ถูกตัดสินจำคุกจากข้อหาหมิ่นพระบรมดชานุภาพ ในขณะที่ผู้สื่อข่าวต่างชาติรายงานว่านายโอลิเวอร์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในเวลา 1 เดือน แต่ดูเหมือนนายโอลิเวอร์จะรอการพระราชทานอภัยโทษหรือการถูกเนรเทศกลับประเทศมากกว่า
แม้คดีดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากผู้สื่อข่าวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ สำนักข่าวบีบีซี, เอพี, เอเอฟพี, รอยเตอร์ และซีเอ็นเอ็น แต่ไม่มีสื่อไทยรายงานข่าวนี้ หรือสื่อที่มีรายงานเกี่ยวกับคดีดังกล่าวก็เป็นสื่อภาษาอังกฤษ เช่น The Nation เท่านั้น
สื่อต่างประเทศหลายแห่งที่รายงานความคืบหน้าในคดีของนายโอลิเวอร์ จูเฟอร์ ได้กล่าวถึงกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทยว่าเป็นกฏหมายที่เข้มงวดทารุณและไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น แต่ประชาชนไทยไม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
เอือม ๒นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปิดเว็บไซต์ของกลุ่ม"คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ" ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังพบว่าเว็บไซต์ดังกล่าวมีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกทั้งยังเชื่อมต่อไปยังเว็บบอร์ดที่แสดงรายชื่อผู้ร่วมถอดถอน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกจากประธานองคมนตรี
เอือม ๓พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รก.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการและกลุ่มพิราบขาว 2006 ล่ารายชื่อประชาชน 1 แสนชื่อรวมทั้งเปิดเว็บไซต์ เพื่อถวายฎีกาถอดถอน พล.อ.เปรม ออกจากตำแหน่งองคมนตรี ว่า ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กล่าวว่า พฤติการณ์และการรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนประธานองคมนตรี เป็นการกระทำที่มิบังควรเพราะอาจเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท อีกทั้งยังก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีในหมู่คนไทย ซึ่งทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจึงขอความร่วมมือให้หลีกเลี่ยง และโดยมารยาทแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ
นายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ผู้ที่ดำเนินการเรื่องนี้ เป็นคนที่คิดไม่ดี และเป็นผู้ที่สร้างปัญหาให้เกิดความแตกร้าวในหมู่ประชาชนด้วยกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องเบื้องสูง ไม่ควรจะยุ่งและทำไม่ได้ด้วย เพราะเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ การกระทำเช่นนี้จะต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง จึงขอเตือนว่า ไม่ควรจะทำอย่างยิ่ง จะอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายคงไม่ได้ แต่ถ้ายังยืนยันที่จะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คงต้องมาพิจารณาเจตนากันอีกครั้ง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตักเตือนและปรามบุคคลที่ออกมารวบรวมรายชื่อ และวิพากษ์วิจารณ์ประธานองคมนตรี รวมถึงขอให้ตรวจสอบข้อความตามเว็บไซต์อย่างเข้มงวด เนื่องจากเข้าข่ายละเมิดประมวลกฎหมายอาญา ในประเด็นการละเมิดพระราชอำนาจ การก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท ความแตกแยกของคนในชาติ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการแต่งตั้งหรือการให้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ ดังนั้น แม้ผู้ที่เคลื่อนไหวจะอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพทางการเมืองที่สามารถทำได้ แต่ไม่สมควรนำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันเห็นว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการรักษาความสงบของบ้านเมืองกลับนิ่งเฉย ไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ถือว่าทำงานอ่อนแอ ล่าช้า ใช้ไม่ได้ จึงขอเรียกร้องไปยังบุคคล 2 กลุ่ม คือฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวล่ารายชื่อ ขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว และฝ่ายที่รักษากฎหมายต้องเร่งทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อไม่ให้การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น
เอือม ๔นายยศศักดิ์ โกไสยกานนท์ อายุ 38 ปี
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ตำแหน่งนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และอนุกรรมการพนักงานเจ้าหน้าที่ดำรงผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบหุ้นชิน เดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.ลาดพร้าว ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เปิดเว็บไซต์ tmctoday.com ในฐานทำให้ พล.อ.เปรม เสื่อมเสียชื่อเสียง ในการล่าชื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งและสั่งปิดเว็บภายใน 3 วัน ให้ค้นหาว่าใครเป็นเจ้าของเว็บไซต์นี้และติดตามตัวมาดำเนินคดี ไม่เช่นนั้นจะร้องทุกข์ไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอ ซึ่งต้องการที่จะลดกระแสกดดันในการเมืองของกลุ่มที่เคลื่อนไหวประท้วง ซึ่งหากมีหลอกลวงประชาชนสำเร็จจะเกิดผลกระทบกับ คมช
วันนี้ (3 เม.ย.) ที่รัฐสภา นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ นักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต แถลงว่า ได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ สน.ลาดพร้าว วานนี้ (2 เม.ย.) กรณีที่มีผู้เปิดเว็บไซด์ละเมิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ตามประมวลกฎหมายอาญา 2 มาตรา ได้แก่ มาตรา 112 และ 328 แต่ พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ระบุว่า ไม่ครอบคลุมมาตรา 112 ที่ว่าด้วยการดูหมิ่นกษัตริย์ พระราชวงศ์ หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ตนในฐานะอาจารย์สอนกฎหมายอาญา และคนสงขลา ไม่สบายใจ เพราะคนระดับ ผบช.น.ไม่น่าตอบสั้นๆ ง่ายๆ แบบนี้ เนื่องจากตำแหน่งองคมนตรี แม้ไม่ใช่ผู้สำเร็จราชการ แต่ก็เป็นตำแหน่งระดับสูงที่ทรงแต่งตั้ง อย่างไรก็ตาม หากตำรวจเห็นว่าไม่เข้าข่ายความผิดมาตรานี้ก็ไม่ติดใจ “อย่างไรก็ดี สำหรับความผิดตามมาตรา 328 เรื่องการดูหมิ่นโดยการโฆษณา แม้เมื่อ 3 ทุ่มวานนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวจะปิดตัวเอง แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ใส่ใจ ที่จะสั่งตรวจสอบเจ้าของเว็บไซต์ และผู้เผยแพร่เว็บไซต์ตลอดจนผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งหากภายในวันที่ 4 เมษายน ยังไม่มีการสั่งการใดๆ จะขอเข้าพบ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้บรรจุเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรีที่จะพิจารณาในที่ประชุมได้ แต่ถ้าไม่ว่างก็จะขอพบ นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวง แทน ทั้งนี้ ที่ต้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำ เพราะได้ยินหนาหูว่า ตำรวจไม่กล้าดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากกลัวการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง” นายยศศักดิ์ กล่าว
เอือม ๕นายณัฐฐวัฒน์ สุทธิโยธิน ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ประจำวันที่ 3 เม.ย. ว่า ครม.ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(สลธ.คมช.) ที่ได้เสนอขอเลื่อนขั้นเงินเดือนกรณีพิเศษ นอกเหนือจากโควต้าปกติ เกี่ยวกับเรื่องขั้นเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่กำลังจำนวน 423 นายซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยัน ซื่อสัตย์ อดทน จิตใจมุ่งมั่น ทุ่มเทสติปัญญาในการปฏิบัติราชการทั้งในธรรมดาและวันหยุด เพื่อความมั่นคงของประเทศมาโดยตลอด ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนผลการปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันและอดทน ทั้งนี้สำนักงานเลขาธิการคมช.เป็นส่วนรับผิดชอบของ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ คมช.เป็นผู้ดูแล
"ทาง คมช.จึงขอเสนอครม.ให้กรุณาพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากโควต้าปกติให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในคมช.ในอัตราร้อยละ 15 จากเดิมที่เคยได้รับแล้วร้อยละ 15 ก็รวมเป็นร้อยละ 30 อันนี้เป็นโควต้าพิเศษที่อนุมัติเพิ่มเติมให้ในวันนี้นะครับ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งสำหรับกำลังพลที่ปฏิบัติงาน"
เอือม ๖ไอซีทีปิดเว็บไซต์ยูทูบ โดยขึ้นข้อความว่า "ขออภัย เว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จำเป็นต้องปิดกั้นเว็บไซต์นี้
หากมีข้อคิดเห็นอื่นใด หรือพบเว็บไซต์อื่นที่ไม่เหมาะสม โปรดแจ้งผ่านดวงตาข้างบนหรือ
ict.cyberclean.org"
ที่มาของข่าว คัดจากประชาไท