วันพฤหัสบดี, มีนาคม 30, 2549

สงครามแย่งชิงความจงรักภักดี


เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สงสัยว่าจะเริ่ม "สงครามการแย่งชิงความจงรักภักดี" กันอีกรอบแล้วกระมัง

ลุงธิอัดทักษิณมาตลอดว่าจาบจ้วงเบื้องสูง
มาคราวนี้ลุงธิพลาดท่า เลยโดนคาราวานคนจนเอาคืนบ้าง
ที่พลอยซวยไปด้วย คือ นสพ. คมชัดลึก แถลงการณ์รับผิดก็แล้ว บก. ลาออกก็แล้ว งดจำหน่าย ๓ วันก็แล้ว แต่คาราวานคนจนก็ไม่ยอม แหม งานนี้เป็นโอกาสทองของเขานะครับ ที่จะสาวไปให้ถึงลุงธิ

ที่ผมเซ็งสุดๆ หนังสือ "ฟ้าเดียวกัน" ฉบับ "สถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย" โดนตำรวจสั่งเก็บเรียบร้อย
เข้าใจว่าคงเป็น "เหยื่อ" ให้กับสงครามบ้าๆบอๆนี้เท่านั้นกระมัง เล่มต่อไปก็คงกลับมาวางแผงได้ แต่ก็คงกลายเป็นที่จับตาของสันติบาลไทยมากขึ้น เฮ้อออออออ

อย่างไรก็ตาม ผมได้ติดต่อไปทางกอง บก ฟ้าเดียวกันแล้วว่า ผมสนับสนุนให้ฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอเพิกถอนคำสั่งของตำรวจที่สั่งยึดและห้ามจำหน่าย เพื่อให้เกิดเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า บ้านนี้เมืองนี้ ณ พ.ศ.นี้ จะยอมให้หนังสือแบบนี้อยู่ "บนดิน" ได้หรือไม่? นอกจากนี้อาจมีของแถมลากไปเล่นงานถึงกฎหมายไดโนเสาร์อย่าง พ.ร.บ.การพิมพ์ด้วย

เย็นนี้ ผมจะส่งประเด็นกฎหมายคร่าวๆที่ใช้โต้แย้งเพื่อขอเพิกถอนคำสั่งอัปลักษณ์นี้ให้แก่กอง บก.

ไอ้ข้อหาที่ชอบยัดเยียดให้แก่กันประเภทว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" "จาบจ้วงเบื้องสูง" "ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน" ในสไตล์ไทยๆ เลยกลายเป็นอาวุธที่ใช้ปิดปากความคิดประชาชน เป็นอาวุธที่ใช้ป้ายสีให้กัน

มีตัวอย่างที่น่าสนใจจากอังกฤษ

๔ มิ.ย.๒๕๔๕ มีการจัดพิธีกาญจนาภิเษกให้พระราชินี กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ได้ออกไปเดินขบวนประท้วงตามถนนเพื่อแสดงการต่อต้านต่างๆ มีการแต่งตัวล้อเลียน ตะโกนคำขวัญต่อต้านกษัตริย์ ปรากฏว่าตำรวจจับ ต่อมากลุ่มที่ต่อต้านเลยฟ้องศาล ศาลตัดสินเมื่อ ก.พ.๒๕๔๗ ว่าตำรวจผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ชุมนุมทั้ง ๒๓ คนคนละ ๓๕๐๐ ปอนด์

บรรยากาศแบบนี้ ผมตายไปแล้วคงยังไม่ได้เห็นกระมัง

ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ ผมเลยขอเอาของเก่ามาหากิน เป็นงานที่ผมเขียนไปลงที่โอเพ่นออนไลน์มาแล้วเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลองอ่านกันดูนะครับ

ขอทิ้งท้ายที่คุณธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการฟ้าเดียวกัน เคยให้สัมภาษณ์ศิลปวัฒนธรรมไว้ว่า

"ชื่อฟ้าเดียวกัน...มาจากโคลงของศรีปราชญ์ ได้แรงดลใจจากหนังสือ "เจ้า-ข้า ฟ้าเดียวกัน" ของ ส.ศิวรักษ์ อย่างแรกคือเราไม่อยากมีชื่อแบบว่า ชูธง อะไรอย่างนี้ และชื่อนี้มันตรงกับคอนเซ็ปต์ในแง่ความเท่าเทียมกันและความเชื่อมโยงกัน เป็นสากลด้วยว่าเราต่างอยู่ฟ้าเดียวกัน"

"แต่...คุณศักดิชัย บำรุงพงศ์ เคยพูดว่า อยู่ฟ้าเดียวกันก็จริง แต่อยู่คนละชั้น..."

...................


“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” อาวุธทรงพลังในหมู่ “ลูกแกะ”

สงครามแย่งชิง “ความจงรักภักดี” ระหว่างทักษิณกับสนธิ โดยมีข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เป็นอาวุธกำลังดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อนและยากจะคาดเดาว่าจะลงเอยเช่นใด จนกระทั่งมีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม เหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายไปตามลำดับ ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเช่นนี้ จึงน่าสนใจว่าที่เรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมีจริงหรือไม่ และมีลักษณะอย่างไร

-๑.-
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี


ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำที่ครบทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน องค์ประกอบภายนอกก็คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ส่วนองค์ประกอบภายในคือ ต้องมีเจตนา

มีถ้อยคำที่ควรพิจารณาอยู่ ๓ ถ้อยคำ ได้แก่ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย

อย่างไรจึงเรียก “หมิ่นประมาท”?
“หมิ่นประมาท” ตามมาตรา ๑๑๒ มีความหมายเดียวกับหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปตามมาตรา ๓๒๖ กล่าวคือ เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เมื่ออ่านมาตรา ๑๑๒ ประกอบกับมาตรา ๓๒๖ แล้ว การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หมายถึง การใส่ความพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สามโดยที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น นาย ก.เล่าให้นาย ข.ฟังถึงเรื่องพระมหากษัตริย์อันทำให้พระมหากษัตริย์เสียชื่อเสียง ไม่ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นจะจริงหรือเท็จก็ตาม ถ้าพระมหากษัตริย์เสียหาย ก็ถือว่านาย ก.หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้ว

อย่างไรจึงเรียก “ดูหมิ่น”?
“ดูหมิ่น” หมายถึงการแสดงเหยียดหยาม อาจกระทำทางกริยา เช่น ยกส้นเท้า ถ่มน้ำลาย หรือกระทำด้วยวาจา เช่น ด่าด้วยคำหยาบคาย

ส่วน “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” หมายถึง การแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต เช่น ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่จริงหรือก็ตาม

การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ

และเช่นกันไม่รวมถึงท่านผู้หญิง คุณหญิง ข้าราชบริพาร สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง…

โดยทั่วไป การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ผู้กระทำอาจยกเหตุตามมาตรา ๓๒๙ มาอ้างว่าตนกระทำได้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม หรือในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำหรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมหรือการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม

นอกจากนี้ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทอาจอ้างเหตุยกเว้นโทษได้ตามมาตรา ๓๓๐ หากพิสูจน์ได้ว่าที่หมิ่นประมาทไปนั้นเป็นความจริง แต่ห้ามพิสูจน์ในกรณีที่ข้อที่เป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์ไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

อย่างไรก็ตามคำพิพากษาฎีกายืนยันว่าเหตุให้หมิ่นประมาทได้ตามมาตรา ๓๒๙ และเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา ๓๓๐ ไม่นำมาใช้บังคับกับกรณีพระมหากษัตริย์ เพราะ พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ มีสถานะแตกต่างจากบุคคลทั่วไปซึ่งมาตรา ๑๑๒ มุ่งคุ้มครองเป็นพิเศษ ดังนั้นหากใครหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และจะอ้างต่อศาลว่าตนติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลก็ไม่รับฟัง

อนึ่ง แม้กฎหมายจะไม่อนุญาตให้อ้างได้ว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นไปเพื่อการวิจารณ์หรือติชมด้วยความเป็นธรรม แต่เราจะเห็นถึงน้ำพระทัยของในหลวงที่ทรงเปิดกว้างรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระองค์ ดังความบางตอนจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่ว่า

“แต่ว่าความจริงก็ต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน และก็ไม่กลัวว่าถ้าใครจะมาวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ตรงนั้นจะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน... ฉะนั้น ก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบอก เป็นเรื่องขอให้เขารู้ว่าวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ลงท้ายพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก ถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี”

-๒.-
ความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีในระบบกฎหมายไทยจริงหรือ ?

จากการสำรวจประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นๆ ไม่พบคำว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นความผิดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่แสดงถึงเดชานุภาพและบารมีของกษัตริย์ ที่พูดว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในปัจจุบันนั้นน่าจะเป็นการพูดที่ติดปากกันมากกว่า (ไม่ว่าจะติดมาเพราะจงใจหรือบังเอิญ)

ข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่ “ลูกแกะ” เสื้อเหลืองกับ “ลูกแกะ” รัฐบาลยัดเยียดให้แก่กันและกันนั้น เอาเข้าจริงก็คือข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามมาตรา ๑๑๒ นั่นเอง

สมควรกล่าวด้วยว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ย่อมกินความกว้างกว่า “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในการประชุมอนุกรรมการตรวจพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๔ หลวงประสาทศุภนิติได้ซักถามในที่ประชุมว่าหากจะใช้คำว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จะเป็นอย่างไร หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ ตอบว่า ปัจจุบันนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีข้อหาทางอาญา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีแต่ข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ดู www.midnightuniv.org/midnight2545/document9554.html)

กล่าวให้ถึงที่สุด ในระบบกฎหมายไทยปัจจุบันไม่มีความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีเพียงแต่ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ซึ่งโดยเนื้อหาก็เหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทคนธรรมดา จะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็ใช้นิยามเดียวกัน คือ “การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย” ที่แตกต่างกันก็มีสามประการ คือ หนึ่ง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาทคนธรรมดา สอง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้ตามมาตรา ๓๒๙ และมาตรา ๓๓๐ มาอ้างได้ และสาม ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิดเกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บุคคลที่ มาตรา ๑๑๒ ประสงค์จะคุ้มครอง คือ พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา ๓๒๖ เป็นความผิดเกี่ยวด้วยเสรีภาพและชื่อเสียง มุ่งคุ้มครองบุคคลธรรมดา

-๓-
ยุติการยัดเยียดข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กันเถิด

การฟ้องร้องโดยอ้างว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แท้จริงแล้วเป็นการฟ้องร้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ จึงต้องมาพิจารณากรณีฟ้องและขู่ว่าจะฟ้องทั้งหลายนั้นเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๑๑๒ หรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายแพทย์คนหนึ่งยกย่องโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคว่า ต่อไปนี้ชาวบ้านที่ถือบัตรทองไปโรงพยาบาลก็เสมือนนำธนบัตรมีพระบรมฉายาลักษณ์ติดหน้าผากไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์นำสติ๊กเกอร์พระราชดำรัสไปติดตามที่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ยินยอมให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบบัญชีโดยอ้างว่าจะเป็นการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างสนธิกับทักษิณ

วิญญูชนพึงตรึกตรองดูเถิดว่า…
กรณีเหล่านี้เป็นการใส่ความพระมหากษัตริย์ให้ผู้อื่นทราบอันทำให้พระมหากษัตริย์เสียหายอันถือเป็น “การหมิ่นประมาท” พระมหากษัตริย์หรือไม่
กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงเหยียดหยามทางกริยาหรือทางวาจาต่อพระมหากษัตริย์อันถือเป็น “การดูหมิ่น” พระมหากษัตริย์หรือไม่
กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายพระมหากษัตริย์อันถือเป็น “การแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์หรือไม่

ถ้าไม่เป็น แล้วที่ฟ้องร้องกันทั่วบ้านทั่วเมืองนี่คืออะไร?

ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการต่อสู้กันทางการเมืองและผลประโยชน์ โดยเอาข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มาเป็นอาวุธหรือเกราะกำบังทั้งนั้น การกล่าวอ้างลอยๆว่า “เอ็งกำลังจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะเว้ย” กลายเป็นเพียงการข่มขู่ แบล็คเมล์ หรือหยิบยกขึ้นอ้างเพื่อผลประโยชน์บางประการโดยปราศจากซึ่งฐานทางกฎหมาย

เช่นนี้แล้วนักฟ้องร้องและแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ทั้งหลายนั้นจะกล้าประกาศว่าข้าจงรักภักดียิ่งกว่าใครได้เต็มปากอีกหรือ?

เอาเข้าจริงคนที่ฟ้องร้องก็ไม่ได้หวังผลว่าจะต้องมีใครติดคุก แต่ขอเพียงปักชนักติดหลังให้ศัตรูว่าโดนแจ้งความ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

กล่าวได้ว่าสังคมไทยปัจจุบันแปรสภาพโทษทางกฎหมายของข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” (ภายใต้เสื้อคลุม “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”) ให้กลายเป็นโทษทางสังคม จะทำอย่างไรได้ก็บรรดา “ลูกแกะ” ช่างอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้เสียเหลือเกิน

ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งมีการฟ้องร้องข้อหานี้มากเท่าไร ยิ่งทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศมากเท่านั้น เพราะถ้าเราตีความในมุมกลับ หากมีการกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาก ก็หมายความว่า เดชานุภาพของพระมหากษัตริย์มีข้อบกพร่อง จึงมีคนหมิ่นบ่อยๆ มิพักต้องกล่าวถึงกรณีหากเป็นคดีความขึ้นในศาลซึ่งคู่ความอาจต้องให้การบางอย่างบางประการอันอาจกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นไปอีก

ความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของรัฐเป็นความจำเป็นที่กฎหมายในทุกประเทศต้องมีเพื่อเป็นการคุ้มครองสถาบัน อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศ กฎหมายไม่เปิดโอกาสให้มีการฟ้องว่าบุคคลหนึ่งหมิ่นประมาทประมุขของรัฐอย่างพร่ำเพรื่อ หากแต่เจ้าหน้าที่จะสอบถามไปที่สำนักพระราชวัง (กรณีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) หรือสำนักงานประธานาธิบดี (กรณีประธานาธิบดีเป็นประมุข) ว่าเห็นควรจะให้ฟ้องร้องหรือไม่

น่าคิดว่ากฎหมายไทยควรถึงเวลาทบทวนประเด็นดังกล่าวหรือยังและสมควรกำหนดให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นคนแจ้งความหรือฟ้องจะดีกว่าหรือไม่ การเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เดินไปแจ้งความแก่ตำรวจว่ามีคนหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้วตำรวจก็รับแจ้งความดำเนินคดีทุกครั้งไปนั้น ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

กองเชียร์นายกฯกลุ่มหนึ่งไปแจ้งความแก่ตำรวจว่านาย “สมาส” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายพล “จงเจริญ” ในฐานะกองเชียร์ของนาย “สมาส” ทนไม่ได้เลยต้องไปแจ้งความกลับว่านายกฯต่างหากที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภาพเช่นนี้ย่อมเป็นภาพที่ไม่น่าดู

ความจริงแล้ว กรณียัดเยียดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กันในสังคมไทย หากเจ้าหน้าที่มีดุลพินิจสักนิด ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นแต่ประการใดที่เจ้าหน้าที่จะต้องรับข้อหานั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณา

จากพระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ และไม่สนับสนุนให้มีการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์กันอย่างพร่ำเพรื่อ พระองค์ทรงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “...และมีแปลกๆ คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายเขาสอน สอนนายกฯ บอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็ขอสอนนายกฯ ใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน”

เช่นนี้แล้ว บรรดานักจงรักภักดีและหมู่ลูกแกะทั้งฟากเสื้อเหลืองและฟากรัฐบาลจะมิพึงสนองพระราชดำรัสหรอกหรือ

วันอังคาร, มีนาคม 28, 2549

ฝรั่งเศสก็ประท้วงจ้า


วันนี้ (๒๘ มี.ค.) ที่ฝรั่งเศส นักศึกษา รถไฟ รถเมล์ ขนส่งมวลชนทั้งหลายร่วมกันนัดหยุดงานและเดินขบวนประท้วงทั่วประเทศ

ไม่ใช่ร่วมมือกับพันธมิตรประชาชนเพื่อ “นายกฯพระราชทาน” หรอกนะครับ (บอกไว้ก่อน เดี๋ยวลุงธิรู้เข้าจะโยงไปหาทักษิณอีก ๕๕๕) แต่พวกเขาออกมาต่อต้านกฎหมายสัญญาจ้างแรงงานใหม่

กฎหมายใหม่นี้สร้างระบบการจ้างแรงงานแบบใหม่ขึ้น เรียกว่า Contrat première embauche (CPE) แปลเป็นไทยก็ประมาณ “สัญญาจ้างงานครั้งแรก” สัญญานี้ออกมาเพื่อมุ่งหมายใช้กับแรงงานใหม่อย่างเหล่าบัณฑิตที่พึ่งจบการศึกษา

เป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาต้นๆของฝรั่งเศส คือ การว่างงาน โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่ทั้งหลายจะประสบปัญหาดังกล่าวมาก เพราะ บริษัทต่างๆไม่นิยมจ้างเข้าทำงาน ด้วยเกรงว่าหากบริษัทไม่พอใจในฝีมือและต้องการเลิกจ้าง ทางบริษัทก็ต้องเสียค่าชดเชยการเลิกจ้าง สู้เอาตำแหน่งงานที่ว่างไปจ้างแรงงานที่มีประสบการณ์จะดีกว่า

รัฐบาลจึงเกิดแนวคิดสร้างสัญญาจ้างแรงงานแบบใหม่เพื่อจูงใจให้บริษัทรับแรงงานจบใหม่เข้าทำงาน สัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญอยู่ที่ว่าบริษัทที่สามารถเลิกจ้างบัณฑิตจบใหม่ได้หากสัญญาผ่านไปแล้ว ๒ ปี โดยที่บริษัทไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลการเลิกจ้างและจ่ายค่าชดเชย ทั้งนี้ให้ใช้บังคับเฉพาะสัญญาจ้างแรงงานในครั้งแรกเท่านั้น

รัฐบาลผลักดันร่างกฎหมายสัญญาจ้างแรงงานแบบใหม่นี้ด้วยความรวดเร็ว ปัจจุบันมีผลใช้บังคับเป็นที่เรียบร้อย แม้จะมีเสียงประท้วงจากนักศึกษาเป็นจำนวนมากก็ตาม

ล่าสุดนายกรัฐมนตรีโดมินิก เดอ วิลล์แป็ง ยืนยันว่าไม่มีการทบทวน ไม่มีการแก้ไข ไม่มีการต่อรองสัญญาดังกล่าว เขายืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นประโยชน์ต่อทั้งฝ่ายบริษัทและบัณฑิตจบใหม่ ฝ่ายบริษัทก็กล้าจ้างบัณฑิตไปทดลองงาน ฝ่ายบัณฑิตก็มีโอกาสเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น และหลักการที่ว่าผ่านไป ๒ ปีแล้วเลิกจ้างโดยไม่ต้องให้เหตุผลและค่าชดเชยนั้นก็ใช้เฉพาะกับสัญญาครั้งแรกเท่านั้น ไม่ได้ใช้ตลอดไป

นักศึกษาเห็นแบบนี้เข้าก็ไม่ยอม เพราะกฎหมายฉบับนี้สั่นคลอนความมั่นคงในการทำงานของพวกเขา เลยเดินขบวนประท้วงกันยกใหญ่ สองสัปดาห์ก่อน นักศึกษาที่ปารีสประท้วงหนัก ยึดมหาวิทยาลัย ปิดถนน บ้างก็มีทำลายข้าวของ

และเป็นธรรมดาของการชุมนุมในทุกที่ เมื่อมีการรวมตัวฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ชุมนุมเช่นกัน นักศึกษาอีกส่วนที่ไม่พอใจชุมนุมแบบสันติวิธีด้วยการใช้สัญลักษณ์ถือดอกไม้สีขาว ใช้ผ้าสีขาวพันแขนหรือมือ พวกเขาบอกว่าการชุมนุมควรไปทำตามถนน อย่ามาทำที่มหาวิทยาลัย พวกเขาต้องการเรียนหนังสือ

นี่แหละครับ บรรยากาศประชาธิปไตย

ขณะที่ผมเขียนอยู่ ก็ได้ยินเสียงกลอง เสียงโห่ร้องมาแล้วครับ ขบวนเริ่มเดิน ล่าสุด ๑๖.๐๐ น. ตัวเลขของแกนนำผู้ชุมนุมวันนี้ที่ Nantes เมืองที่ผมอยู่ มีผู้เข้าร่วมประมาณระหว่าง ๔๒,๐๐๐ ถึง ๖๐,๐๐๐ คน ที่ปารีสอีกร่วม ๗๐๐,๐๐๐ คน รวมทั้งประเทศกว่า ๒ ล้านคน (แต่ทางตำรวจบอกแค่ ๕ แสนกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าใครมั่ว แหม เหมือนเมืองไทยเลยนิ)

ก่อนจะจบ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการชุมนุมของฝรั่งเศสอยู่สองข้อ

ข้อแรก การชุมนุมใหญ่ๆมักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพราะอากาศเริ่มดี ความหนาวเริ่มจากไป แสงแดดเริ่มมาเยือน ลองมองย้อนกลับไปการชุมนุมและการนัดหยุดงานครั้งสำคัญที่ส่งแรงสะเทือนการเมืองฝรั่งเศสมักจะเกิดในช่วงนี้

ข้อสอง คนฝรั่งเศสชินกับการชุมนุมมาก แน่นอน ต้องเดือดร้อนจากการปิดถนน ไม่มีขนส่งมวลชนให้ใช้ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่านี่เป็นเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย หลักพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Solidarité) ทำให้ชาวฝรั่งเศสไม่ตำหนิการชุมนุมเท่าไรนัก เพราะ ของแบบนี้ ทีใครทีมัน บางครั้งอาจกลายเป็นเราที่เดือดร้อนต้องมาชุมนุมบางคราวอาจเป็นคนอื่นที่ต้องชุมนุม สลับกันเข้าอกเข้าใจกันไป

นอกจากนี้ ภาคประชาชนที่นี่แข็งแกร่งมาก การจัดตั้งเป็นมืออาชีพ ระดมคนได้เยอะ กดดันได้อย่างมีพลัง แล้วการชุมนุมของพวกเขาจะชัดเจนมากว่าเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ของตนเอง เพราะกลุ่มต่างๆเหล่านี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องประโยชน์ตนเอง เรียกร้องสิทธิที่ควรได้ ต่อรองกับฝ่ายการเมือง การชุมนุมเปิดเผยตรงไปตรงมาเลยว่าทำเพื่อประโยชน์ตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องอ้าง “ชาติ”

ข้อนี้แตกต่างกับบ้านเราชัดเจน การชุมนุมบ้านเราจะดูดี ดูชอบธรรม ต้องอ้าง “ชาติ” เสมอ สังเกตจากการชุมนุมของสมาคมน้ำตาล สมาคมข้าว ชาวไร่ชาวนา ที่มาเรียกร้องผลประโยชน์ตนเอง คนไทยมักไม่พอใจหาว่ามาเกะกะถนน ทำรถติด เอาแต่ประโยชน์ตนเอง ทำให้คนอื่นลำบาก แต่ถ้ามาในนาม “กู้ชาติ” หรือ “ช่วยชาติ” ก็ดูเหมือนว่าการปิดถนนจะมีเหตุผลมากขึ้น

ที่สำคัญ การชุมนุมที่นี่ ไม่จำเป็นต้องง้อ “ฟ้าประทาน” ครับพี่น้อง....

วันจันทร์, มีนาคม 27, 2549

Love Will Keep Us Alive - The Eagles

I was standing
All alone against the world outside
You were searching for a place to hide

Lost and lonely
Now you’ve given me the will to survive
When we’re hungry...love will keep us alive

Don’t you worry
Sometimes you’ve just gotta let it ride
The world is changing
Right before your eyes
Now I’ve found you
There’s no more emptiness inside
When we’re hungry...love will keep us alive

I would die for you
Climb the highest mountain
Baby, there’s nothing I wouldn’t do

I was standing
All alone against the world outside
You were searching for a place to hide

Lost and lonely
Now you’ve given me the will to survive
When we’re hungry...love will keep us alive
When we’re hungry...love will keep us alive
When we’re hungry...love will keep us alive

...........

เห็นสถานการณ์การเมืองไทยกำลังตึงเครียด พักรบกันสักนิด หันมาฟังเพลงเพราะๆเพลงนี้ของพญาอินทรีกันหน่อยแล้วกัน

อย่าลืมนะครับ

เมื่อไรที่เราหิว ความรักจะช่วยให้เรามีชีวิตต่อไป

วันเสาร์, มีนาคม 25, 2549

บล็อกแฮงค์

บล็อกผมมีอาการเมาหมัด

สงสัยติดมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ "นายกฯพระราชทาน"

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 23, 2549

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ "นายกฯพระราชทาน"?

แว่วๆมาว่า หลังพ้นเส้นตาย ๔๘ ชั่วโมงคืนนี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ "นายกฯพระราชทาน" เอ้ย... ไม่ใช่ๆ เพื่อประชาธิปไตย จะประกาศจุดยืนตนเองอย่างเป็นทางการแล้วว่า จะเอานายกฯพระราชทาน

เขาว่ากันว่า เส้นตาย ๔๘ ชั่วโมงที่ยื่นให้ทักษิณ แต่เอาเข้าจริงกลุ่มพันธมิตรฯเองนั่นแหละจะใช้เวลานี้ไปตกลงกันให้ได้เสียทีว่าจะเอาอย่างไรต่อ เพราะ วันเลือกตั้งก็ใกล้เข้ามา มุขปลุกมวลชนก็เริ่มหมด คนเริ่มบ่นมากขึ้น กระแสนายกฯพระราชทานมาตรา ๗ ก็แรงขึ่นๆ

ก็ดีเหมือนกันครับ จะได้ชัดเจนกันไปเลย

ไมใช่พิภพ สุริยะใส บอกไม่เอานายกฯพระราชทาน แต่สนธิ จำลอง วุฒิพงษ์ ฯลฯ ประกาศปาวๆกลางเวทีว่าเอาแน่ๆ สื่อสัมภาษณ์สุริยะใสว่ากลุ่มจะเอาย่างไร ก็ลื่นไหลไปเรื่อย ไม่กล้าฟันธง

ผมหวังว่ากลุ่มพันธมิตรคงตกลงกันให้ชัดเจนว่าจะเอาย่างไรต่อไป จะให้ทักษิณลาออก? จะให้เว้นวรรค? จะเอานายกฯพระราชทาน? จะให้ไทยรักไทยส่งคนอื่นลงแทน? จะให้เลื่อนวันเลือกตั้งแล้วให้ฝ่ายค้านกลับมาลงสมัคร? จะให้ทักษิณเลิกเล่นการเมืองถาวร? จะเนรเทศทักษิณ? จะยึดทรัพย์ทักษิณ? ฯลฯ

ว่ามาให้ชัด เพราะเห็นบนเวทีนี่พูดไปเรื่อย มีทุกแนวทาง สงสัยกลอนพาไป หรือเอาเสียงเฮ ปลุกระดมคนฟังก็ไม่รู้

บางคนจะเอาให้ตาย บางคนขอนิ่มๆให้ออกไปก็พอ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ให้การอภิปรายเป็นไปในทางเดียวกัน น่าสงสัยว่าคงคุมคนอภิปรายไม่อยู่ แต่ละคนก็ใช่ย่อยเสียที่ไหน

เอาเข้าจริงกลุ่มพันธมิตรคงต้องการแนวร่วมไว้มากๆก่อน "ร่วม" ในที่นี้ หมายถึง ร่วมกันเอาทักษิณออก ส่วนอย่างไรต่อไป ไม่เคยตกลงกันได้ชัดเจน (หรือรู้ว่าตกลงกันไม่ได้อยู่แล้วหว่า เพราะที่มาแตกต่างกันยิ่งกว่าแม่น้ำร้อยสาย)

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้ากลุ่มพันธมิตรฯจะเอาแนวทางนายกฯพระราชทานจริง พิภพ ธงไชย ผู้ประกาศชัดเจนว่าไม่เอานายกฯพระราชทาน (ลองไปอ่านตามสื่อได้ หรือไม่ก็ในบทสัมภาษณ์ลงโอเพ่นออนไลน์) สุริยะใส กตะศิลา ซึ่งพูดออกสื่อหลายครั้งว่าเขาไม่เอานายกฯพระราชทาน สนนท.ภายใต้การนำของกชวรรณ ชัยบุตร ซึ่งประกาศชัดเจนเช่นกันว่าไม่เอานายกฯแต่งตั้ง ตลอดจนคนอื่นๆที่เข้าไปร่วมขบวนแต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว

ทั้งหมดนี้ ควรถอนตัวออกมารณรงค์ตามวิถีทางของตนเองดีกว่า

เพราะ แนวทางนายกฯพระราชทานถือเป็นแนวทางพื้นฐานที่จะตอบคำถามว่าถ้าทักษิณไปจะทำอย่างไรต่อ เมื่อมันไปขัดกับเจตจำนงของเขาเหล่านี้แล้ว ผมเห็นว่าการถอนตัวออกมาน่าจะเป็นการแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย จะดันทุรังอยู่ต่อไปให้ละอายแก่ใจตนเองได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม การเข้าไปร่วมขบวนครั้งนี้ของกลุ่มพิภพและสุริยะใส อย่างน้อยก็มีข้อดีอยู่บ้างที่ไปช่วยถ่วงดุล "ความบ้าพลัง" ของสนธิ จำลอง มนูญกฤต เอกยุทธ ลองคิดดูว่าถ้าไม่เข้าไปร่วม สงสัยการชุมนุมแบบสงบคงไปได้ไม่กี่วันแล้วหันมาเล่นบทเพื่อเป้าหมายไม่เลือกวิธีการเป็นแน่

บางคนอาจสงสัยว่าผมเป็นอะไรกันนักกันหนากับเรื่องนายกฯพระราชทาน ทำไมต้องยึดติดอะไรอย่างนั้น บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ ทำไมไม่ยอมรี่ตาสักข้างหนึ่งบ้าง

ความข้อนี้ ผมขออธิบายจุดยืนของผมด้วยบทความของธงชัย วินิจจะกูล ในประชาไทย ล่าสุด คงจะให้คำตอบที่ชัดเจนhttp://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=3095&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai

ผมกำลังเขียนบทความตอนใหม่ เรื่องมาตรา ๗ เหมือนเดิม เป็นการขยายความเพิ่มเติม หลังจากอ่านบทความของนักรัฐศาสตร์ที่เป็นแกนนำถวายฎีกาอย่างชัยอนันต์ ปราโมทย์ และธีรภัทร รวมถึงแถลงการณ์ของสภาทนายความแล้ว ก็คิดว่าต้องเขียนชี้แจงกันอีกรอบ

โปรดรอติดตามชม

วันอังคาร, มีนาคม 21, 2549

เกี่ยวกับชุมนุมกู้ชาติ

(๑)
ไม่น่าเชื่อ เวทีชุมนุมกู้ชาติ มีทั้งเพลง "คนกับควาย" เพลง "เซิ้งอีสาน" เพลง "แองแตร์นาซิยงนาล" ซึ่งมีเนื้อหาซ้ายๆ และเป็นเพลงแนวคอมมิวนิสต์ พร้อมกับ เพลง "ความฝันอันสูงสุด" เพลง "หนักแผ่นดิน" ซึ่งมีเนื้อหาขวาๆ และเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ช่วงก่อน ๖ ตุลา ๑๙

(๒)
เวทีชุมนุมคราวนี้ หลากหลายมาก ไล่ตั้งแต่ เพลงลูกทุ่ง เพลงท้องถิ่น เพลงเพื่อชีวิต เพลงลำตัด งิ้ว หรือกระทั่ง ดีเจซี้ดยังมาเปิดแผ่นให้ลุงๆป้าๆได้โยกย้ายแก้ง่วง

(๓)
ล่าสุด ต้องใช้คำว่า "...ทำไปได้" สำหรับกรณีลุงธิกล่าวหาว่าเหตุการณ์ทุบพระพรหมเอราวัณ มีทักษิณอยู่เบื้องหลัง ทำไปตามความเชื่อไสยศาสตร์ มีหมอดูเขมรแนะนำมา เฮ้อ สงสัยต่อไป ทักษิณ ตด ลุงธิก็คงว่า ทักษิณเลว ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือ ทักษิณ หายใจเข้า ลุงธิก็คงว่า แย่งอากาศคนอื่นหายใจ หรือ ทักษิณก้าวเท้าซ้ายก่อน ก็อาจว่า หัวเอียงซ้ายเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ หรือ ทักษิณก้าวเท้าขวา ก็อาจว่า หัวเอียงขวา เผด็จการขวาตกขอบ

วันอังคาร, มีนาคม 14, 2549

มะโหนก...มาแว้ววว

พึ่งกลับมาถึงห้อง เปิดเอเอสทีวีในบัดดล

เอ๊ะ เห็นคนหน้าตาคุ้นๆ อ่อ นายพลมะโหนกนี่เอง

ในที่สุดเขาก็ออกมาแล้ว หลังจากมีเสียงตามสายมามากพอสมควรว่ามะโหนกอยู่เบื้องหลัง

ใครที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทย คงรู้กันดีว่ามะโหนกผู้นี้ทำได้ทุกอย่าง

นั่งฟังมะโหนกอภิปราย โอ้ อึ้ง ทึ่ง เสียว เขาจะเอาทักษิณถึงตาย จะเอาถึงชีวิต แถมยุยงให้ทหารรัฐประหาร

มีข้อสังเกต ๒ ข้อ

ข้อแรก

การชุมนุมคืนนี้ เครือข่ายพันธมิตรเริ่มเผยจุดยืนออกมาเรื่อยๆ ว่าจะเอานายกฯพระราชทาน ผมไม่แน่ใจว่าเพราะคุมคนขึ้นเวทีให้อภิปรายไปในแนวทางเดียวกันไม่ได้หรืออย่างไร หรือว่าต้องการนายกฯพระราชทานจริงๆกันแน่

แต่พอมะโหนก, พิเชษฐ มือขวามะโหนก, เจิม รู้ทัน ขึ้นเวที มาเป็นชุดเลยครับ แอบอิงสถาบันกษัตริย์จ๋า จะเอามาตรา ๗ จะเอานายกฯพระราชทาน เรียกร้องให้ทหารรัฐประหาร มะโหนกยังขู่ว่าไม่รับประกันว่าทักษิณจะเป็นหรือตาย

เอากันขนาดนี้เลยครับพี่น้อง

ผมหวังไว้กับสุริยะใส และพิภพ ที่หัวก้าวหน้าที่สุดในกลุ่มพันธมิตร ช่วยไปหยุดแนวทางแบบนี้ด้วยเถอะครับ

ข้อ ๒

กลุ่มผู้ชุมนุมเผยเป้าหมายที่แท้จริงออกมาแล้ว เป็นไปดังที่ผมเคยสงสัย จริงๆ เขาไม่ได้ต้องการให้ทักษิณลาออก ไม่ต้องการให้ทักษิณเว้นวรรค ไม่ต้องการให้ทักษิณแก้รัฐธรรมนูญ แต่ต้องการถีบทักษิณให้ออกจากการเมืองไทยไปเลย

สังเกตได้จาก ...
พอยุบสภา ก็ไม่เอา เปลี่ยนมาเรียกร้องให้ลาออก
พอมีสัญญาณว่าอาจจะลาออก ก็ไม่เอา เปลี่ยนมาเรียกร้องให้เว้นวรรค
พอมีสัญญาณว่าอาจจะเว้นวรรค ก็ไม่เอา เปลี่ยนมาเรียกร้องให้เลิกเล่นการเมือง แถมจะให้ยึดทรัพย์ด้วย บางคนเอาถึงขั้นเนรเทศ

ที่สำคัญสิ่งที่ผู้อภิปรายแต่ละคนเสนอนั้นเป็นแนวทางนอกระบบกฎหมายทั้งสิ้น จะยึดทรัพย์บ้าง จะเอารัฐประหารบ้าง จะเอานายกฯพระราชทานบ้าง ทั้งหลายเหล่านี้ ก็เพื่อต้องการปลิดชีวิตทางการเมืองของทักษิณ โดยไม่สนใจว่าจะทำด้วยวิธีการใด

ถ้าเชื่อเรื่องเวรกรรม สงสัยเวรกรรมจากการฆ่าตัดตอนคงกำลังย้อนมาเล่นงานทักษิณ

วันอาทิตย์, มีนาคม 12, 2549

ความเห็นของวรเจตน์ต่อกรณีมาตรา ๗ และนายกฯพระราชทาน

ไทยโพสต์สัมภาษณ์ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. ลงแทบลอยด์ ฉบับวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙

วรเจตน์เป็นคนอยุธยา จบมัธยมปลายจากเตรียมอุดมศึกษา เข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ มธ.ปี ๒๕๓๐ จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง และเป็นที่หนึ่งของรุ่น (สมัยนั้นเกียรตินิยมอันดับ ๑ หาไม่มีในคณะนิติศาสตร์ มธ.) จากนั้นสอบชิงทุนอานันทมหิดลได้ ไปศึกษาต่อปริญญาโทและเอกทางกฎหมายมหาชน ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เช่นเคย วรเจตน์ได้เกียรตินิยมสูงสุด วิทยานิพนธ์เรื่องสัญญาทางปกครองของเขาได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือ

วรเจตน์กลับมาสอนที่คณะนิติศาสตร์ มธ. ตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ จนถึงปัจจุบัน ในวิชากฎหมายปกครอง วิชานิติปรัชญา และวิชาการใช้และการตีความกฎหมาย

ใช้เวลาไม่กี่ปี วรเจตน์ก็ได้การยอมรับจากวงวิชาการนิติศาสตร์ ความเห็นทางกฎหมายของเขาแหลมคม และมั่นคงในจุดยืนเสมอมา ด้วยท่าทีนักวิชาการขนานแท้ โต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล อย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด นักวิชาการกฎหมายบางคนที่ตั้งตนเป็นกูรูจึงไม่นิยมวรเจตน์

ทุกวันนี้เขายังคงก้าวเดินในเส้นทางของเขาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ความเห็นทางกฎหมายของเขามิใช่ความเห็นรายวัน ประเภทนักข่าวถามอะไรก็ตอบได้หมด ประเภทถามแล้วใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ตอบได้หมด หากเป็นความเห็นที่ผ่านการคิดจนตกผลึก

ความเห็นของเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ไม่ใช่เป็นความเห็นที่มีธงคำตอบทางการเมืองไว้ก่อน ดังที่เราเห็นทุกวันนี้ในกรณีการพยายามหาเหลี่ยมมุมทางกฎหมายเพื่อล้มทักษิณ

เขาไม่เคยวิ่งหาสื่อหรือนัดสื่อมาฟังเขาพูด หากเป็นสื่อที่วิ่งเข้าหาเขาเอง เพราะรู้ดีว่าความเห็นของเขาคมคายเช่นใด ถ้าผมจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่สามที่แท็บลอยด์ไทยโพสต์ไปสัมภาษณ์วรเจตน์

ผมเคารพและนับถือวรเจตน์ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้ผมเท่านั้น หากผมยังเคารพในวัตรปฏิบัติของเขาอีกด้วย

หากท่านเกรงว่าผมอาจเชิดชูพวกเดียวกันเอง ก็ขอให้อ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ดู

ลองเข้าไปอ่านกันดูนะครับ อาจเข้าใจนักกฎหมายสำนักท่าพระจันทร์กันมากขึ้น และจะรู้ว่าอาจารย์สำนักนี้มีหลายแบบหลายบุคลิกภาพ หาเป็นดังที่ชาวบ้านตั้งข้อรังเกียจเสมอไปไม่

...............

นายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่มาตรา 7

"มันขัดกับรัฐธรรมนูญ ยกมาตรา 7 อยู่เหนือกว่าบทบัญญัติทุกมาตราในรัฐธรรมนูญ เป็นไปได้ยังไง... ถ้าจะอ้างก็ต้องอ้างอย่างเดียวว่าขอพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ในยามวิกฤติ แล้วขอนายกฯ พระราชทาน ซึ่งต้องปรากฏว่ามันเกิดวิกฤติแล้ว"

อ่านต่อที่ http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=12/Mar/2549&news_id=121448&cat_id=220100

...........

ต้องยึดหลักกฎหมาย

"ผมให้สัมภาษณ์ไปก็โดนเลย ว่าไปเข้าข้างรัฐบาลหรือเปล่า ต้องระวัง และผมห่วงเหลือเกินพวก Ultra Royalist-ผู้เกินกว่าราชา คือพยายามที่จะหันกลับไปเอาอันเดิม อะไรที่เป็นอำนาจพระมหากษัตริย์ ดีหมด ให้หมด อันนี้ผมไม่ได้แปลเอง เข้าใจว่าท่านปรีดีแปล Ultra Royalist ผู้เกินกว่าราชา"

อ่านต่อที่ http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=12/Mar/2549&news_id=121449&cat_id=220100

..............

ตอนนี้เท่าที่ผมนับๆดู อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ.ที่ออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะว่า ไม่เอามาตรา ๗ ไม่เอานายกฯพระราชทาน มีอยู่สองคนแล้ว คือวรเจตน์กับผม และเข้าใจว่ายังมีอยู่อีกหลายคนที่คิดเห็นไปในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ไม่ได้แสดงความเห็นต่อสาธารณะ ดังนั้น คำกล่าวหาที่ว่า อาจารย์กฎหมายสำนักท่าพระจันทร์ไฉนมาฉีกรัฐธรรมนูญเสียเอง จึงไม่เป็นความจริงเสียทีเดียว

วันเสาร์, มีนาคม 11, 2549

คิดถึง... มอลลี่

ถนนข้าวสารเป็นย่านหนึ่งที่ผมมักไปเตร็ดเตร่เมื่อยามได้กลับไปเยี่ยมเมืองไทย เรียกได้ว่า หากตะวันชิงพลบ ใครอยากพบผม ก็อาจตามหาได้ที่ย่านนี้

เมื่อก่อน ถนนข้าวสารเป็นข้าวสารให้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร้านรวงต่างๆจับกลุ่มลูกค้าฝรั่งเท่านั้น จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มหาอำนาจอย่างเครือบัดดี้ของคุณไทฟ้าและเพื่อนๆก็เปิดร้านใหม่ๆจับกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น จากเดิมที่มีซูซี่เป็นหัวหอก (ซึ่งแรกๆก็มีฝรั่งเยอะอยู่) ก็ขยายมาออสติน, เดอะ คลับ, บัดดี้ ล็อดจ์, ต้มยำกุ้ง, บริค บาร์, มอลลี่ และล่าสุดซินนามอน

แต่ละร้านของเครือบัดดี้จะมีธีมที่จับกลุ่มลูกค้าหลากหลายเป้าหมายแบบครบวงจร
ซูซี่ก็เน้นแดนซ์กระจาย
เดอะ คลับ ด้วยเหตุที่มีพื้นที่กว้างขวาง หลังๆเลยปรับร้านไว้รองรับคอนเสิร์ต
ออสติน ตอนนี้ปรับโฉมเน้นเพลงเรโทรรุ่นเซเวนตี้
ต้มยำกุ้ง ก็เน้นคนมานั่งกินข้าว คุยกัน
บัดดี้ ล็อดจ์ เน้นกินข้าว และมีทีเด็ดไว้ให้คนติดลมหลังตี ๑ แอบมานั่งกินเหล้า กินเบียร์ต่อ เขาจะไม่ยกมาให้เป็นขวดๆ แต่แอบเทเครื่องดื่มใส่แก้วมาให้ เพราะกลัวตำรวจซิว
บริค บาร์ ก็เป็นแนวสกา เด็กแนวแดนซ์กระจาย หลังๆกลัวคนเข้าไปตีมึน เต้นฟรี เลยขายบัตรเข้าทุกศุกร์ เสาร์
มอลลี่ ก็เล่นสด ชิลล์ ชิลล์ มีทั้งเพลงใหม่และเพลงเก่าแบบ พงษ์พัฒน์ ไมโคร นูโว บิลลี่ อัสนี วสันต์
ซินนามอน แบ่งเป็นโซน นั่งชิลล์ฟังเพลง กับฮิปฮอป

สมัยเป็นนักศึกษา ผมไม่ชอบเที่ยวเส้นนี้เท่าไร เพราะมันยกหางฝรั่งเกินไปหน่อย ส่วนใหญ่กินเหล้าเส้นพระอาทิตย์ ท่าอยากมันส์ๆ ชมสาว จับสาว ผมก็จะไปเส้นทองหล่อหรือาร์ซีเอ

แต่พอเริ่มวัยทำงาน ผมก็กลับลำมาเที่ยวเส้นข้าวสาร ด้วยเหตุที่ว่าใกล้ที่ทำงาน กลับบ้านสะดวก นั่งแท็กซี่ ๑๐๐ บาทถึงบ้าน และเริ่มมีสาวๆสวยๆหลุดรอดเข้ามาบ้าง จริงอยู่คงไม่งามงอนเทียบเท่าทองหล่อหรือเอกมัย แต่ผมว่าก็ดูดีตามวัยของผม แถมเหล้าและมิกเซอร์ก็ถูกกว่ากันเยอะ

ร้านที่ผมไปนั่งประจำ คือ มอลลี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปติดใจอะไรนักหนา สาวก็มีบ้าง ไม่มีบ้างแล้วแต่วัน เพลงก็ซ้ำไปซ้ำมา

อาจเป็นเพราะว่าพอเริ่มสูงอายุ ผมไม่อยากออกไปสู้รบปรบมือเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ แก่งแย่งเก้าอี้ เบียดเสียด ยัดเยียดราวกับขอเที่ยวฟรี

ผมชอบไปตั้งแต่ร้านเปิด วงแรกขึ้นเล่นประมาณ ๒ ทุ่ม คนน้อยมาก นั่งสบาย ไม่เบียด แต่พอ ๔ ทุ่ม เอาแล้วครับ คนเริ่มยัดเยียดกันเข้ามา ยิ่งศุกร์ เสาร์ ไม่ต้องพูดถึง ลุกไปฉี่ทีกว่าจะกลับมาได้ก็สบักสบอมราวกับไปออกรบ สมัยเปิดใหม่ๆ ผมชอบมาก คนไม่เยอะ แล้วเค้าไม่รับคนแบบล้นขนาดนี้ เดี๋ยวนี้มีโต๊ะเสริม มีขอแจมวางเหล้า

อย่างไรก็ตาม กลับไปเมืองไทยครั้งล่าสุด ผมก็ยังคงไปสถิตที่นั่นเป็นประจำ

เพื่อนๆมันทำงานทำการ บ้างมีเมีย และอาจจะมีลูก จะชวนไปเที่ยวก็เกรงว่าบาปกรรมจะตกกับตัวเองในอนาคต โทรจิกเพื่อนกว่าจะครบ กว่าจะหาขาได้ เอาตังค์ค่าโทรมาจ่ายค่ามิกซ์ดีกว่า อย่ากระนั้นเลย ผมจึงฉายเดี่ยวเกือบทุกคืน

ที่นั่งประจำผมจะอยู่ที่บาร์ ตรงหน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน น้องหญิงซึ่งเป็นพนักงานประจำตรงเคาน์เตอร์ จะจับจองที่นั่งนั้นให้ผมตลอด ไปถึงก็เปิดเร้ดขวด น้ำแข็งหนึ่ง น้ำเปล่าหนึ่ง นั่งไปเรื่อย เบื่อก็กลับ ติดลมก็ลากยาว

อีกคนที่ผมคุ้นเคย คือ พี่แดง ผู้เสมือนเป็นหัวหน้าทีมพนักงาน

การไปนั่งกินคนเดียวทำให้ผมเจอมิตรสหายใหม่ๆเป็นจำนวนมาก ไม่น่าเชื่อมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่นิยมไปนั่งดื่มคนดียว

วันจันทร์ ผมจะเจอสาวคนหนึ่งเป็นประจำ มักมาเวลาไล่กับผม ที่ประจำเธอติดกับผม เธอบอกผมว่าเธอสามารถเที่ยวได้เฉพาะวันจันทร์เท่านั้น แหม บังเอิญจริง ผมก็ชอบมาวันจันทร์เสียด้วย เพราะคนไม่เยอะ แถมดนตรีสดวงแรกมันเล่นเพราะดี
มีพี่คนหนึ่ง ขานี้มาคนเดียวทุกวัน ชอบดื่มสวิง คนในนั้นเรียกกันว่า “ป๋า”
มีผู้ชายอีกคน หมอนี่ผมสังเกตว่าเป็นนักดื่มตัวกลั่น บางวันก็มาคนเดียว บางวันมันก็หนีบสาวมา อีกบางวันมันก็หนีบสาวมาแต่เป็นคนละคนกับวันก่อน
ที่สำคัญ ตาผู้จัดการร้านผู้ดื่มเหล้าราวกับพายุ แถมชอบแจมขึ้นไปร้องเพลงประจำอย่าง “หลงกล” ของหินเหล็กไฟ และ “ชู้รัก” ของวายน็อตเซเว่น

บางทีผมนั่งๆคนเดียว ก็เจอพี่ๆ เพื่อนๆ โดยไม่ได้นัดหมาย
อาจเป็นไปได้ว่าร้านนี้คงถูกจริตคนทำงาน สังเกตได้จากไม่ค่อยมีวัยรุ่น เด็กแนว

ส่วนดนตรีสด ถ้าไปในอัตราความถี่แบบผม ก็ต้องบอกว่าเพลงซ้ำๆ บางทีฟังไปฟังมาก็เบื่อ เรียกได้ว่า จำได้เลยว่าต้องมีเพลงไหนต่อบ้าง

หนีไม่พ้นต้องมี...

รักแท้ดูแลไม่ได้, น้ำเต็มแก้ว, ใจนักเลง, มนุษย์ค้างคาว, เพียงกระซิบ, เจ็บไปเจ็บมา, จอมยุทธ, ความรักทำให้คนตาบอด, คนที่ถูกรัก, หลอกกันเล่นเลย, สองใจ

แต่จะอย่างไร ผมก็ยังชอบไปอยู่ดี

ว่าแล้วก็อยากกลับไปเจอบรรยากาศที่คุ้นเคย

เบื่อเหลือเกินร้านมอลลี่ “จำลอง” ที่ห้องของผม

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 09, 2549

ระวัง!!!

หลังจากระเบิดที่ป้อมยาม บ้านสี่เสา และประทัดสองลูก บ้านชัยอนันต์

ลองมานั่งทบทวนดีๆ นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วครับ

ขอวิงวอนให้ผู้ต่อต้านทักษิณด้วยความบริสุทธิ์ใจที่เข้าไปอยู่ในแนวร่วมโค่นทักษิณได้ลองตรึกตรองให้ดีว่างานนี้มีเบื้องหลังหรือไม่ อย่างไร หากเห็นว่าแกนนำหรือเบื้องหลังบางคนมีเป้าหมายที่ไม่บริสุทธิ์ซ่อนอยู่ ขอความกรุณาถอนตัวออกมาแล้วรณรงค์ตามแนวทางบริสุทธิ์อย่างอิสระดีกว่าครับ

งานนี้ไม่ธรรมดา และไม่ได้มีแค่ปฏิรูปการเมืองรอบสองหรือเรียกร้องให้ทักษิณลาออก แต่น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ลึกกว่านั้น

ไพ่เริ่มหงายมาทีละใบๆ

โปรดระวัง ปีศาจคาบไปป์มาแล้ว

ภาวนาว่ารัฐบาลซึ่งมีซ้ายเก่าและนักยุทธศาสตร์อยู่เยอะพอสมควร จะไม่เดินไปติดกับ (หากจะมี) ในวันที่ ๑๔ มีนาคมนี้

วันจันทร์, มีนาคม 06, 2549

ถึงพี่โต Crazy cloud

ตอนแรกคิดว่าจะส่งเป็นเมล์ไปหาเป็นการส่วนตัว แต่คิดไปคิดมาเห็นว่าตอบโต้กันในเวทีสาธารณะมาตลอด และมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องอีกมาก จึงตัดสินใจเขียนลงบล็อกตนเองดีกว่า

ก่อนจะเข้าไปสู่คำชี้แจง ผมอยากให้พี่เข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า ผมไม่ได้ปรารถนาให้มีการโต้กันไปมาเชิงทะเลาะแบบไม่จบไม่สิ้น แต่ต้องการชี้แจงให้พี่เข้าใจว่า การที่ผมเข้าไปตอบในบล็อกพี่ การโต้ตอบของพี่ในช่วง ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมา การเขียนบทความของผมเรื่องมาตรา ๗ และการไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางประการของกลุ่มผู้ชุมนุม ผมมีความคิดเห็นและวัตถุประสงค์เช่นไร ส่วนพี่จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ นั่นก็สุดแท้แต่พี่จะพิจารณา

การอ่านคำชี้แจงนี้ ผมขอให้พี่ข้ามพ้น “การโค่นทักษิณ” ไปก่อน แล้วจึงอ่านคำชี้แจงของผม ผมไม่ได้ชอบทักษิณ ผมด่าออกสาธารณะหลายครั้ง แสดงความไม่เห็นด้วยตามบทความหลายชิ้น แต่คำชี้แจงนี้ จะว่าไป ผมต้องการถกเถียงกับพี่แบบวิชาการล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าทักษิณเลว ทักษิณต้องออกไป แต่อย่างใด หากเกี่ยวกับ หลักการของมาตรา ๗ หลักประชาธิปไตย การให้เหตุผลของพี่บางข้อที่ผมไม่เห็นด้วย การตำหนิผู้อื่นของพี่ที่ผมไม่เห็นด้วย

อย่าลืมนะครับ ว่ากันที่เนื้อหาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับ ใครรักทักษิณ ใครเกลียดทักษิณ ไม่เกี่ยวกับ เด็กนอก เด็กใน ไม่เกี่ยวกับเซน ไม่เซน

๑. ถ้าย้อนกลับไป ผมเข้าไปตอบในบล็อกพี่ครั้งแรกว่า ผมได้ดูการปราศรัยของพี่ ก็เกิดนิยมในความกล้าหาญ แต่เห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอัตวินิจฉัยของผมเอง จากนั้นผมก็ไปตอบขยายความหลังวันที่ ๒๖ ก.พ. ผ่านไปว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัยกักขฬะของแกนนำบางคน ดังที่ผมยกมาแล้ว

๒. จุดยืนของผมมี ๒ ข้อ ข้อแรก ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัยของแกนนำบางคน ไม่เห็นด้วยกับนายกฯพระราชทาน จุดยืนข้อนี้ผมได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้ว จึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีก ข้อสอง ผมไม่เห็นด้วยที่พี่ไปตำหนิผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับพี่ ถ้าพี่ไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพี่ ผมว่าโอเค ก็เถียงกันด้วยเหตุด้วยผล แต่ไม่น่าจะไปตำหนิเขาในลักษณะที่ว่า เขาเป็นคนโง่ เขาเป็นคนขี้ขลาด เขาเป็นคนไม่รักชาติ เขาเก่งแต่ในตำรา ฯลฯ แรกๆผมก็คิดว่าอารมณ์พาไป หรือไม่มีเวลาชี้แจงแบบละเอียดๆ แต่มาคิดอีกที พี่ย้ำเสมอว่าพี่เป็นคนนิ่ง สงบ ประกอบกับพี่ยังคงแสดงความเห็นทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงคิดว่าพี่คงตำหนิแบบนั้นจริงๆ

๓. ผมไม่ติดใจกับประเด็นที่พี่ใช้คำหยาบ หรือปราศรัยโดยใช้คำหยาบ ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ดีตีนแดง ทุกวันนี้สนทนากับใครก็ติดคำว่า “แม่ง” “ไอ้เหี้ย” “ไอ้ห่า” ตลอด ข้อนี้ผมจึงเฉยๆ แต่ที่ผมว่าแกนนำบางคนนั้น มันไม่ใช่เรื่องคำหยาบ แต่มันเป็นวิธีคิดที่กักขฬะ เช่น นายอวยชัย วะทา พูดว่า “ใครโกงให้ลูกเป็นกะหรี่” เป็นต้น แบบนี้ไม่ใช่เรื่องคำหยาบแต่มันเป็นเรื่องวิธีการคิดของผู้พูด ทักษิณมันเลว มันชั่วก็ว่าไป ไม่ใช่ไปพูดแบบนี้

๔. ผมย้ำเสมอว่า เป้าหมายที่ดีต้องมีวิธีการที่ดีด้วย ข้อนี้พี่แย้งผมว่า “นั่นคือ เป้า อย่าติดยึดกับหนทาง” ผมเห็นดังนี้เลยคิดต่อไปว่า มันก็ตรรกะชุดเดียวกับเนติบริกรทั้งหลาย มันก็ตรรกะชุดเดียวกับทักษิณปราบยาบ้าด้วยการฆ่าตัดตอน แมคเคียวิลี่ คนที่พี่ยกมาตำหนิคนอื่นนั่นแหละ (จากบล็อกตอนล่าสุดของพี่ที่ว่า “บังเอิญ ผมเป็นคนไม่ดัดจริต จึงพูดภาษาหยาบ จนอ้ายมาเคลเวลลี่ พลกุล และลูกหาบ ทนไม่ไหวออกมาวิจารณ์”) เป็นเจ้าของ “ไปให้ถึงเป้าโดยไม่สนใจวิธีการ”

และถ้าผมจำไม่ผิด ในวงสนทนาที่ร้านบัดดี้ ถนนข้าวสาร พี่เคยบอกกับผมเองว่า เป้าหมายที่ดีต้องไปกับวิธีการที่ดี

๕. ข้อนี้ถามจุดยืนพี่เพื่อความแน่ใจ พี่เห็นด้วยกับนายกฯพระราชทาน ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด แล้วพี่เกิดยอมรับความคิดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ก่อนหรือหลังมีการถวายฎีกา ก่อนหรือหลังอธิการ มธ. ออกมา พี่คิดไว้นานแล้วหรือพึ่งคิดได้เพราะหาทางออกไม่เจออีกแล้ว

ถามให้กว้างไปอีก พี่เห็นด้วยกับวาทกรรม “พระราชอำนาจ” หรือไม่

๖. อันนี้ออกมาแสดงจุดยืนของตัวเอง เห็นพี่ว่าแบบเหมาเข่งไปหมดโดยไม่ระบุชื่อ ไม่รู้มีผมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็อย่าหาว่าผมกินปูนร้อนทองละกัน

ผมไม่สมาทานกับทุนนิยม ออกจะซ้ายๆด้วย ความข้อนี้พี่น่าจะรู้ดีจากการสนทนากันในหลายๆครั้ง

ผมไม่ได้กอดตำราฝรั่ง ผมตำหนิอยู่ในกรณีที่เอาของนอกมาใส่กฎหมายไทยโดยไม่พิจารณา ความข้อนี้พี่น่าจะรู้ดีจากการสนทนากันในหลายๆครั้ง

ผมไม่สามารถกลับไปร่วมรบด้วยได้ การที่พี่ต่อว่า “ทำไมกลับมาเที่ยวเล่น กินเหล้า กินไวน์ได้” ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการตำหนิแบบนี้ เพราะถึงแม้ผมอยู่เมืองไทยตอนนี้ผมก็ยังเห็นแบบเดิม และคงไม่ออกไปร่วมชุมนุม

ผมไม่ใช่ลูกอีช่างติ ไม่ใช่นักวิจารณ์ปากตะไกร สักแต่ด่า โดยไม่ไตร่ตรอง เห็นได้จากการวิวาทกันในครั้งนี้ ผมตอบในบล็อกน้อยมาก เพราะผมต้องใช้เวลาคิด อย่างครั้งนี้ก็คิดมาร่วมสัปดาห์ ผมไม่ใช่ประเภทที่ว่า ไม่เห็นด้วยปุ๊บสวนกลับปั๊บ หรืออ่านเจอคนที่มาตำหนิเราปุ๊บแล้วรีบจิ้มคีย์บอร์ดอัดกลับปั๊บ

๗. ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของตำราฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง การปกครองตนเอง เพิ่มอำนาจให้ประชาชน ไม่พึ่ง “อำนาจพิเศษ” ไม่ใช่เรื่องฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง หรือถ้าหากมันเป็นฝรั่งจริง แล้วเราเห็นว่ามันถูกต้อง ผมว่าก็ไม่น่าแปลกที่จะเอาฝรั่งมาใช้ แล้วไอ้ที่ว่า “แบบไทยๆ” คืออะไร หากว่าหมายถึง เอะอะก็ถวายอำนาจคืนๆ เห็นทีผมจะไม่เอาด้วย

การไม่ทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะไม่อยากทำ หรือทำไม่ได้ แล้วอ้างว่า “โอ๊ย ของนอกๆ ไม่เหมาะๆ” ผมว่าไม่น่าจะถูกต้อง จนอาจกลายเป็น “องุ่นเปรี้ยว” ไปด้วยซ้ำ เคยอ่านเจอนัก ก.ม.เปรียบเทียบคนหนึ่ง ชื่ออะไร จำไม่ได้ เขาบอกประมาณว่า คงเป็นเรื่องตลก หากคนเป็นมาลาเรียปฏิเสธยาควินินที่เอาเข้ามาจากบ้านอื่นเพื่อมาใช้รักษา ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังบ้านของเขาปลูกต้นควินินไม่ขึ้น

ธงชัย วินิจจะกูลกล่าวไว้ในงานของเขาชื่อ “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง ๑๔ ตุลา” (งานชิ้นนี้ผมถือว่าเยี่ยมที่สุด ใครสนใจทิ้งเมล์ไว้ได้ จะส่งไปให้ หรือเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/document/tongchai.pdf
หรือไปซื้อตามร้านหนังสือก็ได้ )

“การที่ระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยเป็นแนวคิดและประสบการณ์ที่เริ่มมาจากสังคมอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่เหตุผลเพื่อปฏิเสธประชาธิปไตย เพราะถ้าใช้เหตุผลนี้ เราคงต้องปฏิเสธพระมนูศาสตร์ ทศพิธราชธรรมด้วย... เราไม่สามารถกล่าวด้วยซ้ำไปว่าประชาธิปไตยเป็นของนอก ไม่มีประสบการณ์สั่งสมมาในสังคมไทย หากเรานับจาก ๒๔๗๕ เป็นต้นมา สังคมไทยมีประสบการณ์มาแล้ว ๗๓ ปี และเริ่มลงหลักปักฐานมั่นคงขึ้นใน ๓๐ ปีที่ผ่านมา... หากเชื่อว่าหลักการสิทธิมนุษยชนเป็นของดีสำหรับสังคมไทย ต่อให้ไม่มีรากฐานในจารีตวัฒนธรรมไทย ย่อมสมควรลงแรงต่อสู้จนกว่าจะปลูกขึ้น...”

๘. ผมถามพี่ด้วยใจจริงเลยว่า “พี่ว่ามาตรา ๗ มันใช้ได้หรือ?”

เราก็เรียนกันมาทั้งคู่ อ้างอาจารย์สักคนก็ได้ เผื่อผมจะมีเครดิตไม่พอในสายตาพี่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปรมาจารย์ของเราทั้งสองคน ได้สอนพวกเราว่า หลักการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญต้องตีความให้บทบัญญัติมีผล ต้องตีความให้กลไกต่างๆมันทำงาน ต้องเกิดช่องว่างทางกฎหมายรัฐธรรมนูญจริงๆจึงจะนำประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาใช้ตามมาตรา ๗

แล้วการอ้างมาตรา ๗ ในตอนนี้มันจะสอดคล้องกับหลักการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญหรือ?

วรเจตน์ยังสอนพวกเราอีกด้วยว่า องค์กรตามรัฐธรรมนูญทุกองค์กรมีอำนาจการใช้และตีความรัฐธรรมนูญทั้งนั้น เมื่อมีปัญหามาถึงตนเอง ก็ต้องวินิจฉัยไปตามที่ตนเห็น ไม่ใช่เฉพาะแต่ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจตีความ กรณีนี้ ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย หรือถึงมีปัญหาจริง (ปัญหาอะไร ช่วยชี้ให้กระจ่างด้วย ไม่ใช่ปัญหาว่าจะโค่นทักษิณนะ อันนั้นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหากฎหมาย) แล้วลูกบอลปัญหาลูกนี้ จะส่งไปให้ใครใช้อำนาจเพื่อตีความล่ะ ใครจะเป็นคนบอกว่าตอนนี้ “ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับ” จึงต้อง“วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แน่นอน ไม่ใช่ผม ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่อธิการ มธ. ไม่ใช่สนธิ ไม่ใช่ ๑๐๐ คนถวายฎีกา

วรเจตน์ย้ำเสมอว่า การตีความกฎหมายไม่ใช่ตีความแล้วอ้างว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์แต่อย่างเดียว เช่นกัน จะตีความโดยยึดลายลักษณ์อักษรอย่างเดียวก็ไม่ได้ หากแต่ต้องควบคู่กันไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวอักษรเป็นด่านแรกที่แสดงให้เราเห็นว่ากฎหมายว่าเช่นไร การตีความโดยอ้างเจตนารมณ์ทั้งๆที่เจตนารมณ์ที่ยกขึ้นอ้างมันเลยตัวอักษรอย่างเห็นได้ชัด ย่อมทำไม่ได้

แต่ถ้าพี่บอกว่า “มันใช้มาตรา ๗ ไม่ได้หรอก แต่มันจำเป็นว่ะ” ผมก็เคารพในวิถีของพี่ แล้วจะไม่ถกเถียงกันเรื่องมาตรา ๗ อีกต่อไป

๙. ข้อนี้ขอเตือนกันตรงๆในฐานะกัลยาณมิตร พี่ไม่น่าจะไปอัดคนอื่นในลักษณะนี้เลย

“ปกป้อง จันท์วิทย์ หากผมไม่มีชื่อเสียงก็คงไม่เข้ามา ตาไม่เหลียว ใช่มะ เรามันกระจอกจะตายนาย นายทำเวบนายให้ดังเถอะ เรามันแค่มดปลวกไม่อาจเทียบราชันบล็อกเกอร์อย่างท่าน คนอย่างผมมันก็อย่างนี้แหละกว่าจะได้อะไรมันยาก หากระคายใจ ก็อย่าโกรธกันแล้วผิดไหม ถ้าผมจะดัง เพื่อให้คนหันมาสนใจความคิด และปัญญาผมบ้าง ท่านพี่กล้า มีชื่อแล้วนิ บุญชิต So COOL ผมติดตามทางผู้จัดการตลอด และแอบอยากรู้จักมานานปกป้อง ก็โด่งดัง BLOG BLOG ผมอ่านทุกหน้าสามรอบนิติรัฐ ก็สุดยอดเป็นคนรุ่นใหม่ที่ปราดเปรื่องมากราติโอ้ ก็เยี่ยมยุทธ ทั้งเหตุผล และจริยธรรมแล้วไงวะ ท่านจะให้เมฆบ้าลอยขึ้นฟ้ามิได้หรือ”

หรือ อีกหลายครั้งที่พี่ว่ารวมๆแบบไม่เจาะจง เช่น

“เหตุดังนี้ พวกบัณฑิต มิรู้อิโหน่อิเหน่ จึงถูกคมดาบฟาดฟันจนเกิดริ้วแผล ด้วยความพยายามเสนอหน้า เข้ามาโดนดาบเอง บางคนด่าพ่อจาบจ้วงบุพการี น่าละอาย”

“จำใส่กระโลหกเอาไว้ ไอ้พวกนักเรียนนอกคลั่งลัทธิเหตุผล นักรบจากทุนนิยมระยำ”

“จำใส่กระโหลกเอาไว้ สำหรับไอ้พวกลูกอีช่างติ โดยไม่ไตร่ตรอง คิดว่าตนถูก เจ๋ง”

“ส่วนข้อหา ชักว่าว นั้น ผมบอกได้เลยว่า วิชาความรู้เมื่อเรียนมา ต้องเอาลงสู่มวลชนให้ได้ นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ มวลชน คนไทย อยู่ง่าย กินง่าย เสื้อผืน ข้าเหนียวกระติ้บ ฟังเพลงลูกทุ่ง พูดจากันภาษาซื่อๆ ตรงๆ หยาบๆ แต่น่ารัก บ้านเมืองมีภัยมหาศาล ผมออกเสี่ยงชีวิตรบราทั้งรู้ว่าใครเป็นใคร แต่มิเห็นเหล่าบัณฑิตผู้ใด ลงมายืนเคียงข้างประชาชน หากอยู่เมืองนอก ก่อนหน้าทำไมบินกลับมากินเหล้า กินไวน์ได้ แต่พอพี่น้องเดือดร้อน กลับอยู่เฉย ข้อกล่าวหาว่า ชักว่าวคงผิด แต่กลายเป็นพวก นกเขาไม่ขันมากกว่า”

ฯลฯ

มันทำให้เหตุผลที่พี่ยกขึ้นมาต่อสู้ตกลงไป ทำให้คนอื่นๆที่เข้ามาอ่านมองว่าพี่ไปอัดเขาแบบฟาดงวงฟาดงา

ไม่ได้ว่าเรื่องคำหยาบ หรือ ใช้คำแรงๆนะ แต่ว่าที่เนื้อหาเลย ผมอยากเห็นพี่อธิบายเป็นฉากๆมากกว่าชุดคำตอบที่ว่า “ผมไม่โกรธ ผมนิ่ง” “ไอ้พวกนั้นมันโง่เองที่มองไม่เห็นว่าทักษิณมันชั่ว” “ไอ้พวกนั้นมันนักเรียนนอก ไม่รู้เรื่องเมืองไทย” “ไอ้พวกนั้นมันกอดตำรา ตามฝรั่ง” “ไอ้พวกนั้นมันจะรู้อะไร กูเหนื่อยสายตัวแทบขาด”

คำตอบแบบนี้ ผมเห็นว่ามันออกจะง่ายไปซักหน่อย และไม่เห็นว่ามันจะตอบคำถามหลักของการสนทนาตลอด ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมาแต่อย่างใด

พี่ต้องไม่ลืมว่า เขาไม่เคยด่าที่พี่ร่วมกับผู้ชุมนุม เขาไม่เคยด่าว่าพี่อยากดัง เขารู้ว่าทักษิณมันชั่ว เขาแค่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางประการของการชุมนุม พี่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ว่ามา ก็น่าจะจบ ไม่น่ามีการด่าแบบสาดเสียเทเสียตามมา หรือพี่ต้องการเพิ่มอรรถรสในบล็อก (อันนี้แหย่เล่นนะ) แต่ถ้าพี่บอกว่ามันเป็นลีลาในการเขียนของพี่ อันนี้ผมก็ยอมรับและขออภัย

ที่ผมแจกแจงมาทั้งหมด พี่จะบอกว่าผมคิดไปเอง ผมอ่านพี่ผิด ผมไม่เข้าใจ ก็สุดแท้แต่ ผมแค่คิดจากการอ่านบล็อกตลอด ๑ อาทิตย์แล้วก็รู้สึกแบบนี้ ก็เท่านั้นเอง พี่จะบอกว่าไม่ใช่ ผมก็ยอมรับ

หวังว่าพี่จะลองทบทวนดู ถ้าพี่ยืนยันอีกว่าพี่ได้ทบทวนมาตลอด ผมก็ขอให้พี่ทบทวนอีกทีละกัน

ยังเชื่อเสมอว่าพี่เป็นคนมีเหตุมีผล พร้อมรับฟังผู้อื่น มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง และเราน่าจะเป็นกัลยาณมิตรทางวิชาการด้วยกันต่อไปได้

วันศุกร์, มีนาคม 03, 2549

นวัตกรรมสมัยใหม่ครับพี่น้อง

พ.ศ. ๒๕๐๑, พ.ศ. ๒๕๑๕, พ.ศ. ๒๕๑๙, พ.ศ. ๒๕๒๐, พ.ศ.๒๕๓๔

ฉีกรัฐธรรมนูญด้วยรถถัง

พ.ศ. ๒๕๔๙

ฉีกรัฐธรรมนูญด้วยมาตรา ๗

ใครเจอแบบนี้มั่ง

ช่วงนี้คุณเจอแบบนี้หรือไม่?

เมื่อคุณไม่ร่วมต่อต้านทักษิณหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางการโค่นทักษิณบางประการ

คุณจึงโดนอัดว่าเป็นพวกทักษิณ เป็นพวกขี้ขลาด เป็นพวกไม่เสียสละ เป็นพวกไม่รักชาติ เป็นพวกปัญญาชนบนหอคอยงาช้าง เป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เป็นพวกเก่งแต่ตำรา ฯลฯ

เอ๊ะ คุ้นๆมั้ยครับว่า มันช่างคล้ายกับชุดคำพูดของทักษิณที่ว่า "ไอ้นี่ขาประจำ" "ไอ้นี่ไม่เลือกเบอร์ ๙" "ไอ้นี่ไม่รู้เรื่องแล้วมาพูด" "ไอ้นี่หลบอยู่แต่ห้องสมุด"

หรือว่าทักษิไณเซชั่นครองเมือง

ใครใคร่โค่นทักษิณก็เชิญทำไปเถิด ผมเป็นกำลังใจให้ แต่ขอความกรุณาอย่าตำหนิคนที่ไม่เห็นด้วย ดูๆไป คนที่ไม่เห็นด้วยกับการโค่นทักษิณตามแนวทางที่เป็นอยู่ อาจโดนอัดหนักกว่าตัวทักษิณเสียอีกนะนี่

ภาวนาว่า ทักษิณหายไปจากการเมืองไทยแล้วจะไม่กลายเป็น "เตะหมูเข้าปากหมา"

วันพุธ, มีนาคม 01, 2549

ของฝากวันนี้

ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ
คน "ใหญ่ๆ" ก็ยังใหญ่ในแผ่นดิน

ต่อต้านการใช้สีข้างเข้าถูด้วยมาตรา ๗ ครับพี่น้อง

ใครก็ได้ ช่วยตอบผมที

ผมไม่เห็นด้วยกับกลุ่มผู้ชุมนุม ถือว่าผมไม่รักชาติหรือครับ

ผมไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ ถือว่าผมไม่รักชาติหรือครับ

อ้าว แล้วตกลง "รักชาติ" นี่จะต้องรักใครกันแน่เนี่ย

รักกลุ่มผู้ชุมนุม พวกทักษิณก็บอกผมไม่รักชาติ

รักทักษิณ พวกกลุ่มผู้ชุมนุมก็ว่าผมไปอยู่กับทรราชย์

ถ้าผมรักทั้งทักษิณ ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมล่ะ จะกลายเป็นคนรักชาติแบบโคตรๆๆๆมะ แล้วจะไม่กลายเป็นพวกลิ้นสองแฉกหรือ

แล้วถ้าผมไม่รักทั้งทักษิณ ไม่รักทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมล่ะ จะไม่กลายเป็นคนไม่รักชาติแบบโคตรๆๆๆๆหรือ

ว้า แย่จัง ไม่รักทักษิณ กองเชียร์ทักษิณก็จ้องเหยียบ หาว่าพวกป่วนเมือง ไม่เคารพกติกา

แย่ไปอีก ไม่รักกลุ่มผู้ชุมนุม ก็โดนผู้ชุมนุมจ้องเหยียบ หาว่าพวกขี้ขลาด บ้านเมืองมีภัยยังไปหดหัวอยู่ในกระดอง รับเงินทักษิณมามั่ง

.................

มิตรรักบล็อกเกอร์ครับ

รู้สึกเหมือนผมมั้ยว่า...

ไอ้ที่โดนกองเชียร์ทักษิณด่าว่าเสียๆหายๆ นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะเราไปวิจารณ์เขา เขาก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา

แต่การโดนแนวร่วมที่ต่อต้านทักษิณมาอัดด้วยเหตุที่ว่าเราไม่เห็นด้วยในบางประการเกี่ยวกับการชุมนุม แบบนี้มันยากจะทำใจเหลือเกิน เพราะ ผมคิดเสมอว่าคนที่วิพากษ์ระบอบทักษิณได้เป็นฉากๆ ว่าทักษิณหยาบคาย ว่าทักษิณเป็นพวกไปให้ถึงเป้าโดยไม่สนใจว่าวิธีการจะสกปรกเพียงใด ว่าทักษิณไม่เคารพกฎหมาย ว่าทักษิณไม่ฟังคนอื่น ฯลฯ เขาเหล่านั้นย่อมไม่นิยมแนวทางอย่างที่ทักษิณทำ เขาต้องเป็นคนใจกว้าง รับฟังความเห็นผู้อื่น

เอาเข้าจริงผมอาจไร้เดียงสาไปเองก็ได้ที่คิดว่าคนด่าทักษิณก็ต้องไม่เหมือนทักษิณ

นิธิบอกไว้ในมติชนสุดสัปดาห์เล่มล่าสุดว่า วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณกระจายอยู่ทั่วไป

คุณว่าจริงมั้ยครับ