วันพุธ, กันยายน 28, 2548

พจนานุกรมส่วนบุคคล

ไวน์
ใครบางคนในฝรั่งเศสเปรียบเปรยไว้ว่าไวน์คือโลหิตของพระเจ้า กล่าวสำหรับศาสนาคริสต์ การประกอบศาสนกิจจำต้องมีไวน์เป็นเครื่องเคียงเสมอ มีสุภาษิตในฝรั่งเศสบทหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่จุกไวน์ถูกเปิดออก มันต้องถูกดื่ม” จะว่าไปไวน์ก็เปรียบเสมือนมนุษย์ที่มีหลายบุคลิก หลายเผ่าพันธุ์ สีของไวน์ย่อมเข้าคู่กับอาหารต่างชนิดกันไป ไวน์แต่ละปีมีรสชาติไม่เหมือนกันขึ้นกับอากาศของแต่ละปีว่าร้อนมาก ร้อนน้อย แดดมาก แดดน้อย การบริโภคไวน์ยังผันแปรตามแต่ละฤดูกาลและเทศกาล สิ่งหนึ่งที่ชวนลุ้นในทุกๆปี คือ ไวน์แคว้นนี้ ปีนี้ รสชาติจะเป็นอย่างไร บางทีการได้ลิ้มลองไวน์จากหลายๆที่ก็เหมือนกับการรู้จักเพื่อนรายใหม่ สำคัญที่ว่าเพื่อนใหม่ที่ว่านั้นจะมีรสชาติถูกปากจนเลื่อนยศเป็นมิตรสหายได้หรือไม่

เบียร์
บางคราวสหายอย่าง “ไวน์” ก็ทำตัวน่าเบื่อจนผมอยากหลบลี้หนีหน้าไป เบียร์เป็นสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามฤดูร้อนหรือหลังอาบน้ำเสร็จหมาดๆ การออกไปเดินเล่นในเมืองจำต้องมีเบียร์เป็นเพื่อนคู่กาย

กาแฟ
เครื่องดื่มที่สะกดมนุษย์ไว้อย่างแน่นิ่ง ประมาณไม่ถูกเหมือนกันว่าในแต่ละวันมนุษย์บริโภคกาแฟกี่ถ้วย กาแฟสีดำรสขมก็เหมือนชีวิตของนุษย์แต่ละวันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความขมและสีดำของกาแฟสะท้อนให้เห็นว่าความขมขื่นและชีวิตด้านมืดเป็นสิ่งจำเป็นที่เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตเป็นชีวิต

คอมพิวเตอร์พร้อมอินเตอร์เนท
เครื่องสมองกลที่ช่วยบรรเทาความเหงาได้ยามใช้ชีวิตไกลบ้าน ผมจินตนาการไม่ออกว่ายามใดที่ผมขาดสิ่งนี้ไปแล้วชีวิตจะเป็นเช่นใด จนกระทั่งหลังกลับจากเมืองไทยมาอยู่ฝรั่งเศสรอบนี้ถึงได้รู้ว่าชีวิตที่ปราศจากคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนทนั้นลำบากอย่างไร มันอาจมีสถานะเทียบเท่าหรือมากกว่าสตรีก็เป็นได้ เทคโนโลยีชิ้นนี้ทำเอาผมติดงอมแงม ผมคิดว่าถึงเวลาอันควรที่จะสถาปนามันขึ้นเป็นศรีภรรยาเสียที

สตรี
เข้าใจยาก คิดมาก อดทน ขยัน เรียนดี หยุมหยิม ละเอียด ช่างคุย แม้ผมจะไม่มีมิตรสหายที่เป็นสตรีมากนัก แม้ผมจะชอบคบบุรุษเป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากมีแม่ของลูกเป็นสตรี

การเมือง
ตั้งแต่ผมลืมตามาดูโลกเกือบครบ ๒๖ ปี ยังไม่เคยเห็นใครหลีกหนีการเมืองพ้น

นักการเมือง
คนที่เราด่าได้ถนัดปากมากที่สุด จะเพศไหน วัยไหน ยากดีมีจน สูงต่ำดำขาว ล้วนมีความเสมอภาคกันในการบริภาษนักการเมือง นักการเมืองเสมือนกระโถน ผู้ใดจะขี้จะเยี่ยวจะอ้วกใส่กระโถนใบนี้ ย่อมทำได้อย่างไม่เคอะเขิน

ความรัก
ญาติสนิทของความหลง

ความหลง
ญาติสนิทของความรัก

อัจฉริยะ
บางทีก็มีแค่เส้นกั้นบางๆระหว่างอัจฉริยะกับปัญญานิ่ม

เงิน
เงินจะเป็นเงินเมื่อเงินถูกใช้ให้เป็นเงิน เงินที่อยู่ในสมุดบัญชีธนาคารหรือกระดานตลาดหุ้นย่อมสูญเสียความเป็นเงินและลดตัวลงไปเป็นแค่ตัวเลข

น้ำตา
ของเหลวไหลออกจากดวงตา มาได้ทุกสถานการณ์ ดีใจก็มา เสียใจก็มา วันใดน้ำตาหมดวันนั้นตาบอด

บง นั้ปเปอะตี
คำพูดก่อนกินอาหารในแต่ละมื้อของฝรั่งเศส ประมาณว่า “กินให้อร่อย” บ้านเราไม่มีคำพูดทำนองนี้ ตั้งวงครบก็เริ่มกินเลย ผมคิดว่าประเพณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของแต่ละประเทศ ไทยเราในน้ำมีปลาในนามีข้าว พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ อาหารอร่อย ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดว่า “กินให้อร่อย”

รับประทาน
คำที่ผมไม่ชอบใช้เพราะแสดงถึงระบบศักดินาที่ฝังรากอยู่ในเมืองไทยอย่างชัดเจน การเอาอาหารเข้าปากเรียกว่า “กิน” แต่ “รับประทาน” หมายถึง รับจากการประทานของคนอื่น ทั้งๆที่บางทีมันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง เหตุใดต้องไป “รับ” จาก “ประทาน” ด้วยเล่า

ว่าง
“ว่าง” หรือ “ไม่ว่าง” ผมคิดว่าไม่มีในโลกนี้ มีแต่เราอยาก “ว่าง” หรือเราอยาก “ไม่ว่าง” มากกว่า กล่าวให้ถึงที่สุด มันขึ้นกับการจัดลำดับความสำคัญของแต่ละบุคคลว่าจะให้เวลาแก่เรื่องใดก่อนเรื่องใดหลัง

ยุติธรรม
ยุติอย่างเป็นธรรมต้องเคียงคู่ไปกับความเป็นธรรมที่ต้องยุติ

ช่องโทรทัศน์
ปัจจุบันมีโทรทัศน์หลายช่อง หลายสถานี ทั้งทีวีปกติ เคเบิ้ลทีวี ดาวเทียม มิพักต้องกล่าวถึงอินเตอร์เนท ภายใต้การควบคุมผ่านรีโมทคอนโทรลหรือเม้าส์ ดูเหมือนว่าเราเป็นผู้มีสิทธิเลือกที่จะเสพอะไรได้ตามใจเราปรารถนา แต่เอาเข้าจริงเราเป็นผู้เลือกจริงหรือ หรือว่าเจ้าของสถานี คนทำทีวีเป็นผู้เลือกมาให้เราชมกันแน่

โพสต์ โมเดิร์น
ข้อดี – ท้าทายทุกวาทกรรม มุ่งตรวจสอบทุกข้อความคิด ตั้งข้อสงสัยถึงความจริงของทุกความเชื่อ เป็นหลังอิงชั้นดีให้กับคนชายชอบและกระแสรอง
ข้อเสีย – ปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่มีหลักชีวิต เป็นข้ออ้างอย่างมักง่ายให้กับการไม่เคารพหรือไม่ยอมปฏิบัติตามในเรื่องบางอย่างที่เราไม่ต้องการ

ผลประโยชน์
ถ้าตีความคำว่า “ผลประโยชน์” อย่างกว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ ผมเห็นว่ามนุษย์อยู่ด้วยกันก็เพื่อผลประโยชน์

อธิปไตย
สิ่งสมมุติที่ไม่มีอยู่จริง หรือหากมีก็ลดน้อยถอยลงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ภายใต้โลกาภิวัตน์เช่นทุกวันนี้ ผมพูดได้ไม่เต็มปากว่าเรามีอธิปไตย ผมสงสัยมากว่าในฐานะปัจเจก มนุษย์ตนใดก็ตามมีสิทธิปฏิเสธอำนาจอธิปไตยของรัฐที่จะเข้ามาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเขาได้หรือไม่

ซ้ายจัด
ขวาจัด

ขวาจัด
ซ้ายจัด

หนังสือโป๊
สิ่งที่บุรุษเพศทุกคนต้องเคยลิ้มลอง

เฮียกังฟู
ชายผู้สร้างวิมานสวรรค์ให้กับวัยรุ่นไทยในยุคหนึ่ง ในสายตาของคนบางคน เฮียกังฟูอาจมีคุณูปการมากกว่านักการเมืองก็เป็นได้

วันศุกร์, กันยายน 23, 2548

เรื่องของแฟร้งค์และเธอ

ระหว่างการเดินทางกลับฝรั่งเศส บนเครื่องบิน TG 931 กรุงเทพฯ-ปารีส ผมมีโอกาสนั่งติดกับชายคนหนึ่งชื่อ แฟร้งค์ เราสนทนากันอย่างได้อรรถรส ผมและเขาต่างแลกเปลี่ยนกันในหลายเรื่อง นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ผมฟัง

ศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๘

แฟร้งค์เป็นหนุ่มขี้เหงา ชีวิตเขาดูเหมือนจะมีเพื่อนฝูงมาก คนรู้จักเยอะ แต่บางคราวแฟร้งค์ก็รู้สึกว่าตนเองอยู่คนเดียวบนโลกหม่นๆใบนี้ ยามใดที่แฟร้งค์เหงา แฟร้งค์มักจะอาศัยซอกหลืบของร้านมอลลี่เป็นที่พำนักเพื่อกำจัดความเปล่าเปลี่ยวออกไปจากจิตใจ แฟร้งค์มักจะเปิดวิสกี้หนึ่งขวด สั่งน้ำแข็งหนึ่งถัง น้ำเปล่าหนึ่งขวด แถมด้วยเพลงเพราะๆจากวงดนตรี เพียงเท่านี้แฟร้งค์ก็หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งได้

บางครั้งแฟร้งค์เชื้อเชิญมิตรสหายมาร่วมวงสุราได้ แต่ก็อีกบางครั้งที่แฟร้งค์อยากดื่มคนเดียวเพียงลำพัง และก็อีกบางครั้งเช่นกันที่แฟร้งค์อยากมีเพื่อนร่วมวงแต่มิตรสหายกลับไม่ประสงค์ที่จะมา

เย็นวันหนึ่ง แฟร้งค์นอนอยู่ที่บ้าน เขาตั้งใจว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะไม่ออกไปท่องราตรี แต่แล้วเฉลิมก็โทรมาตามให้ออกไปดื่มเป็นเพื่อน แฟร้งค์ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะเฉลิมมียศเป็นสหายคนสนิท สหายคนอื่นๆทยอยมาสมทบ จนกระทั่งตะวันตกดินไปได้สองชั่วโมงเศษ แฟร้งค์และพรรคพวกก็ย้ายนิวาสถานไปพำนักที่ตรอกข้าวสาร

แฟร้งค์กับสหายเดินทางมาเยือนร้านมอลลี่ดังที่เคยเป็น สหายของแฟร้งค์บางคนตัดสินใจอำลาไปก่อนที่เข็มนาฬิกาจะข้ามพ้นไปสู่วันใหม่ แม้มิตรร่วมรบในวงสุราของแฟร้งค์เหลือน้อยลง แต่ความสนุกสนานที่อำพรางความเหงาของแฟร้งค์ราวกับอาภรณ์ห่มกายยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันอ่อนแรง

เสียงเพลงบรรเลง ผู้คนลุกขึ้นโยกย้ายร่างกาย พนักงานจัดแจงสุราและอาหารอย่างขยันขันแข็ง นักดื่มสาดเหล้าลงคอราวกับเป็นน้ำเปล่า

สายตาของแฟร้งค์จับจ้องไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่โต๊ะข้างๆ เธออยู่ในเสื้อสีดำ กางเกงสีดำ มากับเพื่อนร่วมสิบชีวิต จริงอยู่ แม้แฟร้งค์จะชงเหล้าชนกับมิตรร่วมรบ แม้แฟร้งค์จะขยับกายตามจังหวะเพลง แต่สมาธิของเขาจดจ่อไปอยู่ที่โต๊ะทางซ้ายมือเสียแล้ว แฟร้งค์พยายามย้ายที่นั่งเพื่อไปใกล้กับเธอมากที่สุด แอบชำเลืองมองไปที่เธอหลายครั้ง เมื่อเธอบังเอิญหันมามอง แฟร้งค์ก็รีบหลบตาแล้วกลับไปกินเหล้ากับเพื่อนๆต่อ

ช่วงท้ายเกมของร้าน วงดนตรีเร่งจังหวะเพลงให้แรงและต่อเนื่องขึ้น แฟร้งค์นั่งมองหญิงสาวคนนั้นเต้น ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ในความเห็นของแฟร้งค์ เธอเป็นคนที่เต้นได้น่ารักที่สุดในร้าน

แฟร้งค์คิดว่าถ้าโลกนี้มีเวทมนต์จริง เขาคงต้องมนต์สะกดจากเธอผู้นั้น ใจของแฟร้งค์หลุดลอยไปจนยากที่จะเรียกกลับมาดังเดิม

การนั่งคิดโดยไม่ลงมือทำย่อมไม่อาจนำมาซึ่งความสำเร็จ

แฟร้งค์คิดได้ดังนั้นแล้ว ก็กระวนกระวายใจจนกินเหล้าอย่างไม่มีความสุข แน่ละ แฟร้งค์เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดใดๆกับหญิงสาวที่แฟร้งค์รู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อแรกเจอ แต่โชคก็เข้าข้างแฟร้งค์ที่โต๊ะข้างๆนั้นมีน้องสาวคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นคนรักของเฉลิม แฟร้งค์ปรี่เข้าไปขอความร่วมมือจากน้องคนนั้นทันที

น้องสาวให้ความเมตตากับแฟร้งค์ด้วยการสะกิดเรียกเธอเพื่อแนะนำให้แฟร้งค์รู้จัก

แค่คำว่า “สวัสดีค่ะ” พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เพียงเท่านี้จากโลกหม่นๆก็กลายเป็นสีชมพูในบัดดล

ถึงร้านจะปิด วงดนตรีจะหยุดเล่น ผู้คนทยอยเดินออก พนักงานเริ่มเก็บโต๊ะ แต่หูของแฟร้งค์กลับแว่วเสียงเพลง “เธอคือหัวใจของฉัน” ของนิก เดอะ สตาร์

แฟร้งค์นึกย้อนกลับไป คงเป็นโชคดีของแฟร้งค์ที่ไม่ปฏิเสธคำชวนของเฉลิมให้ออกมาท่องราตรีด้วยกันในคืนนี้ มันเป็นการท่องราตรีที่มีค่าที่สุดของแฟร้งค์

แฟร้งค์ไปตามทางของตนเอง ส่วนเธอเองก็กลับบ้านไปพร้อมกับชายคนหนึ่งที่แฟร้งค์มารู้ภายหลังว่าเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ

นอนไม่หลับ ในสมองมีแต่หน้าของหญิงที่เต้นได้น่ารักที่สุด แฟร้งค์พยายามตัดใจดังที่เขาเคยทำบ่อยๆด้วยการคิดว่า มันก็เหตุการณ์ที่ผ่านไปในแต่ละคืน หันมาสนใจงานในหน้าที่ดีกว่า

เสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๘

รุ่งขึ้น แฟร้งค์ลากสังขารที่ยังไม่สมประกอบไปทำงานชิ้นใหญ่ แฟร้งค์ต้องขึ้นเวทีกับบรรดาผู้ทรงภูมิหลายคน

ก่อนขึ้นเวที แฟร้งค์จดจ้องไปที่มือถือ ในมือถือของแฟร้งค์มีเลข ๙ หลักอยู่ชุดหนึ่ง แฟร้งค์เปิดขึ้นดู แล้วปิด แล้วเปิด แล้วปิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แฟร้งค์ไม่กล้าโทรไปหาเธอ

ไม่น่าแปลกใจที่การขึ้นเวทีของแฟร้งค์ในวันนั้นไม่ค่อยสวยงามเท่าไรนัก ในเมื่อสมาธิของแฟร้งค์ไปอยู่กับหญิงคนนั้น

พฤหัสที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๘

สัปดาห์ต่อมา คนรักของเฉลิมโทรมาหาแฟร้งค์เพื่อแจ้งข่าวดีที่แฟร้งค์คิดว่าอยู่ในลำดับต้นๆของชีวิต เธออนุญาตให้แฟร้งค์โทรไปหาได้

แฟร้งค์ดีใจมาก รีบโทรไปหาเธอ เธอนัดให้แฟร้งค์มาเจอที่ห้างย่านรัชโยธิน

แฟร้งค์ไม่คุ้นย่านนั้นเท่าไรนักแต่แฟร้งค์โชคดีที่มีน้องรักคนหนึ่งอาสาพาแฟร้งค์มาส่ง ณ สถานีรถไฟใต้ดิน สุทธิสาร แฟร้งค์ลิ้มรสประสบการณ์นั่งรถไฟใต้ดินของกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกในชีวิตจากสถานีสุทธิสารไปพหลโยธิน เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าการนั่งรถไฟใต้ดินครั้งแรกจะมีความสุขเช่นนี้ จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อจุดหมายการเดินทางของแฟร้งค์ คือ การไปพบคนที่แฟร้งค์ตามหามานานแสนนาน

แฟร้งค์จับแท็กซี่ต่อเพื่อไปยังจุดนัดหมายและมาถึงตามกำหนดเวลา ๑๘.๓๐

โชคของแฟร้งค์ส่อแววว่าจะไม่ดีตั้งแต่เช้า เพราะมือถือของแฟร้งโดนตัดเพราะไม่ไปชำระเงิน เขาต้องหยอดเหรียญในตู้สาธารณะเพื่อหมุนไปหาเธอ เธอแจ้งว่างานเยอะมาก จำเป็นต้องไปช้า

ไม่มีปัญหาใดๆ แฟร้งค์ไม่เคยเบื่อกับการรอคอย ยิ่งการรอคอยคนที่แฟร้งค์รู้สึกดีเช่นนี้แล้ว จะรอนานเท่าไรแฟร้งค์ก็ยินดี

แฟร้งค์เดินเลือกซื้อหนังเพื่อเอากลับไปดูบำบัดความเหงา มานั่งกินกาแฟในร้านที่แฟร้งค์คิดว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของคนไทย

เสียงโทรศัพท์ของแฟร้งค์ดังขึ้น เสียงปลายทางบอกแฟร้งค์ว่า เธอไม่สามารถมาได้แล้ว ขอโทษ

แฟร้งค์เข้าใจ

โบกแท็กซี่ให้ไปส่งสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน น่าแปลกที่แฟร้งค์ไม่รักสบายเหมือนทุกคราวที่ต้องใช้บริการแท็กซี่ส่งถึงบ้าน เขาขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงสถานีหัวลำโพง การสัมผัสรถไฟใต้ดินครั้งที่สองในชีวิตของแฟร้งค์ช่างแตกต่างจากครั้งแรกยิ่งนัก ไม่เฉพาะระยะทางที่ไกลกว่าเดิมเท่านั้น แต่ความรู้สึกในใจแฟร้งค์ก็เปลี่ยนไปราวหน้ามือกับหลังมือ

แฟร้งค์พยายามตัดใจ เพราะอีกไม่นานแฟร้งค์ก็ต้องกลับไปทำภารกิจของตนเองต่อไป

ศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘

เช้านี้แฟร้งค์พยายามหาวิธีการเลื่อนกำหนดการกลับไปปฏิบัติภารกิจ แต่ไม่สำเร็จ

แฟร้งค์ทราบจากคนรักของเฉลิมว่าเธอกลับภูมิลำเนาของเธอในเย็นวันนี้ หากมีใครมาถามแฟร้งค์ว่าอยากทำอะไรมากที่สุดในตอนนี้ แฟร้งค์จะตอบว่าอยากกลับภูมิลำเนาไปกับเธอด้วย

การกลับภูมิลำเนาของเธอในเย็นนี้ย่อมหมายความว่าเย็นพรุ่งนี้ ณ ร้านมอลลี่ จะไม่ปรากฏกายของหญิงสาวที่แฟร้งค์บอกกับตัวเองว่า “เธอคือหัวใจของฉัน”

เสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๘

แฟร้งค์นัดสหายนับสิบนายไปกินข้าวที่ร้านบนถนนพระอาทิตย์ เช่นเคยแฟร้งค์แบกเหล้าองุ่นชั้นดีไปให้เพื่อนๆได้ลองกระแทกคอ

หนังท้องตึง หนังตากลับไม่หย่อน แฟร้งค์และพรรคพวกขยับไปถิ่นที่คุ้นเคย ถนนข้าวสาร

เป็นธรรมดาที่วันหยุดสุดสัปดาห์ ร้านมอลลี่จะเปี่ยมไปด้วยผู้คน แฟร้งค์และเพื่อนเปลี่ยนไปนั่งที่ร้าน บริค บาร์

เป็นโชคดีของ “หนู” –เด็กเชียร์เหล้ายี่ห้อหนึ่ง- ปกติหนูประจำร้านมอลลี่ แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ หนูมาเชียร์เหล้าที่บริค บาร์ หนูและแฟร้งค์คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หนูปรี่เข้ามาแสดงอาการปรีดาปราโมทย์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นแฟร้งค์เข้ามา อย่างน้อยวันนี้ยอดขายเหล้าของหนูต้องเพิ่ม ๒-๓ ขวดเป็นแน่ แฟร้งค์บอกหนูว่าอีกไม่กี่วันแฟร้งค์ก็จะไม่ได้มาตระเวนราตรีย่านนี้แล้ว หนูบอกว่า “พี่ช่วยหนูได้เยอะเลยนะ ช่วงสองเดือนนี้” บางทีหนูอาจเป็นคนหนึ่งที่ต้องเอ่ยประโยคที่ว่า “ยามมาเราดีใจ ยามจากไปเราคิดถึง” ให้กับแฟร้งค์ได้อย่างเต็มปาก

แฟร้งค์ดื่มจัด เต้นกระจาย ตั้งใจว่าจะตักตวงความสนุกสนานครั้งสุดท้ายให้เต็มที่ เพื่อนของแฟร้งค์คิดว่าวันนี้แฟร้งค์มีความสุข เปล่าเลย ภายนอกอาจดูเหมือนว่าแฟร้งค์ร่าเริง แต่ในใจนั้นเล่ากลับหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเธอคนนั้น

แฟร้งค์และเพื่อนไปดื่มต่อย่านสี่แยก อ.ส.ม.ท. ยันฟ้าสว่าง

แฟร้งค์ลองควานหาสาเหตุที่ตนดื่มจัด น่าจะมาจากเป็นการดื่มทิ้งทวน ประกอบกับดื่มเป็นเพื่อนเฉลิมที่ทะเลาะกับคนรัก และแฟร้งค์เศร้าหมองจากการที่แฟร้งค์จะไม่มีโอกาสเจอเธออีกแล้ว

คำนวณดูแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์กับแอลกอฮอล์ในค่ำคืนนี้ แอลกอฮอล์น่าจะโดนสังหารตายไปไม่น้อยกว่า ๖-๗ นาย และแน่นอนในสมรภูมิรบเช่นนี้ ฝ่ายของแฟร้งค์ก็ต้องโดนสังหารเช่นกัน น้อง เพื่อน และแฟร้งค์เอง กลับรังด้วยสภาพที่ต่างกันกับตอนเย็นอย่างสิ้นเชิง

จันทร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๘

แฟร้งค์พยายามปลงให้ตกว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเธออีกแล้ว แปลกที่ปกติแฟร้งค์เป็นคนลืมง่ายหน่ายเร็วแต่ครั้งนี้แฟร้งค์สลัดความทรงจำออกจากหัวไม่หลุดเสียที

“สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร” เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง สงครามที่คุกรุ่นในใจแฟร้งค์ยังไม่จบ แฟร้งค์จึงตัดสินใจโทรไปนัดเธอเพื่อเจอกันอีกครั้ง เธอตกลง ที่เก่า เวลาเดิมเหมือนที่เธอเคยนัด

แสงสว่างเริ่มโผล่ที่ปลายถ้ำแล้ว

แฟร้งค์นั่งรถไฟใต้ดินเป็นครั้งที่สามในชีวิตเพื่อไปหาเธอ แฟร้งนัดเจอเฉลิมที่นั่นด้วย เพราะเธอจะมาพร้อมกับเพื่อนของเธอและคนรักของเฉลิม

นี่เป็นครั้งแรกที่แฟร้งค์มีโอกาสคุยกับเธออย่างจริงๆจังๆ อย่างเห็นหน้าค่าตา แฟร้งค้นพบว่าแฟร้งค์มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้เธอ เธอและเพื่อนของเธออยากดูหนัง แฟร้งค์ไม่อิดเอื้อนแม้แต่น้อย

ระหว่างรอรอบหนัง ทั้งห้าชีวิตต้องหาร้านนั่งเล่นฆ่าเวลา แฟร้งค์เสนอมาลอยๆว่า “ซเวนเซ่น” ทั้งๆที่แฟร้งค์เองไม่พิสมัยไอติมแม้แต่น้อย ถ้าจะต้องกิน แฟร้งค์ขอเป็นไอติมรถเข็นไผ่ทองดีกว่าเป็นไหนๆ เธอเห็นดีเห็นงามเป็นอย่างยิ่งกับไอเดีย “ซเวนเซ่น”

ในร้านไอติม แฟร้งค์ได้นั่งติดกับเธอ แฟร้งค์เป็นคนไม่มีความรู้ด้านไอติมเอาเสียเลย เธอแนะนำให้แฟร้งค์สั่งเหมือนเธอ เธอรับประกันความอร่อย แต่แฟร้งค์อยากทำเท่ จึงเลือกเอาเมนูข้างๆแทน แฟร้งกล้ำกลืนฝืนทนแทะเล็มไอติม แน่ละ แฟร้งค์เป็นคนสุดท้ายที่สังหารไอติมเสร็จโดยอาศัยพลังงานของเฉลิมมาช่วย ถึงแฟร้งค์จะกินไอติมอย่างดูน่าลำบาก แต่ก็เป็นความลำบากที่แฟร้งค์เต็มใจ ภูมิใจ และมีความสุข

แฟร้งค์ เธอ เพื่อนของเธอ เฉลิม และคนรักของเฉลิม รวม ๕ ชีวิต เข้าไปดูหนังด้วยกัน แฟร้งค์เป็นคนถือตั๋วเพราะแฟร้งค์ตั้งใจว่าจะเก็บตั๋วนั้นไว้เป็นที่ระลึก

เพื่อนของเธอนั่งซ้ายสุด ถัดมาเป็นเธอ แฟร้งค์ เฉลิม และคนรักของเฉลิมอยู่ขวาสุด

แฟร้งค์ไม่ได้ปริปากพูดกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพราะแฟร้งค์เกรงว่าจะไปรบกวนสมาธิการดูหนังของเธอจนเธอจะรำคาญเอา นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แฟร้งค์ไม่นิยมไปดูหนังกับหญิงสาว เธอดูหนังอย่างสนุกกับเพื่อนของเธอ ด้านแฟร้งค์เองก็สนุกเช่นกัน แต่สายตาแฟร้งค์แอบชำเลืองไปที่เธอตลอดเวลา

หลังหนังจบลง แฟร้งค์อยากอยู่ใกล้ๆเธออีก จึงพยายามหาที่ชักชวนไปต่อ ในที่สุดทุกคนลงมติว่าจะไปปิดแมทช์ที่มอลลี่ แฟร้งค์ดีใจจนเนื้อเต้น

ระหว่างทางบนยานพาหนะที่เฉลิมเป็นผู้ขับ แฟร้งคิดจะชวนเธอคุย แต่เมื่อหันไปแฟร้งค์พบว่าเธอกำลังหลับอยู่เพราะเหนื่อยจากการเดินทางกลับจากภูมิลำเนาเมื่อวาน แฟร้งค์เกรงใจเธอตามเคย ปล่อยให้เธอหลับไป แฟร้งค์มองเธอด้วยความทะนุถนอม แฟร้งค์อยากให้เธอมานอนซบไหล่แฟร้งค์

เสียงเพลงดังรบกวนโอกาสการคุยกันระหว่างแฟร้งค์กับเธอยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่แฟร้งค์รังเกียจเสียงเพลงที่ร้านมอลลี่ แม้จะไม่ได้คุยกันมากนักแต่แฟร้งค์ก็มีความสุขที่ได้มองเธอเต้น ได้เห็นอิริยาบถของเธอ

ร้านปิด ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน เวลาของแฟร้งค์จะหมดลงแล้วหรือนี่ แฟร้งค์ดันทุรังชักชวนทุกคนรวมทั้งพี่ชายของเธอที่มารอรับเธอกลับ ให้ไปเที่ยวต่อ ทุกคนตอบตกลง แฟร้งค์เกรงใจทุกคนมาก

แฟร้งค์รู้ดีว่าการดันทุรังครั้งนี้เป็นการรบกวนเธออย่างยิ่ง พรุ่งนี้เธอต้องทำงานแต่เช้า

หกชีวิตนั่งในร้านผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ปริมาณสุราลดลงอย่างช้าๆ

ไม่รู้เพราะอะไร แฟร้งค์คิดในใจว่าเธอคงไม่ชอบแฟร้งค์เป็นแน่ แฟร้งค์เริ่มลองตัดใจอีกครั้งด้วยการหันไปสนุกสนานในวงสุรา

เธออ่อนล้าจากมาราธอนในคืนนี้มาก จึงขอตัวเอนนอนลงบนเบาะในร้าน แต่ด้วยเสียงเพลงที่รบกวนความสุขในการนอน เธอจึงขอกุญแจรถพี่ชายเพื่อไปนอนที่รถ ขณะนั้นฝนตกพรำๆ แฟร้งค์เป็นห่วงเธอ อยากไปนั่งในรถเป็นเพื่อนเธอ แต่อีกใจหนึ่งแฟร้งค์ก็เกรงว่าพี่ชายเธอจะตำหนิ และผู้ร่วมขบวนการวงสุราในคืนนี้จะว่าแฟร้งค์หนีไปหาความสุขส่วนตัว

แต่ความจริงแล้ว เพื่อนร่วมวงสุราทุกคนเข้าใจแฟร้งค์ดี

แรกเริ่ม แฟร้งค์ก็เข้าๆออกๆ จากร้านไปที่รถ เพื่อคอยดูว่าเธอหลับสบายดีหรือเปล่า แต่ยามที่แฟร้งค์โผล่ไปทีไร เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นทุกที แฟร้งค์เกรงว่าจะรบกวนการนอนของเธอ จึงขออนุญาตเธอเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังรถ และรับประกันกับเธอว่าเธอสามารถนอนหลับสนิทได้ แฟร้งค์ขอแค่นั่งเป็นเพื่อนด้วยความสงบ

เธอเปลี่ยนใจ กลับลงมาจากรถ แฟร้งค์ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอไม่ไว้วางใจแฟร้งค์? เธอกลัวโดนพี่ชายว่า? เธอกลัวเพื่อนว่า? หรือเธอไม่อยากให้แฟร้งค์มานั่งเฉยๆแต่อยากให้ไปสนุกเต็มที่เพราะมันเป็นคืนสุดท้ายที่แฟร้งค์จะได้เที่ยว?

แฟร้งค์และเธอกลับเข้าไปที่ร้านอีกครั้ง

ใกล้เช้า หกชีวิตออกจากร้านแยกย้ายกันกลับบ้าน แฟร้งค์คิดว่าเวลาที่แฟร้งค์จะได้เจอและอยู่ใกล้กับเธอหมดลงแล้ว จากนี้แฟร้งค์คงต้องเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง

อังคารที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘

ตอนเช้า แฟร้งค์พยายามทุกวิธีที่จะเลื่อนการเดินทาง แต่ระเบียบของเจ้าจำปีก็ไม่มีบทยกเว้นให้กับผู้มีความจำเป็นเรื่องหัวใจ

แฟร้งค์มีเรื่องต้องทำหลายอย่างก่อนเดินทางในคืนนี้ แต่แล้วความคิดถึงเธอทำให้แฟร้งค์ตัดสินใจยกเลิกกำหนดการเดิมทั้งหมดเพื่อไปหาเธอ แฟร้งค์ใช้เวลาเก็บกระเป๋าและตัดสินใจบอกครอบครัวว่าจะออกไปทำธุระ ให้ไปเจอกันที่สนามบินเวลา ๒๒.๐๐ น.

แฟร้งค์เพียรพยายามโทรหาเธอ แต่เธอก็ปิดเครื่อง คราใดที่แฟร้งค์โทรไปหาเธอแล้วมีเสียงเพลงขึ้นว่า “สุดที่รักเธอโทรมาช่วยรับหน่อย...” แฟร้งค์จะอมยิ้มแก้มตุ่ย แต่คราใดที่แฟร้งค์โทรไปหาเธอแล้วมีเสียงตอบรับว่า “คุณกำลังเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ...” แก้มยุ้ยๆของแฟร้งค์พลันเหี่ยวแห้งลงทันที

แฟร้งค์คิดว่าเธอคงไม่ชอบใจแฟร้งค์และไม่อยากคุยกับแฟร้งค์อีก เนื่องจากความอุบาทว์ของแฟร้งค์ที่ลากเธอเที่ยวยันเช้า แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของแฟร้งค์ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงจากสวรรค์แน่ๆ

คนรักของเฉลิมโทรมาเพื่อแจ้งให้แฟร้งค์ทราบว่า ตอนเช้าเธอไม่ได้มาทำงานเพราะลุกไม่ไหว พึ่งเข้ามาช่วงบ่าย และโทรศัพท์ก็แบตหมดตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ชาร์จ แฟร้งค์รู้สึกผิดมาก คนรักของเฉลิมยื่นโทรศัพท์ให้เธอได้คุยกับแฟร้งค์ เธอตกลงจะไปกินข้าวเย็นกับแฟร้งค์ มันเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่แฟร้งค์ต้องจากไป

แฟร้งค์นั่งรถไฟใต้ดินครั้งที่สี่ในชีวิต เธอนัดแฟร้งค์ที่ทำงานของเธอย่านลาดพร้าว เวลา ๑๘.๐๐ น. ในขณะที่แฟร้งค์มีเวลาถึง ๒๒..๐๐ น. เท่ากับว่าแฟร้งค์มีเวลาที่จะเจอกับเธอได้อีกแค่ ๔ ชั่วโมง แฟร้งค์นึกในใจว่า ทำไมหนอเราจึงไม่เป็นซินเดอเรลล่าที่มีโอกาสไปงานเลี้ยงได้ถึงเที่ยงคืน อย่างน้อยก็มากกว่าเวลาที่แฟร้งค์มีตั้ง ๒ ชั่วโมง

แฟร้งค์นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากปากซอยเข้ามาที่ทำงานของเธอ สายตาแฟร้งค์เหลือบไปเห็นเธอกำลังเดินอยู่ในซอย แฟร้งค์รีบร้องบอกคุณน้ามอเตอร์ไซค์ให้หยุดรถ แล้ววิ่งตามเธอไป แต่ก็ไม่ทัน แฟร้งค์เดินกลับเข้าไปที่ทำงานของเธอ เพื่อนของเธอต้อนรับแฟร้งค์ดีมากและแจ้งว่าเธอออกไปสระผมที่กลางซอย

แฟร้งค์อยากใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการอยู่ใกล้กับเธอ จึงตัดสินใจออกเดินไปหาเธอโดยที่ไม่รู้เลยว่าร้านทำผมอยู่ตรงไหน

ผ่านร้านแรก ไม่เห็นเธอ ร้านที่สอง ยังไม่เห็น ร้านที่สาม แฟร้งค์เห็นสตรีคนหนึ่งกำลังทำผม ที่หลังร้านแฟร้งค์เห็นช่างกำลังสระผมให้ใครคนหนึ่งอยู่ แฟร้งค์พยายามชะโงกหน้าไปดูหลังร้านว่าใช่เธอหรือไม่ แต่ก็จนปัญญา แฟร้งค์เกรงว่าจะโดนเจ้าของร้านหาว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี จึงเดินออกหาเธอต่อไป แฟร้งค์มารู้ภายหลังจากปากเธอว่า ผู้หญิงที่นอนสระผมอยู่หลังร้านนั้นเป็นเธอนั่นเอง

๑๘.๔๐ เธอโทรมาบอกว่า การสระผมเสร็จสิ้นแล้ว รออยู่ที่ทำงาน แฟร้งค์รีบโกยอ้าวราวกับหนีผีปอบเพื่อกลับไปเจอเธอ

เหลือเวลาที่แฟร้งค์จะอยู่ใกล้เธอแค่ ๓ ชั่วโมง ๒๐ นาที เธอ แฟร้งค์ และคนรักของเฉลิมตกลงจะไปกินข้าวกัน ไปถึงร้าน ๑๙.๐๐ เวลาถอยไปอีกแล้ว แฟร้งค์อยากหาอะไรมาหยุดเวลาเสียจริง

แฟร้งค์สังเกตว่าเธอชอบกินปูผัดผงกะหรี่ แต่ละคำเข้าปากเธอช้ามาก เพราะเธอต้องเขี่ยผักที่ติดมาออกให้หมดเสียก่อน แฟร้งค์อยากให้เธอได้กินปูอย่างเอร็ดอร่อย เลยตักปูมาที่จานของตัวเองมากพอควร แล้วนั่งเขี่ยผักอย่างละเอียดลออเพื่อส่งต่อให้เธอ แฟร้งค์มั่นใจว่าปูที่เธอกินต่อจากนี้จะไม่มีผักแม้แต่นิดเดียว

เฉลิมตามมาสมทบจากที่ทำงาน เข็มนาฬิกาขยับไปที่ ๒๐.๐๐ แฟร้งค์ส่งสัญญาณกับเฉลิม เป็นอันรู้กันว่าเราต้องมีเบียร์เย็นๆสักขวด แฟร้งค์ดื่มได้น้อยมาก แฟร้งค์ไม่ได้รักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าเธอด้วยการดื่มน้อย หากเป็นเพราะแฟร้งค์อ่อนล้ามาจากเมื่อวาน

แฟร้งค์รู้สึกว่าอาหารร้านนี้อร่อยยิ่งนัก จริงอยู่ ฝีมือพ่อครัวดีดังที่คนรักของเฉลิมบอก แต่สำหรับแฟร้งค์แล้ว การได้นั่งเคียงข้างเธอและการได้กินอาหารที่เธอตักมาใส่จานต่างหากเล่าที่ทำให้แฟร้งค์ล่องลอยอยู่ในวิมาน

จริงอย่างที่ใครบางคนกล่าวไว้ ยามใดที่เรามีความสุข เวลามักจะแกล้งเราด้วยการเดินเร็วเสมอ นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ถึงเวลาแล้วที่แฟร้งค์ต้องไป แฟร้งค์ยังอยากใช้เวลาชั่วโมงสุดท้ายอยู่กับเธอ จึงอาสาไปส่งที่ห้างย่านรัชโยธิน นี่เป็นครั้งที่สามในรอบหกวันที่แฟร้งค์แวะเวียนมาห้างแห่งนี้ ซึ่งก็เป็นสามครั้งในชีวิตของแฟร้งค์ด้วย

แฟร้งค์นั่งเป็นเพื่อนเธอเพื่อรอการมารับของพี่ชาย แฟร้งค์อยากสนทนากับเธอมาก แต่แฟร้งค์รู้ดีว่าเธออ่อนเพลียเพียงใดจากความดันทุรังของแฟร้งค์เมื่อคืนวาน แฟร้งค์จึงไม่พูดอะไรมากนัก นอกจากขอมองเธอนานๆ ๒๑.๓๐ พี่ชายของเธอมาถึง เธอและพี่ชายอาสาไปส่งแฟร้งค์ถึงสนามบิน แฟร้งค์เกรงใจจึงปฏิเสธไป แต่เธอและพี่ชายยืนยันที่จะไปส่ง แฟร้งค์หัวใจพองโตที่จะมีโอกาสอยู่ใกล้เธอแม้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม

บนยานพาหนะ แฟร้งค์นั่งด้านหน้า เธอนั่งด้านหลัง แฟร้งค์ไม่ได้สนทนากับเธอเพราะเห็นว่าเธอนอนหลับปุ๋ย แฟร้งค์คุยกับพี่ชายของเธอตลอดเส้นทาง แม้แฟร้งค์จะไม่ได้คุยกับเธอ แต่แฟร้งค์ก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ

ทำไมเส้นทางจากรัชโยธินมาดอนเมืองจึงใกล้นัก แฟร้งค์คิด

แฟร้งค์ทราบดีว่าเธอและพี่ชายอ่อนล้าและอยากกลับไปพักผ่อน แฟร้งค์จึงขอเดินเข้าไปสนามบินเอง เพราะเท่านี้แฟร้งค์ก็ขอบคุณเป็นอย่างสูงแล้ว

ก่อนที่แฟร้งค์จะเดินจากเธอไป แฟร้งค์อยากจับมือของเธอขึ้นมากุมไว้ อยากเอามือลูบหัวเธอเบาๆ แต่แฟร้งค์ก็ไม่กล้า เพราะเกรงว่าเธอจะตำหนิแฟร้งค์ที่ล่วงเกินเธอทั้งๆที่รู้จักกันได้ไม่กี่วัน

แฟร้งค์ขอร้องเธอว่าอย่าปิดโทรศัพท์ และยกมือขวาขึ้นมาไว้ข้างหูเพื่อทำเป็นรูปโทรศัพท์ แฟร้งค์พูดประโยคสุดท้ายสั้นยิ่งนัก “บ๊าย บาย”

ไม่น่าเชื่อ

๑๑ วันนับจากวันที่แฟร้งค์พบเธอครั้งแรก ณ ร้านมอลลี่
๑ วันนับจากวันที่แฟร้งค์ได้สนทนากับเธออย่างจริงจังและมีโอกาสดูหนังและเที่ยวด้วยกันยันเช้า

มาถึงวันนี้ วันที่แฟร้งค์ต้องจากเธอไป แฟร้งค์คิดได้แล้วว่า “เธอคือคนที่ฉันตามหามาแสนนาน และเป็นคนที่ฉันใฝ่ฝันในหัวใจ แม้ชีวิตของฉันตอนนี้จะเป็นเช่นไร แต่อยากให้รับรู้เอาไว้ อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี แต่คืนนี้ จะบอกเธอนะคนดี อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้... ฉันรักเธอ”

ชีวิตของแฟร้งค์ผ่านผู้หญิงมาอยู่บ้าง แต่แฟร้งค์กลับไม่รู้สึกผูกพันเท่ากับเธอคนนี้ ทั้งๆที่แฟร้งค์มีเวลาเพียงไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับเธอแล้วต้องจากกัน แฟร้งค์ก็ไม่ลังเลที่จะยืนยันว่าเธอคือหัวใจของแฟร้งค์เสียแล้ว

.................

มิตรรักบล็อกเกอร์ทุกท่านครับ...

คิดว่าตอนจบจะเป็นยังไง

ลองเอาใจช่วยแฟร้งค์กันหน่อยครับว่าสุดท้ายจะแฮปปี้ เอนดิ้งหรือเปล่า ไว้ผมมีโอกาสเจอแฟร้งค์อีกครั้งจะสอบถามแล้วเอามาเล่าสู่กันฟังต่อ

-หมายเหตุ- สไตล์การเขียนบล็อกตอนนี้รับอิทธิพลมาจากบทภาพยนตร์เรื่อง “หมานคร”

ผมไปทำอะไรมาบ้าง

ตั้งใจไว้ตั้งแต่อยู่บางกอกแล้วว่าจะบันทึกสิ่งที่ผมไปทำระหว่างเกือบสามเดือนที่ผ่านมา มิตรรักบล็อกเกอร์จะได้รู้ว่าข้าพเจ้าไม่มาอัพเดทบล็อกบ่อยๆนั้นเป็นเพราะอะไร

งานการกุศล
- สอนวิชากฎหมายสหภาพยุโรป ระดับปริญญาตรี
- บรรยายที่ค่ายนักกฎหมายสำหรับนักศึกษาปี ๑ ที่สระบุรี
- วิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติให้กระทรวงสาธารณสุข
- สอนประกาศนียบัตรกฎหมายมหาชน หลักสูตร ๓ เดือน รวม ๒ ครั้ง
- บรรยายให้นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ
- กรรมการแข่งขันตอบปัญหากฎหมายระดับอุดมศึกษา วันรพี
- เขียนบทความลงวารสารวันรพี ๒๕๔๘
- อภิปรายให้ประกาศนียบัตรกฎหมายมหาชน หลักสูตร ๑ ปี เรื่อง พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ร่วมกับ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์และ อ.ดร.เอกบุญ วงษ์สวัสดิ์กุล
- ดำเนินอภิปรายเรื่องพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ร่วมกับประมวล รุจนเสรี, ธนา เบญจาทิกุล และรศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์

งานบันเทิง
- รับน้องกลุ่มใต้กะได เพชรบุรี
- รับน้องกลุ่มฮิจุ๋ม นครนายก
- บายเนียร์กลุ่มใต้กะได ทองหล่อ
- บายเนียร์กลุ่มฮิจุ๋ม ศาลาแดง
- บายเนียร์กลุ่มเสือกระดาษ โรงแรมอมารี บูลวาร์ด
- บายเนียร์กลุ่มพรรคมาร ตึกช้าง รัชโยธิน
- นั่งร้านมอลลี่ นับไม่ถ้วน (น่าจะราวๆ ๒๐ ขึ้นไป)
- นั่งร้านบริค บาร์ ๔ ครั้ง
- นั่งสน็อบ รัชดาซอย ๔ ๒ ครั้ง
- นั่งหลังสวน ๓-๔ ครั้ง
- เจอประชาคมบล็อกเกอร์ ณ ร้านเฮมล็อค
- ไปลดอายุที่สลิมอีกสองถึงสามครั้ง
- สอยคิวกับ ratio scripta นับครั้งไม่ถ้วน

งานวิจัยหาเงิน
- ศาลรัฐธรรมนูญโปรตุเกส
- การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทางราชการของฝรั่งเศส
- คณะตุลาการรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส

งานวิทยานิพนธ์
- ค้นข้อมูลที่ห้องสมุดสัญญา ธรรมศักดิ์ คณะนิติศาสตร์ มธ.
- ค้นข้อมูลที่ห้องสมุด คณะนิติศาสตร์ จุฬา
- ค้นข้อมูลที่ศาลปกครอง
- เดินสายพบปะอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อขอความรู้

งานครอบครัว
- พาที่บ้านไปกินข้าว
- จัดการปัญหาน้องชายสุดที่รัก
- เยี่ยมพี่สาวและหลานที่เพิ่งคลอด
- จัดการปัญหาเรื่องหนี้สินของที่บ้าน

(พึงสังเกตไว้ด้วยว่างานบันเทิงนำโด่งมาเป็นอันดับ ๑)

สิ่งที่ผมตั้งใจไว้แต่ไม่ได้ทำ
ตรวจสุขภาพ
ขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่
อีดิทต้นฉบับบล็อกตอนเก่าๆ

อีกเรื่อง น่าแปลกที่ผมไม่ได้ทำ คือ การเที่ยวกับเพศตรงข้าม ตลอดเกือบ ๓ เดือน ผมไม่ได้ไปกินข้าว ดูหนัง ช็อปปิ้งกับผู้หญิงคนใดสองต่อสองเลย ส่วนใหญ่ผมไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่ก็มิตรสหายที่เป็นเพศเดียวกัน (กลุ่มผมนี่ชายล้วน รุ่นผมรวม ๑๒ คน รุ่นน้องอีกประมาณ ๑๐ คน)

สิ่งที่ผมทำมากจนเกินไป
เห็นจะหนีไม่พ้น ดื่มเหล้า เพื่อนผมเคยบอกว่า เงินค่าเหล้าทั้งหมดที่เราเคยดื่มตั้งแต่สมัยปี ๑ รวมๆแล้วอาจถอยรถดีๆได้สักคัน

เรื่องที่ผมชอบที่สุดในการกลับเมืองไทยครั้งนี้
ผมมีโอกาสรื้อฟื้นบรรยากาศทางวิชาการที่คณะอีกครั้ง ได้สอน ได้พูด ได้เขียน จนทำให้ละเลยงานวิทยานิพนธ์ของตัวเองไปบ้าง อีกเรื่องที่ผมอิ่มเอมใจ คือ การลงไปช่วยนักศึกษาทำกิจกรรมโดยเฉพาะตอนไปออกค่าย บางทีการพูดของเราก็อาจจุดไฟในตัวเด็กๆแต่ละคนได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงเหมือนกัน

ผมเชื่อมั่นมาตลอดว่าเด็กที่เอนท์ติดเข้ามาคณะผมต้องมีสมอง เรียนดี มีความรับผิดชอบ ไม่งั้นคงเอนท์ไม่ติด เพียงแต่โลกเราทุกวันนี้ ไม่มีใครดูแลเค้าเท่าไร ใครจะไปได้สวยหรือไม่อยู่ที่ความรักดีของตัวเอง เหมือนปล่อยเค้าโยนลงน้ำแล้วให้หาทางเอาตัวรอด ถ้าเราเข้าไปเอาใจใส่เค้าสักนิด ชี้ทางสว่างสักหน่อย หรือพอจะเป็นต้นแบบให้เค้าได้บ้าง ชีวิตของพวกเค้าก็น่าจะเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ผมว่าบางทีเราควรหันมาให้ความสำคัญกับวัยรุ่นในฐานะเพื่อนมนุษย์บ้าง ไม่ใช่ให้ความสำคัญในฐานะวัยรุ่นเป็นผู้บริโภครายใหญ่ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ชุดคำพูดที่ผมเสนอซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนไปบรรยายที่ค่ายและช่วงบายศรี คือ กระตุ้นให้ทุกคนมีเป้าหมายของชีวิต จากประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่อว่าถ้าชีวิตเรามีเป้าหมายแล้ว ยามใดเราออกนอกลู่นอกทาง ไอ้เป้าหมายนี่แหละจะเป็นผู้เรียกเรากลับมาให้เข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ชอบเพื่อไปสู่เป้าหมาย หากเราไร้ซึ่งเป้าหมายชีวิต ยามใดที่เราเตลิดเปิดเปิงไปก็อาจกู่ไม่กลับได้

เรื่องที่ผมไม่ชอบ
คงเป็นชีวิตเมืองหลวงที่แต่ละวันเราต้องเสียเวลาไปบนท้องถนนมากเกิน ผมยังสังเกตว่าค่าครองชีพที่นี่สูงขึ้นมาก แต่ละวันต้องมีเงินติดกระเป๋า ๕๐๐ บาทขึ้นไป บางครั้งก็เป็นพัน (ไม่รวมค่าเหล้านะ) หนังสือก็แพงขึ้นมาก

อีกเรื่องที่น่าผิดหวัง คือ การอ้างสถาบันกษัตริย์เพื่อกระทบชิ่งไปยังรัฐบาล และบทบาทของ “ใครบางคน” (ผมเอ่ยนามไม่ได้หากยังหวงชีวิตตนเองอยู่) ในเรื่องบางเรื่องซึ่งผมถือว่ากระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุขอย่างร้ายแรง

ข้อคิดที่ได้จากการกลับบ้านครั้งนี้
๑. รายได้ของคนไทยแตกต่างกันมากเกิน จำนวนรายได้ไม่สัมพันธ์กับแรงงานที่ลงไป งานบางประเภทลงแรงมากแต่ได้เงินน้อย ไม่น่าแปลกใจที่ผู้แก่ผู้เฒ่าพูดเสมอว่า เรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน การศึกษาจึงต้องรับบทบาทเป็นบันไดให้คนไต่ไปสู่เงินทองและชื่อเสียง ปรัชญาการศึกษาในระดับอุดมศึกษาโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยของรัฐที่ว่า เอาเงินหลวงไปเรียนแล้วต้องทำอะไรตอบแทนบ้างนั้น ไม่อาจใช้ได้ในสังคมไทยทุกวันนี้
๒. สุราและการเที่ยวราตรีทำให้ร่างกายและสมองถดถอยลง
๓. ผู้หญิงไทยสวยขึ้นมากและอาจสวยที่สุดในโลกก็เป็นได้

.................

ขอบคุณสหายและมิตรร่วมรบทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่า เงินทองที่ต้องมาช่วยแชร์ค่าเหล้า และสุขภาพ (โดยเฉพาะตับ) เพื่อมาแต่งแต้มความสุขให้กับชีวิตของผมระหว่างปิดครื่องชาร์จแบตที่เมืองไทย พึงตระหนักไว้เสมอว่าหากวิทยานิพนธ์ของผมสำเร็จได้ก็เพราะพวกท่านส่วนหนึ่ง

การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา (เอากะเค้ามั่ง)

ผมเดินทางกลับมาฝรั่งเศสได้หลายวันแล้ว แต่ไม่มีอินเตอร์เนทใช้เพราะยกเลิกบริการก่อนกลับเมืองไทยไป ตอนนี้อินเตอร์เนทเจ้าใหม่ส่งโมเด็มมาให้ เลยกลับเข้าสู่โลกไซเบอร์สเปซได้ตามปกติ ระหว่างที่ผมไม่มีเนทใช้นั้น ผมก็ขยันปั่นบล็อกทิ้งไว้หลายตอน ทั้งนี้เพื่อเป็นการชดเชยความขี้เกียจอัพบล็อกตอนอยู่บางกอก ผมเลยขอเอาลงทีเดียว ๓ ตอนรวดไปเลย

เห็นบล็อกเกอร์หลายคนหยิบยืมชื่อคอลัมน์ของอาทิตย์ในผู้จัดการ ออนไลน์มาใช้กัน ผมก็ขอยืมเอามาใช้กะเค้ามั่ง

การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาของผม เกิดขึ้นระหว่าง กรุงเทพ-ปารีส-น็องต์

วันสุดท้ายในมหานครแห่งความสุข ผมยังคงตักตวงความสุขอย่างเต็มที่ ผมเร่งทำภารกิจสำคัญในชีวิต ทำให้ไปถึงสนามบินอย่างล่าช้าจนโดนบุพการีตำหนิเอา ในใจยังคิดว่าตกเครื่องบินก็ดี บุพการีของผมเป็นกังวลว่าจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักกระเป๋าที่ผมแบกไป ๔ ใบร่วม ๕๐ กิโล แต่โชคเข้าข้างผมมาก ผมเข้าไปเช็คอิน เอากระเป๋าสองใบที่ผมต้องการโหลดลงเครื่องไปชั่งน้ำหนัก เลขที่ออก ๓๕ กิโลกรัม เกินมาหลายกิโล แต่พนักงานหน้าหวาน ใจดีสมดังหน้าตา อนุญาตให้ผ่านไปอย่างไม่มีการท้วงติง

ด้วยความหน้าด้าน ผมเลยรบเร้ากับเธออีกว่า ขอเอาลงอีกใบได้มั้ยครับ เธอยิ้มหวานตอบกลับมาว่า “นี่ก็เกินมาเยอะแล้วนะคะ” ผมยิ้มเจื่อนๆเดินออกไป ผมคาดไม่ถึงว่าการเช็คอินกระเป๋าในครั้งนี้จะผ่านไปอย่างง่ายดาย รู้งี้เอาหนังสือหนาๆใส่ไปอีกสักเล่มสองเล่มก็ดี

บังเอิญที่ผมมีรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่เมืองเดียวกันเป็นสิงห์อมควันตัวยง ด้วยเหตุที่มะเร็งห่อมวนที่ฝรั่งเศสราคาแพงมากสนนราคาตกซองละ ๒๕๐ บาท ผมจึงสนับสนุนยัดเยียดความเป็นมะเร็งให้แก่รุ่นพี่คนนี้ด้วยการไปซื้อมะเร็งห่อมวนที่ดิวตี้ฟรี รวม ๒ ค็อต ราคา ๑ พันบาท เรียกได้ว่าเงินก้อนเดียวกันซื้อบุหรี่ที่ฝรั่งเศสได้แค่ซองเดียวแต่ซื้อที่เมืองไทยได้ตั้ง ๕-๖ ซอง

ผมนั่งอยู่กับพ่อ แม่ แม่บ้าน เกือบชั่วโมง จึงเดินเข้าสู่ภายในสนามบิน จัดการลบข้อมูลในมือถือที่ใช้ประจำตอนอยู่เมืองไทยแล้วส่งคืนให้ที่บ้านเอาไปใช้ต่อ สวมกอดทั้งสามคน มุ่งหน้าเดินทาง บรรยากาศนี้ผมค่อนข้างชินแล้ว เพราะผมกลับบ้านบ่อย นับรวมตอนนี้ก็ได้ ๔ ครั้ง

ก่อนจะเข้าไปตรวจกระเป๋าที่ผมจะเอาขึ้นเครื่องบิน ก็ต้องแวะไปเอาบุหรี่ที่จ่ายเงินไปแล้วเสียก่อน เวรกรรมครับ ซุ้มดิวตี้ฟรีมันอยู่เกท ๓๐ กว่าๆ แต่เครื่องบินที่จะขึ้นอยู่เกท ๑๒ เดินย้อนไปมาอ้วกเลย ซวยยิ่งกว่า ผมเข้าไปข้างในแล้วหารถเข็นไม่เจออีก ต้องแบกกระเป๋า ๒ ใบน้ำหนักรวม ๑๕ กิโลด้วยมือเปล่า

มาถึงที่สแกนกระเป๋า กะว่างานนี้ชิวๆ ไม่มีเรื่อง แต่ที่ไหนได้ กระเป๋าผมดันมีอาวุธซุกซ่อนอยู่ มันคือที่เปิดไวน์นั่นเอง ผมนึกย้อนไปได้ความว่า มันติดกระเป๋ามาตั้งแต่ไปรับน้องแล้วผมไม่ได้เอามันออก ก็ต้องเขวี้ยงทิ้งไป เสียดายอยู่ครับ เพราะราคาแพงได้ใจทีเดียว

เดินขึ้นเครื่องบิน ผมได้ที่นั่งจ๊าบมาก อยู่ด้านนอก ลุกเข้าออกสบาย แถมช่องวางสัมภาระบนหัวก็ยังว่างอีก นั่งพักเหนื่อยได้สักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง ...

วิงเวียนศีรษะพาลจะอาเจียน
แถมข้าศึกในท้องเริ่มรบกวนด้วยการเคาะประตูบ้านจะออกมาดูโลกภายนอก
เหงื่อตก หน้าซีด ทั้งๆที่ในเครื่องเย็นฉ่ำ
ท่านผู้อ่านเคยมั้ยครับ ที่ของเสียจากตัวท่านมันอยากจะออกทวารปากและทวารหนักพร้อมๆกัน

สงสัยต้องเป็นเพราะอาหารมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง และแอลกอออล์ที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงเมื่อกี๊แน่ๆ ร่างกายผมมันคงอยากร้องตะโกนออกมาดังๆว่า “กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย ฉ่ำเหล้าไปหมดแล้ว” จะลุกเข้าไปขับไล่ข้าศึกออกจากตัวก็ไม่ได้ เพราะเครื่องเริ่มเดินรอเหินขึ้นฟ้าแล้ว กติกาเค้าบังคับให้นั่งกับที่ห้ามลุกไปไหน หรือถ้าเกิดผมลุกไปนั่งปลดทุกข์เกิดเครื่องทะยานขึ้น ผมมิตกส้วมตายหรือ?

ทันใดนั้นก็มีเสียงราวมัจจุราชก็มิปานดังขึ้น

“ต้องขออภัยผู้โดยสารเป็นอย่างยิ่งที่เครื่องออกล่าช้ากว่ากำหนด เครื่องพร้อมออกแล้วแต่สภาพการจราจรในสนามบินติดขัด มีเครื่องขึ้น-ลงมาก เรากำลังรอสัญญาณจากหอบังคับการอยู่ ขออภัยความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้” เสียงกัปตันร้องประกาศให้ผู้โดยสารทราบ

ผมอยากบอกกัปตันว่าเปลี่ยนจากคำขออภัยเป็นคำอนุญาตให้ผมไปขี้จะได้หรือไม่ มาถึงขั้นนี้ผมเริ่มทนไม่ไหว แอบละเมิดกติกาการบินด้วยการปลดเข็มขัดที่นั่งและเข็มขัดกางเกงไปพร้อมๆกัน แล้วเอาผ้าห่มปิดไว้ กะให้ผ่อนคลายและไม่เสียเวลาตอนถอดกางเกงอีก

เครื่องทะยานขึ้น ทันทีที่มีสัญญาณให้ปลดเข็มขัดที่นั่งได้ ผมลุกไปห้องน้ำในบัดดล กรรมเวรของผมโดยแท้ มีชายแก่ฝรั่งเศส และไอ้หนูน้อยอีกคนอยู่หน้าผม ทั้งสองคนอาจมีชะตากรรมเดียวกับผมก็เป็นได้ ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่าสองหนุ่มต่างวัยจะเข้าห้องน้ำได้รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม แต่ในความเป็นจริงทั้งสองคนใช้เวลาโคตรนาน จนผมเริ่มหมดกำลังใจจะกลับไปนั่งที่เดิม ก็เวลาที่ข้าศึกมาเคาะประตู บางทีถ้านั่งอาจบรรเทาอาการไปได้บ้าง แต่พอยืนทีไรล่ะก็ได้เรื่อง ลมมันเย็นวูบวาบ ผมต้องอาศัยการขมิบทวารให้พอทุเลาไปพลางก่อน

“แกร๊ก” เสียงปลดกลอนดังขึ้น ผมถลาเข้าไปในห้องแคบๆนั้นทันที รีบขนาดไหนก็คิดดูละกันว่า ผมถอดกางเกงนั่งส้วมก่อนที่จะล็อคประตูเสร็จเสียอีก

....................................................................
....จากนี้งดบรรยายเพื่อป้องกันความอุจาด.....
....................................................................

หลังขับไล่อริราชศัตรูให้พ้นไปจากเขตขันธสีมาของผมแล้ว ก็มาถึงการสรรหาเครื่องดื่มเย็นๆมาดับร้อน ผมขอจิน-โทนิคจากแอร์หน้าจิ้มลิ้ม ต้องอย่างนี้สิครับ... ชีวิตถึงค่อยน่าอภิรมย์ขึ้นมาหน่อย แต่ในใจก็ยังกังวลว่า กูซัดแอลกอฮอล์เข้าไปอีกนี่จะมีข้าศึกตนไหนมาเพ่นพ่านในบ้านอีกเปล่าหว่า เลยยับยั้งชั่งใจด้วยการกระดกเพียงแก้วเดียว

ขอนอกเรื่องอธิบายสักเล็กน้อยถึงสูตรการซัดน้ำเมาบนเครื่องบินของผม

ก่อนที่อาหารมื้อแรกมาเสิร์ฟ เค้าจะมีบริการเครื่องดื่มให้เราจุดหัวเทียนก่อน ผมแนะนำว่าควรเลือกของเย็น จะทำให้ท่านรู้สึกสบายหลังจากเหนื่อยล้าเพราะแบกสัมภาระ บางท่านอาจกระดกเบียร์ แต่ผมดัดจริตเล็กน้อยด้วยการสั่งจิน-โทนิค เหตุผลง่ายๆคือ เบียร์หากินง่ายตามท้องถนนทั่วไป ปกติผมจะซัดไปสองแก้วพร้อมกับถั่วที่เค้าแจกให้คนละซอง

จากนั้นเค้าจะเริ่มเสิร์ฟอาหาร ส่วนใหญ่มีสองเมนูให้เลือก ก็เลือกไปตามใจปากตัวเองละกันครับ ส่วนเครื่องดื่ม เค้ามีไวน์แดง ไวน์ขาวมาให้เลือก ผมซัดไวน์แดงตลอด จำนวนแก้วไม่เคยนับ มากน้อยขึ้นกับว่าแอร์มาเพ่นพ่านแถวที่นั่งผมบ่อยมั้ย (ผมเคยนั่งแอร์ ฟร้านซ์ เค้าให้คนละขวดขนาด ๓๕ มิลลิลิตรไปเลย ซึ่งถูกจริตคนเยี่ยงผมมาก จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณแอร์บ่อยๆ)

ปิดท้ายก็มีกาแฟ ชา มาให้เลือก ผมติดกาแฟมาก จะนอนก็ต้องกิน ก็ซัดอีกหนึ่งหน่วย คนอื่นอาจจะเตรียมขยับหาที่นอนกัน แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกหน่อย พร้อมกับละเลียดคอนหยักอีก ๒ แก้ว เป็นอันเสร็จพิธี

พูดถึงการละเลียดคอนหยัก การเดินทางครั้งนี้มีสิ่งดีๆเกิดกับชีวิตของผมหนึ่งเรื่อง

ผม – โทษนะครับ... ผมรบกวนขอคอนหยักสักแก้วได้มั้ยครับ
คุณแอร์ – เอ่อ... อายุเกิน ๑๘ หรือยังคะ
ผม – (พยักหน้า) เอ่อ... ผมจะเข้า ๒๖ แล้วครับ
คุณแอร์ – อ๋อ พอดีเห็นหน้าเด็กน่ะค่ะ
ผม – (แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ)

ตัดกลับมาถึงสนามบินชาร์ลส์ เดอโกลล์ สืบเนื่องมาจากว่าเครื่องออกจากดอนเมืองล่าช้ากว่ากำหนดการ กว่าจะมาถึงสนามบินที่ฝรั่งเศสก็ปาไป ๗ โมงเช้า ไหนผมจะต้องรอตรวจพาสปอร์ตอีก พูดแล้วก็อยากจะด่าคนที่ถือพาสปอร์ตยุโรปยิ่งนัก เค้ามีช่องตรวจพาสปอร์ตที่สงวนไว้เฉพาะคนในอียู เจ้าหน้าที่ก็ตะโกนเรียก แต่ไม่มีใครไปเลย มายัดอยู่ที่ช่องเดียวกันอยู่ได้

ผมจำได้แม่นยำว่ารถไฟจากสนามบินเข้าเมือง Nantes ออกเวลา ๘.๓๐ น. ทว่าหลังจากตรวจพาสปอร์ตและลากกระเป๋าจากเทอร์มินัล ๑ มาถึงสถานีรถไฟก็ปาเข้าไป ๘.๑๐ น.เข้าไปแล้ว ไหนจะเข้าคิวรอซื้อตั๋วอีก ผมแลเห็นคนต่อแถวยาวมากที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว จึงตัดสินใจใช้วิธีลัดด้วยการซื้อทางเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ แถวยาวพอใช้ได้แต่คะเนแล้วผมน่าจะซื้อทันรถไฟออกพอดี

ผ่านไป ๑๐ นาที เหลืออีกสองคนก็จะถึงตาผมแล้ว เดี๋ยวก็จะได้นอนยาวๆบนรถไฟสักที

ทว่า การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา... ถึงคิวผมซื้อตั๋ว เครื่องจำหน่ายดันเกิดป่วยกระทันหัน ขึ้นตัวอักษร « Hors service » แปลว่า “งดให้บริการ”

“ปุตแต็ง เดอ แมร์ด” “บอร์ดาล” ผมผรุสวาทตามสำนวนเจ้าถิ่น

ชายชราที่ต่อหลังผมหันมามองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ผมบอกชายชราคนนั้นว่า ถ้าไอ้คนที่อยู่หน้าพวกเราคนหนึ่งไม่อนุญาตให้สตรีคนหนึ่งแซงคิวล่ะก็ ผมต้องเป็นคนสุดท้ายที่ได้ซื้อตั๋วแน่นอน ตำแหน่งที่ผมยืนตอนนี้ก็จะกลายเป็นลุง และลุงก็จะเป็นคนผรุสวาทออกมา ถึงที่สุดทั้งผมและลุงก็ซวยด้วยกันอยู่ดี เราสองคนหัวเราะปนขมขื่นให้กับการเดินทางที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้

ผมพาสัมภาระร่วม ๕๐ กิโลไปซื้อตั๋วที่เครื่องใหม่ แถวยาวอีกเช่นเคย แต่ครานี้ผมใจเย็นขึ้น อย่างไรเสียรถไฟรอบแรกก็ออกไปแล้ว เมื่อถึงคิวผม ผมก็พบว่าการเดินทางครั้งนี้มันไม่ธรรมดาอีกเช่นเคย

รถไฟที่ผมจะนั่งจากสนามบินกลับบ้านผมในรอบต่อไปจะออกเวลา ๑๓.๓๐ น. เท่ากับว่าผมต้องนั่งรอที่สนามบินเกือบ ๕ ชั่วโมง นั่งรถไฟอีกเกือบ ๔ ชั่วโมง รวมแล้วอีก ๙ ชั่วโมงกว่าผมจะถึงรัง ผมลองหาวิธีแก้ด้วยการหาตั๋วไปลงเมืองใกล้ๆ บ้านผม ปรากฏว่าต้องรอนานพอๆกันอยู่ดี

มีอีกวิธีหนึ่ง ผมต้องออกจากสนามบินเข้าไปสถานี Montparnasse ในตัวเมืองปารีส สถานีนี้มีรถไฟไปบ้านผมทุกชั่วโมง แถมยังเป็น TGV วิ่งเร็วจี๋ ๒ ชั่วโมงถึง แต่มานั่งคำนวณแล้ว กว่าผมจะแบกสัมภาระครึ่งร้อยกิโลเพื่อเข้าไปสถานี ก็คงจะชักดิ้นตายก่อนจะถึงเป็นแน่ (ต้องนั่งรถบัสเปลี่ยนเทอร์มินัล แล้วเปลี่ยนรถบัสอีกคันเพื่อไปสถานี Montparnasse ไม่ก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินเข้าไปซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ายามเช้าของปารีสนั้นคนแน่นเป็นปลากระป๋อง)

ในที่สุด ผมก็ปลงตก รอก็รอ ทำไมหนอชีวิตของผมถึงมีแต่การรอคอย

หิวมาก ท้องบอกผมด้วยเสียงอันดัง ผมเลยเดินเข้าไปหาของกิน ต้องเรียนให้ทราบด้วยว่า การเดินไปไหนมาไหนตลอดเวลาที่อยู่สนามบินและสถานีรถไฟ ผมไม่ได้เดินตัวเปล่า แต่ต้องลากเอาสัมภาระ ๕๐ กิโลไปด้วย ผมซื้อสิ่งที่ผมไม่อยากเรียกว่า “อาหาร” ยัดเข้าท้องให้พออิ่ม ลองคิดดู ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ผมยังได้กินอาหารดีๆ เหล้าดีๆ บรรยากาศดีๆ อยู่เลย เผลอแป๊บเดียวกลายเป็นนักพเนจรกินขนมปังผ่ากลางใส่ไส้กรอกนิด ผักหน่อย

จัดการเรื่องปากท้องเสร็จ ก็หามุมสงบๆนั่งพัก ผมพบว่าผมไม่อาจนอนบนเก้าอี้ในสถานีได้สะดวกนัก ว่าแล้วเลยจัดแจงหามุมหนึ่ง เอากระเป๋ากองไว้ ๒ ใบ เอนตัวลงนอนกับพื้นโดยมีกระเป๋าหนุนหัว ปลายเท้าก็ต้องพาดบนกระเป๋าอีก ๒ ใบที่เหลือเพื่อจะได้รู้สึกตัวหากมีใครมาแอบขโมยกระเป๋าผมไป

ถ้ามิตรรักบล็อกเกอร์ยังไม่เห็นภาพ ขอให้นึกถึงคนที่นอนระเกะระกะตามสถานีหัวลำโพงหรือหมอชิต นั่นแหละ สภาพของผม

แน่ละ สภาพเช่นนี้คงนอนไม่ได้นาน ความไม่สบายในการนอนปลุกให้ผมตื่นหลังจากเอนหลังไปได้เกือบชั่วโมง เหลืออีกเกือบ ๔ ชั่วโมง ผมงัดหนังสือมานั่งอ่าน แม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยแต่ผมก็อ่าน “พรมแดนทดลอง” ของคุณมุกหอม วงศ์เทศจบไปได้

ด้วยความกรุณาของคุณ Carré de mim ทำให้ผมมีบัตรโทรศัพท์ใช้โทรกลับไทย ผมโทรกลับไปหาคนที่ผมอยากคุยด้วยที่เมืองไทย แต่ใครเล่าจะคุยกับผมได้นาน ในเมื่อเวลาที่มหานครแห่งความสุขขณะนั้นเป็นเวลาทำงาน

เปลี่ยนอิริยาบถด้วยการเดินไปหาซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน ชักคอแห้ง เลยไปหาซื้อน้ำกิน พลันสายตาไปสะดุดเข้ากับกระป๋องเบียร์ยี่ห้อ ๑๖๖๔ นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมค้นพบว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสระหว่างผมกลับบ้านไปเกือบ ๓ เดือน กระป๋องเบียร์ ๑๖๖๔ เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ จากเดิมพื้นสีขาว ตอนนี้พื้นเป็นสีฟ้าและรูปทรงสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ในฐานะผู้บริโภคที่ดี ผมต้องพิสูจน์ว่าเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วยังคงรสชาติเดิมหรือไม่ ผมเลยจัดการเอา ๑๖๖๔ โฉมใหม่มาทดลอง

ปรากฏว่า เหมือนเดิมทุกประการ

ผมเป็นคนรอบคอบพอดู... เพื่อความแน่ใจ เผื่อลิ้นผมยังปรับรสไม่ทัน ว่าแล้วเลยเอาอีกสักกระป่องมาทดสอบ

ปรากฏว่า เหมือนเดิมทุกประการ

เป็นกรรมเวรของนักดื่ม ดื่มเข้าไปก็ต้องเอาออก ห้องน้ำอยู่ชั้นบน ผมก็ต้องแบกข้าวของขึ้นไปปลดปล่อยที่ชั้นบนอีก แต่ก็นับว่าเป็นการฆ่าเวลาได้ดีทีเดียว

ในที่สุดการรอคอยที่สถานีก็สิ้นสุดลง รถไฟใกล้ออกแล้ว ที่ชานชาลาจะมีบอร์ดแสดงส่วนประกอบของรถไฟว่าตู้ไหนอยู่ตรงส่วนใดและต้องไปยืนรอที่จุดใดจึงใกล้ตู้นั้นที่สุด ผมเป็นนักเดินทางผู้ชำนาญจึงปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วน ไปยืนรอ ณ จุดที่ตู้รถไฟที่นั่งผมต้องมาจอดตรงเบื้องหน้าผมพอดี

ความซวยในการเดินทางของผมไม่หมดเสียที ไอ้บอร์ดแสดงส่วนประกอบของรถไฟว่าตู้ไหนอยู่ตรงส่วนใดนั้นดันแสดงผิด กลับหัวหลับหาง หัวขบวนเป็นท้ายขบวน ท้ายขบวนเป็นหัวขบวน ตู้ที่ผมขึ้นนั้นบอร์ดบอกว่าอยู่ท้ายๆเอาเข้าจริงก็กลายเป็นอยู่ส่วนหัว ผมต้องลากกระเป๋าตาเหลือกกลับไปที่ตู้ผม ผู้โดยสารทุกคนวิ่งสวนทางกันอุตลุดเพื่อไปยังตู้ของตน อลหม่านดีแท้

สถานีรถไฟนี้เป็นสถานีประจำสนามบิน เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารที่ขึ้นรถไฟ ณ สถานีนี้ต้องมีสัมภาระมาก สงครามการแย่งชิงพื้นที่เก็บสัมภาระบนรถไฟจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความเห็นใจผู้สูงอายุ ผมยอมสละพื้นที่ที่ผมพึงมีพึงได้ให้ไป ผมต้องแบกสัมภาระเลาะไปตามทางเดินบนรถไฟซึ่งแคบขนาดที่ตัวผมยืนก็เต็มแล้ว (ไหนจะมีคนสวนทางมาอีก) เพื่อเอาไปเก็บไว้ในตู้ถัดไปจากตู้ที่นั่งผม

กว่าจะลงตัว ได้หย่อนก้นลงที่นั่งประจำ เล่นเอาลิ้นห้อย

รถไฟที่ผมนั่งระบุว่าเป็น TGV ต่ผมพบว่ามันเป็น TGV ที่ช้าที่สุดในโลก สาเหตุจาก ๑. พี่แกเล่นจอดหลายสถานี ๒. รถไฟวิ่งบนราง TGV แต่ไม่ยอมทำความเร็วดังที่ TGV ทั่วไปวิ่ง

ผมหลับตลอดทางแต่ก็เป็นการหลับที่ไม่สบายตัวนัก รถไฟมาถึงเมืองที่ผมสังกัด ผมแบกข้าวของออกมาจากสถานี กดเงินสด เรียกแท็กซี่ตรงไปคฤหาสน์ของผม ด้วยเวลายามเย็นเช่นนั้น การจราจรในเมืองย่อมติดขัด เวลาที่ผมควรจะไปถึงบ้านจึงขยายออกไปอีก

ถึงบ้านเกือบ ๑๘.๐๐ น.

นับตั้งแต่ผมมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา ๒๒.๐๐ ของวันที่ ๑๓ ก.ย. ตามเวลาไทย จนมาถึงบ้านผมที่ Nantes เวลา ๑๘.๐๐ ชองวันที่ ๑๔ ก.ย. ตามเวลาฝรั่งเศส รวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาไปเกือบ ๒๕ ชั่วโมง

แล้วจะไม่ให้เรียกว่า “การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา” ได้อย่างไรครับ