เรื่องของแฟร้งค์และเธอ
ระหว่างการเดินทางกลับฝรั่งเศส บนเครื่องบิน TG 931 กรุงเทพฯ-ปารีส ผมมีโอกาสนั่งติดกับชายคนหนึ่งชื่อ แฟร้งค์ เราสนทนากันอย่างได้อรรถรส ผมและเขาต่างแลกเปลี่ยนกันในหลายเรื่อง นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ผมฟัง
ศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๘
แฟร้งค์เป็นหนุ่มขี้เหงา ชีวิตเขาดูเหมือนจะมีเพื่อนฝูงมาก คนรู้จักเยอะ แต่บางคราวแฟร้งค์ก็รู้สึกว่าตนเองอยู่คนเดียวบนโลกหม่นๆใบนี้ ยามใดที่แฟร้งค์เหงา แฟร้งค์มักจะอาศัยซอกหลืบของร้านมอลลี่เป็นที่พำนักเพื่อกำจัดความเปล่าเปลี่ยวออกไปจากจิตใจ แฟร้งค์มักจะเปิดวิสกี้หนึ่งขวด สั่งน้ำแข็งหนึ่งถัง น้ำเปล่าหนึ่งขวด แถมด้วยเพลงเพราะๆจากวงดนตรี เพียงเท่านี้แฟร้งค์ก็หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งได้
บางครั้งแฟร้งค์เชื้อเชิญมิตรสหายมาร่วมวงสุราได้ แต่ก็อีกบางครั้งที่แฟร้งค์อยากดื่มคนเดียวเพียงลำพัง และก็อีกบางครั้งเช่นกันที่แฟร้งค์อยากมีเพื่อนร่วมวงแต่มิตรสหายกลับไม่ประสงค์ที่จะมา
เย็นวันหนึ่ง แฟร้งค์นอนอยู่ที่บ้าน เขาตั้งใจว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะไม่ออกไปท่องราตรี แต่แล้วเฉลิมก็โทรมาตามให้ออกไปดื่มเป็นเพื่อน แฟร้งค์ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะเฉลิมมียศเป็นสหายคนสนิท สหายคนอื่นๆทยอยมาสมทบ จนกระทั่งตะวันตกดินไปได้สองชั่วโมงเศษ แฟร้งค์และพรรคพวกก็ย้ายนิวาสถานไปพำนักที่ตรอกข้าวสาร
แฟร้งค์กับสหายเดินทางมาเยือนร้านมอลลี่ดังที่เคยเป็น สหายของแฟร้งค์บางคนตัดสินใจอำลาไปก่อนที่เข็มนาฬิกาจะข้ามพ้นไปสู่วันใหม่ แม้มิตรร่วมรบในวงสุราของแฟร้งค์เหลือน้อยลง แต่ความสนุกสนานที่อำพรางความเหงาของแฟร้งค์ราวกับอาภรณ์ห่มกายยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันอ่อนแรง
เสียงเพลงบรรเลง ผู้คนลุกขึ้นโยกย้ายร่างกาย พนักงานจัดแจงสุราและอาหารอย่างขยันขันแข็ง นักดื่มสาดเหล้าลงคอราวกับเป็นน้ำเปล่า
สายตาของแฟร้งค์จับจ้องไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่โต๊ะข้างๆ เธออยู่ในเสื้อสีดำ กางเกงสีดำ มากับเพื่อนร่วมสิบชีวิต จริงอยู่ แม้แฟร้งค์จะชงเหล้าชนกับมิตรร่วมรบ แม้แฟร้งค์จะขยับกายตามจังหวะเพลง แต่สมาธิของเขาจดจ่อไปอยู่ที่โต๊ะทางซ้ายมือเสียแล้ว แฟร้งค์พยายามย้ายที่นั่งเพื่อไปใกล้กับเธอมากที่สุด แอบชำเลืองมองไปที่เธอหลายครั้ง เมื่อเธอบังเอิญหันมามอง แฟร้งค์ก็รีบหลบตาแล้วกลับไปกินเหล้ากับเพื่อนๆต่อ
ช่วงท้ายเกมของร้าน วงดนตรีเร่งจังหวะเพลงให้แรงและต่อเนื่องขึ้น แฟร้งค์นั่งมองหญิงสาวคนนั้นเต้น ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ในความเห็นของแฟร้งค์ เธอเป็นคนที่เต้นได้น่ารักที่สุดในร้าน
แฟร้งค์คิดว่าถ้าโลกนี้มีเวทมนต์จริง เขาคงต้องมนต์สะกดจากเธอผู้นั้น ใจของแฟร้งค์หลุดลอยไปจนยากที่จะเรียกกลับมาดังเดิม
การนั่งคิดโดยไม่ลงมือทำย่อมไม่อาจนำมาซึ่งความสำเร็จ
แฟร้งค์คิดได้ดังนั้นแล้ว ก็กระวนกระวายใจจนกินเหล้าอย่างไม่มีความสุข แน่ละ แฟร้งค์เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดใดๆกับหญิงสาวที่แฟร้งค์รู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อแรกเจอ แต่โชคก็เข้าข้างแฟร้งค์ที่โต๊ะข้างๆนั้นมีน้องสาวคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นคนรักของเฉลิม แฟร้งค์ปรี่เข้าไปขอความร่วมมือจากน้องคนนั้นทันที
น้องสาวให้ความเมตตากับแฟร้งค์ด้วยการสะกิดเรียกเธอเพื่อแนะนำให้แฟร้งค์รู้จัก
แค่คำว่า “สวัสดีค่ะ” พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เพียงเท่านี้จากโลกหม่นๆก็กลายเป็นสีชมพูในบัดดล
ถึงร้านจะปิด วงดนตรีจะหยุดเล่น ผู้คนทยอยเดินออก พนักงานเริ่มเก็บโต๊ะ แต่หูของแฟร้งค์กลับแว่วเสียงเพลง “เธอคือหัวใจของฉัน” ของนิก เดอะ สตาร์
แฟร้งค์นึกย้อนกลับไป คงเป็นโชคดีของแฟร้งค์ที่ไม่ปฏิเสธคำชวนของเฉลิมให้ออกมาท่องราตรีด้วยกันในคืนนี้ มันเป็นการท่องราตรีที่มีค่าที่สุดของแฟร้งค์
แฟร้งค์ไปตามทางของตนเอง ส่วนเธอเองก็กลับบ้านไปพร้อมกับชายคนหนึ่งที่แฟร้งค์มารู้ภายหลังว่าเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ
นอนไม่หลับ ในสมองมีแต่หน้าของหญิงที่เต้นได้น่ารักที่สุด แฟร้งค์พยายามตัดใจดังที่เขาเคยทำบ่อยๆด้วยการคิดว่า มันก็เหตุการณ์ที่ผ่านไปในแต่ละคืน หันมาสนใจงานในหน้าที่ดีกว่า
เสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๘
รุ่งขึ้น แฟร้งค์ลากสังขารที่ยังไม่สมประกอบไปทำงานชิ้นใหญ่ แฟร้งค์ต้องขึ้นเวทีกับบรรดาผู้ทรงภูมิหลายคน
ก่อนขึ้นเวที แฟร้งค์จดจ้องไปที่มือถือ ในมือถือของแฟร้งค์มีเลข ๙ หลักอยู่ชุดหนึ่ง แฟร้งค์เปิดขึ้นดู แล้วปิด แล้วเปิด แล้วปิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แฟร้งค์ไม่กล้าโทรไปหาเธอ
ไม่น่าแปลกใจที่การขึ้นเวทีของแฟร้งค์ในวันนั้นไม่ค่อยสวยงามเท่าไรนัก ในเมื่อสมาธิของแฟร้งค์ไปอยู่กับหญิงคนนั้น
พฤหัสที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๘
สัปดาห์ต่อมา คนรักของเฉลิมโทรมาหาแฟร้งค์เพื่อแจ้งข่าวดีที่แฟร้งค์คิดว่าอยู่ในลำดับต้นๆของชีวิต เธออนุญาตให้แฟร้งค์โทรไปหาได้
แฟร้งค์ดีใจมาก รีบโทรไปหาเธอ เธอนัดให้แฟร้งค์มาเจอที่ห้างย่านรัชโยธิน
แฟร้งค์ไม่คุ้นย่านนั้นเท่าไรนักแต่แฟร้งค์โชคดีที่มีน้องรักคนหนึ่งอาสาพาแฟร้งค์มาส่ง ณ สถานีรถไฟใต้ดิน สุทธิสาร แฟร้งค์ลิ้มรสประสบการณ์นั่งรถไฟใต้ดินของกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกในชีวิตจากสถานีสุทธิสารไปพหลโยธิน เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าการนั่งรถไฟใต้ดินครั้งแรกจะมีความสุขเช่นนี้ จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อจุดหมายการเดินทางของแฟร้งค์ คือ การไปพบคนที่แฟร้งค์ตามหามานานแสนนาน
แฟร้งค์จับแท็กซี่ต่อเพื่อไปยังจุดนัดหมายและมาถึงตามกำหนดเวลา ๑๘.๓๐
โชคของแฟร้งค์ส่อแววว่าจะไม่ดีตั้งแต่เช้า เพราะมือถือของแฟร้งโดนตัดเพราะไม่ไปชำระเงิน เขาต้องหยอดเหรียญในตู้สาธารณะเพื่อหมุนไปหาเธอ เธอแจ้งว่างานเยอะมาก จำเป็นต้องไปช้า
ไม่มีปัญหาใดๆ แฟร้งค์ไม่เคยเบื่อกับการรอคอย ยิ่งการรอคอยคนที่แฟร้งค์รู้สึกดีเช่นนี้แล้ว จะรอนานเท่าไรแฟร้งค์ก็ยินดี
แฟร้งค์เดินเลือกซื้อหนังเพื่อเอากลับไปดูบำบัดความเหงา มานั่งกินกาแฟในร้านที่แฟร้งค์คิดว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของคนไทย
เสียงโทรศัพท์ของแฟร้งค์ดังขึ้น เสียงปลายทางบอกแฟร้งค์ว่า เธอไม่สามารถมาได้แล้ว ขอโทษ
แฟร้งค์เข้าใจ
โบกแท็กซี่ให้ไปส่งสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน น่าแปลกที่แฟร้งค์ไม่รักสบายเหมือนทุกคราวที่ต้องใช้บริการแท็กซี่ส่งถึงบ้าน เขาขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงสถานีหัวลำโพง การสัมผัสรถไฟใต้ดินครั้งที่สองในชีวิตของแฟร้งค์ช่างแตกต่างจากครั้งแรกยิ่งนัก ไม่เฉพาะระยะทางที่ไกลกว่าเดิมเท่านั้น แต่ความรู้สึกในใจแฟร้งค์ก็เปลี่ยนไปราวหน้ามือกับหลังมือ
แฟร้งค์พยายามตัดใจ เพราะอีกไม่นานแฟร้งค์ก็ต้องกลับไปทำภารกิจของตนเองต่อไป
ศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘
เช้านี้แฟร้งค์พยายามหาวิธีการเลื่อนกำหนดการกลับไปปฏิบัติภารกิจ แต่ไม่สำเร็จ
แฟร้งค์ทราบจากคนรักของเฉลิมว่าเธอกลับภูมิลำเนาของเธอในเย็นวันนี้ หากมีใครมาถามแฟร้งค์ว่าอยากทำอะไรมากที่สุดในตอนนี้ แฟร้งค์จะตอบว่าอยากกลับภูมิลำเนาไปกับเธอด้วย
การกลับภูมิลำเนาของเธอในเย็นนี้ย่อมหมายความว่าเย็นพรุ่งนี้ ณ ร้านมอลลี่ จะไม่ปรากฏกายของหญิงสาวที่แฟร้งค์บอกกับตัวเองว่า “เธอคือหัวใจของฉัน”
เสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๘
แฟร้งค์นัดสหายนับสิบนายไปกินข้าวที่ร้านบนถนนพระอาทิตย์ เช่นเคยแฟร้งค์แบกเหล้าองุ่นชั้นดีไปให้เพื่อนๆได้ลองกระแทกคอ
หนังท้องตึง หนังตากลับไม่หย่อน แฟร้งค์และพรรคพวกขยับไปถิ่นที่คุ้นเคย ถนนข้าวสาร
เป็นธรรมดาที่วันหยุดสุดสัปดาห์ ร้านมอลลี่จะเปี่ยมไปด้วยผู้คน แฟร้งค์และเพื่อนเปลี่ยนไปนั่งที่ร้าน บริค บาร์
เป็นโชคดีของ “หนู” –เด็กเชียร์เหล้ายี่ห้อหนึ่ง- ปกติหนูประจำร้านมอลลี่ แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ หนูมาเชียร์เหล้าที่บริค บาร์ หนูและแฟร้งค์คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หนูปรี่เข้ามาแสดงอาการปรีดาปราโมทย์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นแฟร้งค์เข้ามา อย่างน้อยวันนี้ยอดขายเหล้าของหนูต้องเพิ่ม ๒-๓ ขวดเป็นแน่ แฟร้งค์บอกหนูว่าอีกไม่กี่วันแฟร้งค์ก็จะไม่ได้มาตระเวนราตรีย่านนี้แล้ว หนูบอกว่า “พี่ช่วยหนูได้เยอะเลยนะ ช่วงสองเดือนนี้” บางทีหนูอาจเป็นคนหนึ่งที่ต้องเอ่ยประโยคที่ว่า “ยามมาเราดีใจ ยามจากไปเราคิดถึง” ให้กับแฟร้งค์ได้อย่างเต็มปาก
แฟร้งค์ดื่มจัด เต้นกระจาย ตั้งใจว่าจะตักตวงความสนุกสนานครั้งสุดท้ายให้เต็มที่ เพื่อนของแฟร้งค์คิดว่าวันนี้แฟร้งค์มีความสุข เปล่าเลย ภายนอกอาจดูเหมือนว่าแฟร้งค์ร่าเริง แต่ในใจนั้นเล่ากลับหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเธอคนนั้น
แฟร้งค์และเพื่อนไปดื่มต่อย่านสี่แยก อ.ส.ม.ท. ยันฟ้าสว่าง
แฟร้งค์ลองควานหาสาเหตุที่ตนดื่มจัด น่าจะมาจากเป็นการดื่มทิ้งทวน ประกอบกับดื่มเป็นเพื่อนเฉลิมที่ทะเลาะกับคนรัก และแฟร้งค์เศร้าหมองจากการที่แฟร้งค์จะไม่มีโอกาสเจอเธออีกแล้ว
คำนวณดูแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์กับแอลกอฮอล์ในค่ำคืนนี้ แอลกอฮอล์น่าจะโดนสังหารตายไปไม่น้อยกว่า ๖-๗ นาย และแน่นอนในสมรภูมิรบเช่นนี้ ฝ่ายของแฟร้งค์ก็ต้องโดนสังหารเช่นกัน น้อง เพื่อน และแฟร้งค์เอง กลับรังด้วยสภาพที่ต่างกันกับตอนเย็นอย่างสิ้นเชิง
จันทร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๘
แฟร้งค์พยายามปลงให้ตกว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเธออีกแล้ว แปลกที่ปกติแฟร้งค์เป็นคนลืมง่ายหน่ายเร็วแต่ครั้งนี้แฟร้งค์สลัดความทรงจำออกจากหัวไม่หลุดเสียที
“สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร” เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง สงครามที่คุกรุ่นในใจแฟร้งค์ยังไม่จบ แฟร้งค์จึงตัดสินใจโทรไปนัดเธอเพื่อเจอกันอีกครั้ง เธอตกลง ที่เก่า เวลาเดิมเหมือนที่เธอเคยนัด
แสงสว่างเริ่มโผล่ที่ปลายถ้ำแล้ว
แฟร้งค์นั่งรถไฟใต้ดินเป็นครั้งที่สามในชีวิตเพื่อไปหาเธอ แฟร้งนัดเจอเฉลิมที่นั่นด้วย เพราะเธอจะมาพร้อมกับเพื่อนของเธอและคนรักของเฉลิม
นี่เป็นครั้งแรกที่แฟร้งค์มีโอกาสคุยกับเธออย่างจริงๆจังๆ อย่างเห็นหน้าค่าตา แฟร้งค้นพบว่าแฟร้งค์มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้เธอ เธอและเพื่อนของเธออยากดูหนัง แฟร้งค์ไม่อิดเอื้อนแม้แต่น้อย
ระหว่างรอรอบหนัง ทั้งห้าชีวิตต้องหาร้านนั่งเล่นฆ่าเวลา แฟร้งค์เสนอมาลอยๆว่า “ซเวนเซ่น” ทั้งๆที่แฟร้งค์เองไม่พิสมัยไอติมแม้แต่น้อย ถ้าจะต้องกิน แฟร้งค์ขอเป็นไอติมรถเข็นไผ่ทองดีกว่าเป็นไหนๆ เธอเห็นดีเห็นงามเป็นอย่างยิ่งกับไอเดีย “ซเวนเซ่น”
ในร้านไอติม แฟร้งค์ได้นั่งติดกับเธอ แฟร้งค์เป็นคนไม่มีความรู้ด้านไอติมเอาเสียเลย เธอแนะนำให้แฟร้งค์สั่งเหมือนเธอ เธอรับประกันความอร่อย แต่แฟร้งค์อยากทำเท่ จึงเลือกเอาเมนูข้างๆแทน แฟร้งกล้ำกลืนฝืนทนแทะเล็มไอติม แน่ละ แฟร้งค์เป็นคนสุดท้ายที่สังหารไอติมเสร็จโดยอาศัยพลังงานของเฉลิมมาช่วย ถึงแฟร้งค์จะกินไอติมอย่างดูน่าลำบาก แต่ก็เป็นความลำบากที่แฟร้งค์เต็มใจ ภูมิใจ และมีความสุข
แฟร้งค์ เธอ เพื่อนของเธอ เฉลิม และคนรักของเฉลิม รวม ๕ ชีวิต เข้าไปดูหนังด้วยกัน แฟร้งค์เป็นคนถือตั๋วเพราะแฟร้งค์ตั้งใจว่าจะเก็บตั๋วนั้นไว้เป็นที่ระลึก
เพื่อนของเธอนั่งซ้ายสุด ถัดมาเป็นเธอ แฟร้งค์ เฉลิม และคนรักของเฉลิมอยู่ขวาสุด
แฟร้งค์ไม่ได้ปริปากพูดกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพราะแฟร้งค์เกรงว่าจะไปรบกวนสมาธิการดูหนังของเธอจนเธอจะรำคาญเอา นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แฟร้งค์ไม่นิยมไปดูหนังกับหญิงสาว เธอดูหนังอย่างสนุกกับเพื่อนของเธอ ด้านแฟร้งค์เองก็สนุกเช่นกัน แต่สายตาแฟร้งค์แอบชำเลืองไปที่เธอตลอดเวลา
หลังหนังจบลง แฟร้งค์อยากอยู่ใกล้ๆเธออีก จึงพยายามหาที่ชักชวนไปต่อ ในที่สุดทุกคนลงมติว่าจะไปปิดแมทช์ที่มอลลี่ แฟร้งค์ดีใจจนเนื้อเต้น
ระหว่างทางบนยานพาหนะที่เฉลิมเป็นผู้ขับ แฟร้งคิดจะชวนเธอคุย แต่เมื่อหันไปแฟร้งค์พบว่าเธอกำลังหลับอยู่เพราะเหนื่อยจากการเดินทางกลับจากภูมิลำเนาเมื่อวาน แฟร้งค์เกรงใจเธอตามเคย ปล่อยให้เธอหลับไป แฟร้งค์มองเธอด้วยความทะนุถนอม แฟร้งค์อยากให้เธอมานอนซบไหล่แฟร้งค์
เสียงเพลงดังรบกวนโอกาสการคุยกันระหว่างแฟร้งค์กับเธอยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่แฟร้งค์รังเกียจเสียงเพลงที่ร้านมอลลี่ แม้จะไม่ได้คุยกันมากนักแต่แฟร้งค์ก็มีความสุขที่ได้มองเธอเต้น ได้เห็นอิริยาบถของเธอ
ร้านปิด ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน เวลาของแฟร้งค์จะหมดลงแล้วหรือนี่ แฟร้งค์ดันทุรังชักชวนทุกคนรวมทั้งพี่ชายของเธอที่มารอรับเธอกลับ ให้ไปเที่ยวต่อ ทุกคนตอบตกลง แฟร้งค์เกรงใจทุกคนมาก
แฟร้งค์รู้ดีว่าการดันทุรังครั้งนี้เป็นการรบกวนเธออย่างยิ่ง พรุ่งนี้เธอต้องทำงานแต่เช้า
หกชีวิตนั่งในร้านผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ปริมาณสุราลดลงอย่างช้าๆ
ไม่รู้เพราะอะไร แฟร้งค์คิดในใจว่าเธอคงไม่ชอบแฟร้งค์เป็นแน่ แฟร้งค์เริ่มลองตัดใจอีกครั้งด้วยการหันไปสนุกสนานในวงสุรา
เธออ่อนล้าจากมาราธอนในคืนนี้มาก จึงขอตัวเอนนอนลงบนเบาะในร้าน แต่ด้วยเสียงเพลงที่รบกวนความสุขในการนอน เธอจึงขอกุญแจรถพี่ชายเพื่อไปนอนที่รถ ขณะนั้นฝนตกพรำๆ แฟร้งค์เป็นห่วงเธอ อยากไปนั่งในรถเป็นเพื่อนเธอ แต่อีกใจหนึ่งแฟร้งค์ก็เกรงว่าพี่ชายเธอจะตำหนิ และผู้ร่วมขบวนการวงสุราในคืนนี้จะว่าแฟร้งค์หนีไปหาความสุขส่วนตัว
แต่ความจริงแล้ว เพื่อนร่วมวงสุราทุกคนเข้าใจแฟร้งค์ดี
แรกเริ่ม แฟร้งค์ก็เข้าๆออกๆ จากร้านไปที่รถ เพื่อคอยดูว่าเธอหลับสบายดีหรือเปล่า แต่ยามที่แฟร้งค์โผล่ไปทีไร เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นทุกที แฟร้งค์เกรงว่าจะรบกวนการนอนของเธอ จึงขออนุญาตเธอเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังรถ และรับประกันกับเธอว่าเธอสามารถนอนหลับสนิทได้ แฟร้งค์ขอแค่นั่งเป็นเพื่อนด้วยความสงบ
เธอเปลี่ยนใจ กลับลงมาจากรถ แฟร้งค์ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอไม่ไว้วางใจแฟร้งค์? เธอกลัวโดนพี่ชายว่า? เธอกลัวเพื่อนว่า? หรือเธอไม่อยากให้แฟร้งค์มานั่งเฉยๆแต่อยากให้ไปสนุกเต็มที่เพราะมันเป็นคืนสุดท้ายที่แฟร้งค์จะได้เที่ยว?
แฟร้งค์และเธอกลับเข้าไปที่ร้านอีกครั้ง
ใกล้เช้า หกชีวิตออกจากร้านแยกย้ายกันกลับบ้าน แฟร้งค์คิดว่าเวลาที่แฟร้งค์จะได้เจอและอยู่ใกล้กับเธอหมดลงแล้ว จากนี้แฟร้งค์คงต้องเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
อังคารที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘
ตอนเช้า แฟร้งค์พยายามทุกวิธีที่จะเลื่อนการเดินทาง แต่ระเบียบของเจ้าจำปีก็ไม่มีบทยกเว้นให้กับผู้มีความจำเป็นเรื่องหัวใจ
แฟร้งค์มีเรื่องต้องทำหลายอย่างก่อนเดินทางในคืนนี้ แต่แล้วความคิดถึงเธอทำให้แฟร้งค์ตัดสินใจยกเลิกกำหนดการเดิมทั้งหมดเพื่อไปหาเธอ แฟร้งค์ใช้เวลาเก็บกระเป๋าและตัดสินใจบอกครอบครัวว่าจะออกไปทำธุระ ให้ไปเจอกันที่สนามบินเวลา ๒๒.๐๐ น.
แฟร้งค์เพียรพยายามโทรหาเธอ แต่เธอก็ปิดเครื่อง คราใดที่แฟร้งค์โทรไปหาเธอแล้วมีเสียงเพลงขึ้นว่า “สุดที่รักเธอโทรมาช่วยรับหน่อย...” แฟร้งค์จะอมยิ้มแก้มตุ่ย แต่คราใดที่แฟร้งค์โทรไปหาเธอแล้วมีเสียงตอบรับว่า “คุณกำลังเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ...” แก้มยุ้ยๆของแฟร้งค์พลันเหี่ยวแห้งลงทันที
แฟร้งค์คิดว่าเธอคงไม่ชอบใจแฟร้งค์และไม่อยากคุยกับแฟร้งค์อีก เนื่องจากความอุบาทว์ของแฟร้งค์ที่ลากเธอเที่ยวยันเช้า แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของแฟร้งค์ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงจากสวรรค์แน่ๆ
คนรักของเฉลิมโทรมาเพื่อแจ้งให้แฟร้งค์ทราบว่า ตอนเช้าเธอไม่ได้มาทำงานเพราะลุกไม่ไหว พึ่งเข้ามาช่วงบ่าย และโทรศัพท์ก็แบตหมดตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ชาร์จ แฟร้งค์รู้สึกผิดมาก คนรักของเฉลิมยื่นโทรศัพท์ให้เธอได้คุยกับแฟร้งค์ เธอตกลงจะไปกินข้าวเย็นกับแฟร้งค์ มันเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่แฟร้งค์ต้องจากไป
แฟร้งค์นั่งรถไฟใต้ดินครั้งที่สี่ในชีวิต เธอนัดแฟร้งค์ที่ทำงานของเธอย่านลาดพร้าว เวลา ๑๘.๐๐ น. ในขณะที่แฟร้งค์มีเวลาถึง ๒๒..๐๐ น. เท่ากับว่าแฟร้งค์มีเวลาที่จะเจอกับเธอได้อีกแค่ ๔ ชั่วโมง แฟร้งค์นึกในใจว่า ทำไมหนอเราจึงไม่เป็นซินเดอเรลล่าที่มีโอกาสไปงานเลี้ยงได้ถึงเที่ยงคืน อย่างน้อยก็มากกว่าเวลาที่แฟร้งค์มีตั้ง ๒ ชั่วโมง
แฟร้งค์นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากปากซอยเข้ามาที่ทำงานของเธอ สายตาแฟร้งค์เหลือบไปเห็นเธอกำลังเดินอยู่ในซอย แฟร้งค์รีบร้องบอกคุณน้ามอเตอร์ไซค์ให้หยุดรถ แล้ววิ่งตามเธอไป แต่ก็ไม่ทัน แฟร้งค์เดินกลับเข้าไปที่ทำงานของเธอ เพื่อนของเธอต้อนรับแฟร้งค์ดีมากและแจ้งว่าเธอออกไปสระผมที่กลางซอย
แฟร้งค์อยากใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการอยู่ใกล้กับเธอ จึงตัดสินใจออกเดินไปหาเธอโดยที่ไม่รู้เลยว่าร้านทำผมอยู่ตรงไหน
ผ่านร้านแรก ไม่เห็นเธอ ร้านที่สอง ยังไม่เห็น ร้านที่สาม แฟร้งค์เห็นสตรีคนหนึ่งกำลังทำผม ที่หลังร้านแฟร้งค์เห็นช่างกำลังสระผมให้ใครคนหนึ่งอยู่ แฟร้งค์พยายามชะโงกหน้าไปดูหลังร้านว่าใช่เธอหรือไม่ แต่ก็จนปัญญา แฟร้งค์เกรงว่าจะโดนเจ้าของร้านหาว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี จึงเดินออกหาเธอต่อไป แฟร้งค์มารู้ภายหลังจากปากเธอว่า ผู้หญิงที่นอนสระผมอยู่หลังร้านนั้นเป็นเธอนั่นเอง
๑๘.๔๐ เธอโทรมาบอกว่า การสระผมเสร็จสิ้นแล้ว รออยู่ที่ทำงาน แฟร้งค์รีบโกยอ้าวราวกับหนีผีปอบเพื่อกลับไปเจอเธอ
เหลือเวลาที่แฟร้งค์จะอยู่ใกล้เธอแค่ ๓ ชั่วโมง ๒๐ นาที เธอ แฟร้งค์ และคนรักของเฉลิมตกลงจะไปกินข้าวกัน ไปถึงร้าน ๑๙.๐๐ เวลาถอยไปอีกแล้ว แฟร้งค์อยากหาอะไรมาหยุดเวลาเสียจริง
แฟร้งค์สังเกตว่าเธอชอบกินปูผัดผงกะหรี่ แต่ละคำเข้าปากเธอช้ามาก เพราะเธอต้องเขี่ยผักที่ติดมาออกให้หมดเสียก่อน แฟร้งค์อยากให้เธอได้กินปูอย่างเอร็ดอร่อย เลยตักปูมาที่จานของตัวเองมากพอควร แล้วนั่งเขี่ยผักอย่างละเอียดลออเพื่อส่งต่อให้เธอ แฟร้งค์มั่นใจว่าปูที่เธอกินต่อจากนี้จะไม่มีผักแม้แต่นิดเดียว
เฉลิมตามมาสมทบจากที่ทำงาน เข็มนาฬิกาขยับไปที่ ๒๐.๐๐ แฟร้งค์ส่งสัญญาณกับเฉลิม เป็นอันรู้กันว่าเราต้องมีเบียร์เย็นๆสักขวด แฟร้งค์ดื่มได้น้อยมาก แฟร้งค์ไม่ได้รักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าเธอด้วยการดื่มน้อย หากเป็นเพราะแฟร้งค์อ่อนล้ามาจากเมื่อวาน
แฟร้งค์รู้สึกว่าอาหารร้านนี้อร่อยยิ่งนัก จริงอยู่ ฝีมือพ่อครัวดีดังที่คนรักของเฉลิมบอก แต่สำหรับแฟร้งค์แล้ว การได้นั่งเคียงข้างเธอและการได้กินอาหารที่เธอตักมาใส่จานต่างหากเล่าที่ทำให้แฟร้งค์ล่องลอยอยู่ในวิมาน
จริงอย่างที่ใครบางคนกล่าวไว้ ยามใดที่เรามีความสุข เวลามักจะแกล้งเราด้วยการเดินเร็วเสมอ นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ถึงเวลาแล้วที่แฟร้งค์ต้องไป แฟร้งค์ยังอยากใช้เวลาชั่วโมงสุดท้ายอยู่กับเธอ จึงอาสาไปส่งที่ห้างย่านรัชโยธิน นี่เป็นครั้งที่สามในรอบหกวันที่แฟร้งค์แวะเวียนมาห้างแห่งนี้ ซึ่งก็เป็นสามครั้งในชีวิตของแฟร้งค์ด้วย
แฟร้งค์นั่งเป็นเพื่อนเธอเพื่อรอการมารับของพี่ชาย แฟร้งค์อยากสนทนากับเธอมาก แต่แฟร้งค์รู้ดีว่าเธออ่อนเพลียเพียงใดจากความดันทุรังของแฟร้งค์เมื่อคืนวาน แฟร้งค์จึงไม่พูดอะไรมากนัก นอกจากขอมองเธอนานๆ ๒๑.๓๐ พี่ชายของเธอมาถึง เธอและพี่ชายอาสาไปส่งแฟร้งค์ถึงสนามบิน แฟร้งค์เกรงใจจึงปฏิเสธไป แต่เธอและพี่ชายยืนยันที่จะไปส่ง แฟร้งค์หัวใจพองโตที่จะมีโอกาสอยู่ใกล้เธอแม้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม
บนยานพาหนะ แฟร้งค์นั่งด้านหน้า เธอนั่งด้านหลัง แฟร้งค์ไม่ได้สนทนากับเธอเพราะเห็นว่าเธอนอนหลับปุ๋ย แฟร้งค์คุยกับพี่ชายของเธอตลอดเส้นทาง แม้แฟร้งค์จะไม่ได้คุยกับเธอ แต่แฟร้งค์ก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ
ทำไมเส้นทางจากรัชโยธินมาดอนเมืองจึงใกล้นัก แฟร้งค์คิด
แฟร้งค์ทราบดีว่าเธอและพี่ชายอ่อนล้าและอยากกลับไปพักผ่อน แฟร้งค์จึงขอเดินเข้าไปสนามบินเอง เพราะเท่านี้แฟร้งค์ก็ขอบคุณเป็นอย่างสูงแล้ว
ก่อนที่แฟร้งค์จะเดินจากเธอไป แฟร้งค์อยากจับมือของเธอขึ้นมากุมไว้ อยากเอามือลูบหัวเธอเบาๆ แต่แฟร้งค์ก็ไม่กล้า เพราะเกรงว่าเธอจะตำหนิแฟร้งค์ที่ล่วงเกินเธอทั้งๆที่รู้จักกันได้ไม่กี่วัน
แฟร้งค์ขอร้องเธอว่าอย่าปิดโทรศัพท์ และยกมือขวาขึ้นมาไว้ข้างหูเพื่อทำเป็นรูปโทรศัพท์ แฟร้งค์พูดประโยคสุดท้ายสั้นยิ่งนัก “บ๊าย บาย”
ไม่น่าเชื่อ
๑๑ วันนับจากวันที่แฟร้งค์พบเธอครั้งแรก ณ ร้านมอลลี่
๑ วันนับจากวันที่แฟร้งค์ได้สนทนากับเธออย่างจริงจังและมีโอกาสดูหนังและเที่ยวด้วยกันยันเช้า
มาถึงวันนี้ วันที่แฟร้งค์ต้องจากเธอไป แฟร้งค์คิดได้แล้วว่า “เธอคือคนที่ฉันตามหามาแสนนาน และเป็นคนที่ฉันใฝ่ฝันในหัวใจ แม้ชีวิตของฉันตอนนี้จะเป็นเช่นไร แต่อยากให้รับรู้เอาไว้ อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี แต่คืนนี้ จะบอกเธอนะคนดี อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้... ฉันรักเธอ”
ชีวิตของแฟร้งค์ผ่านผู้หญิงมาอยู่บ้าง แต่แฟร้งค์กลับไม่รู้สึกผูกพันเท่ากับเธอคนนี้ ทั้งๆที่แฟร้งค์มีเวลาเพียงไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับเธอแล้วต้องจากกัน แฟร้งค์ก็ไม่ลังเลที่จะยืนยันว่าเธอคือหัวใจของแฟร้งค์เสียแล้ว
.................
มิตรรักบล็อกเกอร์ทุกท่านครับ...
คิดว่าตอนจบจะเป็นยังไง
ลองเอาใจช่วยแฟร้งค์กันหน่อยครับว่าสุดท้ายจะแฮปปี้ เอนดิ้งหรือเปล่า ไว้ผมมีโอกาสเจอแฟร้งค์อีกครั้งจะสอบถามแล้วเอามาเล่าสู่กันฟังต่อ
-หมายเหตุ- สไตล์การเขียนบล็อกตอนนี้รับอิทธิพลมาจากบทภาพยนตร์เรื่อง “หมานคร”
ศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๘
แฟร้งค์เป็นหนุ่มขี้เหงา ชีวิตเขาดูเหมือนจะมีเพื่อนฝูงมาก คนรู้จักเยอะ แต่บางคราวแฟร้งค์ก็รู้สึกว่าตนเองอยู่คนเดียวบนโลกหม่นๆใบนี้ ยามใดที่แฟร้งค์เหงา แฟร้งค์มักจะอาศัยซอกหลืบของร้านมอลลี่เป็นที่พำนักเพื่อกำจัดความเปล่าเปลี่ยวออกไปจากจิตใจ แฟร้งค์มักจะเปิดวิสกี้หนึ่งขวด สั่งน้ำแข็งหนึ่งถัง น้ำเปล่าหนึ่งขวด แถมด้วยเพลงเพราะๆจากวงดนตรี เพียงเท่านี้แฟร้งค์ก็หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งได้
บางครั้งแฟร้งค์เชื้อเชิญมิตรสหายมาร่วมวงสุราได้ แต่ก็อีกบางครั้งที่แฟร้งค์อยากดื่มคนเดียวเพียงลำพัง และก็อีกบางครั้งเช่นกันที่แฟร้งค์อยากมีเพื่อนร่วมวงแต่มิตรสหายกลับไม่ประสงค์ที่จะมา
เย็นวันหนึ่ง แฟร้งค์นอนอยู่ที่บ้าน เขาตั้งใจว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะไม่ออกไปท่องราตรี แต่แล้วเฉลิมก็โทรมาตามให้ออกไปดื่มเป็นเพื่อน แฟร้งค์ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะเฉลิมมียศเป็นสหายคนสนิท สหายคนอื่นๆทยอยมาสมทบ จนกระทั่งตะวันตกดินไปได้สองชั่วโมงเศษ แฟร้งค์และพรรคพวกก็ย้ายนิวาสถานไปพำนักที่ตรอกข้าวสาร
แฟร้งค์กับสหายเดินทางมาเยือนร้านมอลลี่ดังที่เคยเป็น สหายของแฟร้งค์บางคนตัดสินใจอำลาไปก่อนที่เข็มนาฬิกาจะข้ามพ้นไปสู่วันใหม่ แม้มิตรร่วมรบในวงสุราของแฟร้งค์เหลือน้อยลง แต่ความสนุกสนานที่อำพรางความเหงาของแฟร้งค์ราวกับอาภรณ์ห่มกายยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันอ่อนแรง
เสียงเพลงบรรเลง ผู้คนลุกขึ้นโยกย้ายร่างกาย พนักงานจัดแจงสุราและอาหารอย่างขยันขันแข็ง นักดื่มสาดเหล้าลงคอราวกับเป็นน้ำเปล่า
สายตาของแฟร้งค์จับจ้องไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่โต๊ะข้างๆ เธออยู่ในเสื้อสีดำ กางเกงสีดำ มากับเพื่อนร่วมสิบชีวิต จริงอยู่ แม้แฟร้งค์จะชงเหล้าชนกับมิตรร่วมรบ แม้แฟร้งค์จะขยับกายตามจังหวะเพลง แต่สมาธิของเขาจดจ่อไปอยู่ที่โต๊ะทางซ้ายมือเสียแล้ว แฟร้งค์พยายามย้ายที่นั่งเพื่อไปใกล้กับเธอมากที่สุด แอบชำเลืองมองไปที่เธอหลายครั้ง เมื่อเธอบังเอิญหันมามอง แฟร้งค์ก็รีบหลบตาแล้วกลับไปกินเหล้ากับเพื่อนๆต่อ
ช่วงท้ายเกมของร้าน วงดนตรีเร่งจังหวะเพลงให้แรงและต่อเนื่องขึ้น แฟร้งค์นั่งมองหญิงสาวคนนั้นเต้น ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ในความเห็นของแฟร้งค์ เธอเป็นคนที่เต้นได้น่ารักที่สุดในร้าน
แฟร้งค์คิดว่าถ้าโลกนี้มีเวทมนต์จริง เขาคงต้องมนต์สะกดจากเธอผู้นั้น ใจของแฟร้งค์หลุดลอยไปจนยากที่จะเรียกกลับมาดังเดิม
การนั่งคิดโดยไม่ลงมือทำย่อมไม่อาจนำมาซึ่งความสำเร็จ
แฟร้งค์คิดได้ดังนั้นแล้ว ก็กระวนกระวายใจจนกินเหล้าอย่างไม่มีความสุข แน่ละ แฟร้งค์เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้จะเอ่ยคำพูดใดๆกับหญิงสาวที่แฟร้งค์รู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อแรกเจอ แต่โชคก็เข้าข้างแฟร้งค์ที่โต๊ะข้างๆนั้นมีน้องสาวคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นคนรักของเฉลิม แฟร้งค์ปรี่เข้าไปขอความร่วมมือจากน้องคนนั้นทันที
น้องสาวให้ความเมตตากับแฟร้งค์ด้วยการสะกิดเรียกเธอเพื่อแนะนำให้แฟร้งค์รู้จัก
แค่คำว่า “สวัสดีค่ะ” พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เพียงเท่านี้จากโลกหม่นๆก็กลายเป็นสีชมพูในบัดดล
ถึงร้านจะปิด วงดนตรีจะหยุดเล่น ผู้คนทยอยเดินออก พนักงานเริ่มเก็บโต๊ะ แต่หูของแฟร้งค์กลับแว่วเสียงเพลง “เธอคือหัวใจของฉัน” ของนิก เดอะ สตาร์
แฟร้งค์นึกย้อนกลับไป คงเป็นโชคดีของแฟร้งค์ที่ไม่ปฏิเสธคำชวนของเฉลิมให้ออกมาท่องราตรีด้วยกันในคืนนี้ มันเป็นการท่องราตรีที่มีค่าที่สุดของแฟร้งค์
แฟร้งค์ไปตามทางของตนเอง ส่วนเธอเองก็กลับบ้านไปพร้อมกับชายคนหนึ่งที่แฟร้งค์มารู้ภายหลังว่าเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ
นอนไม่หลับ ในสมองมีแต่หน้าของหญิงที่เต้นได้น่ารักที่สุด แฟร้งค์พยายามตัดใจดังที่เขาเคยทำบ่อยๆด้วยการคิดว่า มันก็เหตุการณ์ที่ผ่านไปในแต่ละคืน หันมาสนใจงานในหน้าที่ดีกว่า
เสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๘
รุ่งขึ้น แฟร้งค์ลากสังขารที่ยังไม่สมประกอบไปทำงานชิ้นใหญ่ แฟร้งค์ต้องขึ้นเวทีกับบรรดาผู้ทรงภูมิหลายคน
ก่อนขึ้นเวที แฟร้งค์จดจ้องไปที่มือถือ ในมือถือของแฟร้งค์มีเลข ๙ หลักอยู่ชุดหนึ่ง แฟร้งค์เปิดขึ้นดู แล้วปิด แล้วเปิด แล้วปิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แฟร้งค์ไม่กล้าโทรไปหาเธอ
ไม่น่าแปลกใจที่การขึ้นเวทีของแฟร้งค์ในวันนั้นไม่ค่อยสวยงามเท่าไรนัก ในเมื่อสมาธิของแฟร้งค์ไปอยู่กับหญิงคนนั้น
พฤหัสที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๘
สัปดาห์ต่อมา คนรักของเฉลิมโทรมาหาแฟร้งค์เพื่อแจ้งข่าวดีที่แฟร้งค์คิดว่าอยู่ในลำดับต้นๆของชีวิต เธออนุญาตให้แฟร้งค์โทรไปหาได้
แฟร้งค์ดีใจมาก รีบโทรไปหาเธอ เธอนัดให้แฟร้งค์มาเจอที่ห้างย่านรัชโยธิน
แฟร้งค์ไม่คุ้นย่านนั้นเท่าไรนักแต่แฟร้งค์โชคดีที่มีน้องรักคนหนึ่งอาสาพาแฟร้งค์มาส่ง ณ สถานีรถไฟใต้ดิน สุทธิสาร แฟร้งค์ลิ้มรสประสบการณ์นั่งรถไฟใต้ดินของกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกในชีวิตจากสถานีสุทธิสารไปพหลโยธิน เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าการนั่งรถไฟใต้ดินครั้งแรกจะมีความสุขเช่นนี้ จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อจุดหมายการเดินทางของแฟร้งค์ คือ การไปพบคนที่แฟร้งค์ตามหามานานแสนนาน
แฟร้งค์จับแท็กซี่ต่อเพื่อไปยังจุดนัดหมายและมาถึงตามกำหนดเวลา ๑๘.๓๐
โชคของแฟร้งค์ส่อแววว่าจะไม่ดีตั้งแต่เช้า เพราะมือถือของแฟร้งโดนตัดเพราะไม่ไปชำระเงิน เขาต้องหยอดเหรียญในตู้สาธารณะเพื่อหมุนไปหาเธอ เธอแจ้งว่างานเยอะมาก จำเป็นต้องไปช้า
ไม่มีปัญหาใดๆ แฟร้งค์ไม่เคยเบื่อกับการรอคอย ยิ่งการรอคอยคนที่แฟร้งค์รู้สึกดีเช่นนี้แล้ว จะรอนานเท่าไรแฟร้งค์ก็ยินดี
แฟร้งค์เดินเลือกซื้อหนังเพื่อเอากลับไปดูบำบัดความเหงา มานั่งกินกาแฟในร้านที่แฟร้งค์คิดว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของคนไทย
เสียงโทรศัพท์ของแฟร้งค์ดังขึ้น เสียงปลายทางบอกแฟร้งค์ว่า เธอไม่สามารถมาได้แล้ว ขอโทษ
แฟร้งค์เข้าใจ
โบกแท็กซี่ให้ไปส่งสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน น่าแปลกที่แฟร้งค์ไม่รักสบายเหมือนทุกคราวที่ต้องใช้บริการแท็กซี่ส่งถึงบ้าน เขาขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงสถานีหัวลำโพง การสัมผัสรถไฟใต้ดินครั้งที่สองในชีวิตของแฟร้งค์ช่างแตกต่างจากครั้งแรกยิ่งนัก ไม่เฉพาะระยะทางที่ไกลกว่าเดิมเท่านั้น แต่ความรู้สึกในใจแฟร้งค์ก็เปลี่ยนไปราวหน้ามือกับหลังมือ
แฟร้งค์พยายามตัดใจ เพราะอีกไม่นานแฟร้งค์ก็ต้องกลับไปทำภารกิจของตนเองต่อไป
ศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๘
เช้านี้แฟร้งค์พยายามหาวิธีการเลื่อนกำหนดการกลับไปปฏิบัติภารกิจ แต่ไม่สำเร็จ
แฟร้งค์ทราบจากคนรักของเฉลิมว่าเธอกลับภูมิลำเนาของเธอในเย็นวันนี้ หากมีใครมาถามแฟร้งค์ว่าอยากทำอะไรมากที่สุดในตอนนี้ แฟร้งค์จะตอบว่าอยากกลับภูมิลำเนาไปกับเธอด้วย
การกลับภูมิลำเนาของเธอในเย็นนี้ย่อมหมายความว่าเย็นพรุ่งนี้ ณ ร้านมอลลี่ จะไม่ปรากฏกายของหญิงสาวที่แฟร้งค์บอกกับตัวเองว่า “เธอคือหัวใจของฉัน”
เสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๘
แฟร้งค์นัดสหายนับสิบนายไปกินข้าวที่ร้านบนถนนพระอาทิตย์ เช่นเคยแฟร้งค์แบกเหล้าองุ่นชั้นดีไปให้เพื่อนๆได้ลองกระแทกคอ
หนังท้องตึง หนังตากลับไม่หย่อน แฟร้งค์และพรรคพวกขยับไปถิ่นที่คุ้นเคย ถนนข้าวสาร
เป็นธรรมดาที่วันหยุดสุดสัปดาห์ ร้านมอลลี่จะเปี่ยมไปด้วยผู้คน แฟร้งค์และเพื่อนเปลี่ยนไปนั่งที่ร้าน บริค บาร์
เป็นโชคดีของ “หนู” –เด็กเชียร์เหล้ายี่ห้อหนึ่ง- ปกติหนูประจำร้านมอลลี่ แต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ หนูมาเชียร์เหล้าที่บริค บาร์ หนูและแฟร้งค์คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หนูปรี่เข้ามาแสดงอาการปรีดาปราโมทย์อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นแฟร้งค์เข้ามา อย่างน้อยวันนี้ยอดขายเหล้าของหนูต้องเพิ่ม ๒-๓ ขวดเป็นแน่ แฟร้งค์บอกหนูว่าอีกไม่กี่วันแฟร้งค์ก็จะไม่ได้มาตระเวนราตรีย่านนี้แล้ว หนูบอกว่า “พี่ช่วยหนูได้เยอะเลยนะ ช่วงสองเดือนนี้” บางทีหนูอาจเป็นคนหนึ่งที่ต้องเอ่ยประโยคที่ว่า “ยามมาเราดีใจ ยามจากไปเราคิดถึง” ให้กับแฟร้งค์ได้อย่างเต็มปาก
แฟร้งค์ดื่มจัด เต้นกระจาย ตั้งใจว่าจะตักตวงความสนุกสนานครั้งสุดท้ายให้เต็มที่ เพื่อนของแฟร้งค์คิดว่าวันนี้แฟร้งค์มีความสุข เปล่าเลย ภายนอกอาจดูเหมือนว่าแฟร้งค์ร่าเริง แต่ในใจนั้นเล่ากลับหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเธอคนนั้น
แฟร้งค์และเพื่อนไปดื่มต่อย่านสี่แยก อ.ส.ม.ท. ยันฟ้าสว่าง
แฟร้งค์ลองควานหาสาเหตุที่ตนดื่มจัด น่าจะมาจากเป็นการดื่มทิ้งทวน ประกอบกับดื่มเป็นเพื่อนเฉลิมที่ทะเลาะกับคนรัก และแฟร้งค์เศร้าหมองจากการที่แฟร้งค์จะไม่มีโอกาสเจอเธออีกแล้ว
คำนวณดูแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์กับแอลกอฮอล์ในค่ำคืนนี้ แอลกอฮอล์น่าจะโดนสังหารตายไปไม่น้อยกว่า ๖-๗ นาย และแน่นอนในสมรภูมิรบเช่นนี้ ฝ่ายของแฟร้งค์ก็ต้องโดนสังหารเช่นกัน น้อง เพื่อน และแฟร้งค์เอง กลับรังด้วยสภาพที่ต่างกันกับตอนเย็นอย่างสิ้นเชิง
จันทร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๘
แฟร้งค์พยายามปลงให้ตกว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเธออีกแล้ว แปลกที่ปกติแฟร้งค์เป็นคนลืมง่ายหน่ายเร็วแต่ครั้งนี้แฟร้งค์สลัดความทรงจำออกจากหัวไม่หลุดเสียที
“สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร” เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง สงครามที่คุกรุ่นในใจแฟร้งค์ยังไม่จบ แฟร้งค์จึงตัดสินใจโทรไปนัดเธอเพื่อเจอกันอีกครั้ง เธอตกลง ที่เก่า เวลาเดิมเหมือนที่เธอเคยนัด
แสงสว่างเริ่มโผล่ที่ปลายถ้ำแล้ว
แฟร้งค์นั่งรถไฟใต้ดินเป็นครั้งที่สามในชีวิตเพื่อไปหาเธอ แฟร้งนัดเจอเฉลิมที่นั่นด้วย เพราะเธอจะมาพร้อมกับเพื่อนของเธอและคนรักของเฉลิม
นี่เป็นครั้งแรกที่แฟร้งค์มีโอกาสคุยกับเธออย่างจริงๆจังๆ อย่างเห็นหน้าค่าตา แฟร้งค้นพบว่าแฟร้งค์มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้เธอ เธอและเพื่อนของเธออยากดูหนัง แฟร้งค์ไม่อิดเอื้อนแม้แต่น้อย
ระหว่างรอรอบหนัง ทั้งห้าชีวิตต้องหาร้านนั่งเล่นฆ่าเวลา แฟร้งค์เสนอมาลอยๆว่า “ซเวนเซ่น” ทั้งๆที่แฟร้งค์เองไม่พิสมัยไอติมแม้แต่น้อย ถ้าจะต้องกิน แฟร้งค์ขอเป็นไอติมรถเข็นไผ่ทองดีกว่าเป็นไหนๆ เธอเห็นดีเห็นงามเป็นอย่างยิ่งกับไอเดีย “ซเวนเซ่น”
ในร้านไอติม แฟร้งค์ได้นั่งติดกับเธอ แฟร้งค์เป็นคนไม่มีความรู้ด้านไอติมเอาเสียเลย เธอแนะนำให้แฟร้งค์สั่งเหมือนเธอ เธอรับประกันความอร่อย แต่แฟร้งค์อยากทำเท่ จึงเลือกเอาเมนูข้างๆแทน แฟร้งกล้ำกลืนฝืนทนแทะเล็มไอติม แน่ละ แฟร้งค์เป็นคนสุดท้ายที่สังหารไอติมเสร็จโดยอาศัยพลังงานของเฉลิมมาช่วย ถึงแฟร้งค์จะกินไอติมอย่างดูน่าลำบาก แต่ก็เป็นความลำบากที่แฟร้งค์เต็มใจ ภูมิใจ และมีความสุข
แฟร้งค์ เธอ เพื่อนของเธอ เฉลิม และคนรักของเฉลิม รวม ๕ ชีวิต เข้าไปดูหนังด้วยกัน แฟร้งค์เป็นคนถือตั๋วเพราะแฟร้งค์ตั้งใจว่าจะเก็บตั๋วนั้นไว้เป็นที่ระลึก
เพื่อนของเธอนั่งซ้ายสุด ถัดมาเป็นเธอ แฟร้งค์ เฉลิม และคนรักของเฉลิมอยู่ขวาสุด
แฟร้งค์ไม่ได้ปริปากพูดกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพราะแฟร้งค์เกรงว่าจะไปรบกวนสมาธิการดูหนังของเธอจนเธอจะรำคาญเอา นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แฟร้งค์ไม่นิยมไปดูหนังกับหญิงสาว เธอดูหนังอย่างสนุกกับเพื่อนของเธอ ด้านแฟร้งค์เองก็สนุกเช่นกัน แต่สายตาแฟร้งค์แอบชำเลืองไปที่เธอตลอดเวลา
หลังหนังจบลง แฟร้งค์อยากอยู่ใกล้ๆเธออีก จึงพยายามหาที่ชักชวนไปต่อ ในที่สุดทุกคนลงมติว่าจะไปปิดแมทช์ที่มอลลี่ แฟร้งค์ดีใจจนเนื้อเต้น
ระหว่างทางบนยานพาหนะที่เฉลิมเป็นผู้ขับ แฟร้งคิดจะชวนเธอคุย แต่เมื่อหันไปแฟร้งค์พบว่าเธอกำลังหลับอยู่เพราะเหนื่อยจากการเดินทางกลับจากภูมิลำเนาเมื่อวาน แฟร้งค์เกรงใจเธอตามเคย ปล่อยให้เธอหลับไป แฟร้งค์มองเธอด้วยความทะนุถนอม แฟร้งค์อยากให้เธอมานอนซบไหล่แฟร้งค์
เสียงเพลงดังรบกวนโอกาสการคุยกันระหว่างแฟร้งค์กับเธอยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่แฟร้งค์รังเกียจเสียงเพลงที่ร้านมอลลี่ แม้จะไม่ได้คุยกันมากนักแต่แฟร้งค์ก็มีความสุขที่ได้มองเธอเต้น ได้เห็นอิริยาบถของเธอ
ร้านปิด ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน เวลาของแฟร้งค์จะหมดลงแล้วหรือนี่ แฟร้งค์ดันทุรังชักชวนทุกคนรวมทั้งพี่ชายของเธอที่มารอรับเธอกลับ ให้ไปเที่ยวต่อ ทุกคนตอบตกลง แฟร้งค์เกรงใจทุกคนมาก
แฟร้งค์รู้ดีว่าการดันทุรังครั้งนี้เป็นการรบกวนเธออย่างยิ่ง พรุ่งนี้เธอต้องทำงานแต่เช้า
หกชีวิตนั่งในร้านผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ปริมาณสุราลดลงอย่างช้าๆ
ไม่รู้เพราะอะไร แฟร้งค์คิดในใจว่าเธอคงไม่ชอบแฟร้งค์เป็นแน่ แฟร้งค์เริ่มลองตัดใจอีกครั้งด้วยการหันไปสนุกสนานในวงสุรา
เธออ่อนล้าจากมาราธอนในคืนนี้มาก จึงขอตัวเอนนอนลงบนเบาะในร้าน แต่ด้วยเสียงเพลงที่รบกวนความสุขในการนอน เธอจึงขอกุญแจรถพี่ชายเพื่อไปนอนที่รถ ขณะนั้นฝนตกพรำๆ แฟร้งค์เป็นห่วงเธอ อยากไปนั่งในรถเป็นเพื่อนเธอ แต่อีกใจหนึ่งแฟร้งค์ก็เกรงว่าพี่ชายเธอจะตำหนิ และผู้ร่วมขบวนการวงสุราในคืนนี้จะว่าแฟร้งค์หนีไปหาความสุขส่วนตัว
แต่ความจริงแล้ว เพื่อนร่วมวงสุราทุกคนเข้าใจแฟร้งค์ดี
แรกเริ่ม แฟร้งค์ก็เข้าๆออกๆ จากร้านไปที่รถ เพื่อคอยดูว่าเธอหลับสบายดีหรือเปล่า แต่ยามที่แฟร้งค์โผล่ไปทีไร เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นทุกที แฟร้งค์เกรงว่าจะรบกวนการนอนของเธอ จึงขออนุญาตเธอเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังรถ และรับประกันกับเธอว่าเธอสามารถนอนหลับสนิทได้ แฟร้งค์ขอแค่นั่งเป็นเพื่อนด้วยความสงบ
เธอเปลี่ยนใจ กลับลงมาจากรถ แฟร้งค์ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอไม่ไว้วางใจแฟร้งค์? เธอกลัวโดนพี่ชายว่า? เธอกลัวเพื่อนว่า? หรือเธอไม่อยากให้แฟร้งค์มานั่งเฉยๆแต่อยากให้ไปสนุกเต็มที่เพราะมันเป็นคืนสุดท้ายที่แฟร้งค์จะได้เที่ยว?
แฟร้งค์และเธอกลับเข้าไปที่ร้านอีกครั้ง
ใกล้เช้า หกชีวิตออกจากร้านแยกย้ายกันกลับบ้าน แฟร้งค์คิดว่าเวลาที่แฟร้งค์จะได้เจอและอยู่ใกล้กับเธอหมดลงแล้ว จากนี้แฟร้งค์คงต้องเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
อังคารที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘
ตอนเช้า แฟร้งค์พยายามทุกวิธีที่จะเลื่อนการเดินทาง แต่ระเบียบของเจ้าจำปีก็ไม่มีบทยกเว้นให้กับผู้มีความจำเป็นเรื่องหัวใจ
แฟร้งค์มีเรื่องต้องทำหลายอย่างก่อนเดินทางในคืนนี้ แต่แล้วความคิดถึงเธอทำให้แฟร้งค์ตัดสินใจยกเลิกกำหนดการเดิมทั้งหมดเพื่อไปหาเธอ แฟร้งค์ใช้เวลาเก็บกระเป๋าและตัดสินใจบอกครอบครัวว่าจะออกไปทำธุระ ให้ไปเจอกันที่สนามบินเวลา ๒๒.๐๐ น.
แฟร้งค์เพียรพยายามโทรหาเธอ แต่เธอก็ปิดเครื่อง คราใดที่แฟร้งค์โทรไปหาเธอแล้วมีเสียงเพลงขึ้นว่า “สุดที่รักเธอโทรมาช่วยรับหน่อย...” แฟร้งค์จะอมยิ้มแก้มตุ่ย แต่คราใดที่แฟร้งค์โทรไปหาเธอแล้วมีเสียงตอบรับว่า “คุณกำลังเข้าสู่บริการรับฝากข้อความ...” แก้มยุ้ยๆของแฟร้งค์พลันเหี่ยวแห้งลงทันที
แฟร้งค์คิดว่าเธอคงไม่ชอบใจแฟร้งค์และไม่อยากคุยกับแฟร้งค์อีก เนื่องจากความอุบาทว์ของแฟร้งค์ที่ลากเธอเที่ยวยันเช้า แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของแฟร้งค์ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงจากสวรรค์แน่ๆ
คนรักของเฉลิมโทรมาเพื่อแจ้งให้แฟร้งค์ทราบว่า ตอนเช้าเธอไม่ได้มาทำงานเพราะลุกไม่ไหว พึ่งเข้ามาช่วงบ่าย และโทรศัพท์ก็แบตหมดตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ชาร์จ แฟร้งค์รู้สึกผิดมาก คนรักของเฉลิมยื่นโทรศัพท์ให้เธอได้คุยกับแฟร้งค์ เธอตกลงจะไปกินข้าวเย็นกับแฟร้งค์ มันเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่แฟร้งค์ต้องจากไป
แฟร้งค์นั่งรถไฟใต้ดินครั้งที่สี่ในชีวิต เธอนัดแฟร้งค์ที่ทำงานของเธอย่านลาดพร้าว เวลา ๑๘.๐๐ น. ในขณะที่แฟร้งค์มีเวลาถึง ๒๒..๐๐ น. เท่ากับว่าแฟร้งค์มีเวลาที่จะเจอกับเธอได้อีกแค่ ๔ ชั่วโมง แฟร้งค์นึกในใจว่า ทำไมหนอเราจึงไม่เป็นซินเดอเรลล่าที่มีโอกาสไปงานเลี้ยงได้ถึงเที่ยงคืน อย่างน้อยก็มากกว่าเวลาที่แฟร้งค์มีตั้ง ๒ ชั่วโมง
แฟร้งค์นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากปากซอยเข้ามาที่ทำงานของเธอ สายตาแฟร้งค์เหลือบไปเห็นเธอกำลังเดินอยู่ในซอย แฟร้งค์รีบร้องบอกคุณน้ามอเตอร์ไซค์ให้หยุดรถ แล้ววิ่งตามเธอไป แต่ก็ไม่ทัน แฟร้งค์เดินกลับเข้าไปที่ทำงานของเธอ เพื่อนของเธอต้อนรับแฟร้งค์ดีมากและแจ้งว่าเธอออกไปสระผมที่กลางซอย
แฟร้งค์อยากใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการอยู่ใกล้กับเธอ จึงตัดสินใจออกเดินไปหาเธอโดยที่ไม่รู้เลยว่าร้านทำผมอยู่ตรงไหน
ผ่านร้านแรก ไม่เห็นเธอ ร้านที่สอง ยังไม่เห็น ร้านที่สาม แฟร้งค์เห็นสตรีคนหนึ่งกำลังทำผม ที่หลังร้านแฟร้งค์เห็นช่างกำลังสระผมให้ใครคนหนึ่งอยู่ แฟร้งค์พยายามชะโงกหน้าไปดูหลังร้านว่าใช่เธอหรือไม่ แต่ก็จนปัญญา แฟร้งค์เกรงว่าจะโดนเจ้าของร้านหาว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี จึงเดินออกหาเธอต่อไป แฟร้งค์มารู้ภายหลังจากปากเธอว่า ผู้หญิงที่นอนสระผมอยู่หลังร้านนั้นเป็นเธอนั่นเอง
๑๘.๔๐ เธอโทรมาบอกว่า การสระผมเสร็จสิ้นแล้ว รออยู่ที่ทำงาน แฟร้งค์รีบโกยอ้าวราวกับหนีผีปอบเพื่อกลับไปเจอเธอ
เหลือเวลาที่แฟร้งค์จะอยู่ใกล้เธอแค่ ๓ ชั่วโมง ๒๐ นาที เธอ แฟร้งค์ และคนรักของเฉลิมตกลงจะไปกินข้าวกัน ไปถึงร้าน ๑๙.๐๐ เวลาถอยไปอีกแล้ว แฟร้งค์อยากหาอะไรมาหยุดเวลาเสียจริง
แฟร้งค์สังเกตว่าเธอชอบกินปูผัดผงกะหรี่ แต่ละคำเข้าปากเธอช้ามาก เพราะเธอต้องเขี่ยผักที่ติดมาออกให้หมดเสียก่อน แฟร้งค์อยากให้เธอได้กินปูอย่างเอร็ดอร่อย เลยตักปูมาที่จานของตัวเองมากพอควร แล้วนั่งเขี่ยผักอย่างละเอียดลออเพื่อส่งต่อให้เธอ แฟร้งค์มั่นใจว่าปูที่เธอกินต่อจากนี้จะไม่มีผักแม้แต่นิดเดียว
เฉลิมตามมาสมทบจากที่ทำงาน เข็มนาฬิกาขยับไปที่ ๒๐.๐๐ แฟร้งค์ส่งสัญญาณกับเฉลิม เป็นอันรู้กันว่าเราต้องมีเบียร์เย็นๆสักขวด แฟร้งค์ดื่มได้น้อยมาก แฟร้งค์ไม่ได้รักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าเธอด้วยการดื่มน้อย หากเป็นเพราะแฟร้งค์อ่อนล้ามาจากเมื่อวาน
แฟร้งค์รู้สึกว่าอาหารร้านนี้อร่อยยิ่งนัก จริงอยู่ ฝีมือพ่อครัวดีดังที่คนรักของเฉลิมบอก แต่สำหรับแฟร้งค์แล้ว การได้นั่งเคียงข้างเธอและการได้กินอาหารที่เธอตักมาใส่จานต่างหากเล่าที่ทำให้แฟร้งค์ล่องลอยอยู่ในวิมาน
จริงอย่างที่ใครบางคนกล่าวไว้ ยามใดที่เรามีความสุข เวลามักจะแกล้งเราด้วยการเดินเร็วเสมอ นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ถึงเวลาแล้วที่แฟร้งค์ต้องไป แฟร้งค์ยังอยากใช้เวลาชั่วโมงสุดท้ายอยู่กับเธอ จึงอาสาไปส่งที่ห้างย่านรัชโยธิน นี่เป็นครั้งที่สามในรอบหกวันที่แฟร้งค์แวะเวียนมาห้างแห่งนี้ ซึ่งก็เป็นสามครั้งในชีวิตของแฟร้งค์ด้วย
แฟร้งค์นั่งเป็นเพื่อนเธอเพื่อรอการมารับของพี่ชาย แฟร้งค์อยากสนทนากับเธอมาก แต่แฟร้งค์รู้ดีว่าเธออ่อนเพลียเพียงใดจากความดันทุรังของแฟร้งค์เมื่อคืนวาน แฟร้งค์จึงไม่พูดอะไรมากนัก นอกจากขอมองเธอนานๆ ๒๑.๓๐ พี่ชายของเธอมาถึง เธอและพี่ชายอาสาไปส่งแฟร้งค์ถึงสนามบิน แฟร้งค์เกรงใจจึงปฏิเสธไป แต่เธอและพี่ชายยืนยันที่จะไปส่ง แฟร้งค์หัวใจพองโตที่จะมีโอกาสอยู่ใกล้เธอแม้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม
บนยานพาหนะ แฟร้งค์นั่งด้านหน้า เธอนั่งด้านหลัง แฟร้งค์ไม่ได้สนทนากับเธอเพราะเห็นว่าเธอนอนหลับปุ๋ย แฟร้งค์คุยกับพี่ชายของเธอตลอดเส้นทาง แม้แฟร้งค์จะไม่ได้คุยกับเธอ แต่แฟร้งค์ก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ
ทำไมเส้นทางจากรัชโยธินมาดอนเมืองจึงใกล้นัก แฟร้งค์คิด
แฟร้งค์ทราบดีว่าเธอและพี่ชายอ่อนล้าและอยากกลับไปพักผ่อน แฟร้งค์จึงขอเดินเข้าไปสนามบินเอง เพราะเท่านี้แฟร้งค์ก็ขอบคุณเป็นอย่างสูงแล้ว
ก่อนที่แฟร้งค์จะเดินจากเธอไป แฟร้งค์อยากจับมือของเธอขึ้นมากุมไว้ อยากเอามือลูบหัวเธอเบาๆ แต่แฟร้งค์ก็ไม่กล้า เพราะเกรงว่าเธอจะตำหนิแฟร้งค์ที่ล่วงเกินเธอทั้งๆที่รู้จักกันได้ไม่กี่วัน
แฟร้งค์ขอร้องเธอว่าอย่าปิดโทรศัพท์ และยกมือขวาขึ้นมาไว้ข้างหูเพื่อทำเป็นรูปโทรศัพท์ แฟร้งค์พูดประโยคสุดท้ายสั้นยิ่งนัก “บ๊าย บาย”
ไม่น่าเชื่อ
๑๑ วันนับจากวันที่แฟร้งค์พบเธอครั้งแรก ณ ร้านมอลลี่
๑ วันนับจากวันที่แฟร้งค์ได้สนทนากับเธออย่างจริงจังและมีโอกาสดูหนังและเที่ยวด้วยกันยันเช้า
มาถึงวันนี้ วันที่แฟร้งค์ต้องจากเธอไป แฟร้งค์คิดได้แล้วว่า “เธอคือคนที่ฉันตามหามาแสนนาน และเป็นคนที่ฉันใฝ่ฝันในหัวใจ แม้ชีวิตของฉันตอนนี้จะเป็นเช่นไร แต่อยากให้รับรู้เอาไว้ อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี แต่คืนนี้ จะบอกเธอนะคนดี อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้... ฉันรักเธอ”
ชีวิตของแฟร้งค์ผ่านผู้หญิงมาอยู่บ้าง แต่แฟร้งค์กลับไม่รู้สึกผูกพันเท่ากับเธอคนนี้ ทั้งๆที่แฟร้งค์มีเวลาเพียงไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับเธอแล้วต้องจากกัน แฟร้งค์ก็ไม่ลังเลที่จะยืนยันว่าเธอคือหัวใจของแฟร้งค์เสียแล้ว
.................
มิตรรักบล็อกเกอร์ทุกท่านครับ...
คิดว่าตอนจบจะเป็นยังไง
ลองเอาใจช่วยแฟร้งค์กันหน่อยครับว่าสุดท้ายจะแฮปปี้ เอนดิ้งหรือเปล่า ไว้ผมมีโอกาสเจอแฟร้งค์อีกครั้งจะสอบถามแล้วเอามาเล่าสู่กันฟังต่อ
-หมายเหตุ- สไตล์การเขียนบล็อกตอนนี้รับอิทธิพลมาจากบทภาพยนตร์เรื่อง “หมานคร”
7 ความคิดเห็น:
"แฟรงค์"
ชื่อคุ้นๆนะ
คนที่กินเหล้าเป็นน้ำ
แทงสนุ้กผีเข้าผีออก
หลงแสงสียามราตรีในมหานครบางกอก
พยายามจะเลื่อนตัวกลับ แต่เสียดายเงินห้าพัน
นั่งมอลลี่บ่อยกว่าบ้าน หากนับเวลากันชั่วโมงต่อชั่วโมง
อืมมม
กูว่ากูต้องเคยรู้จักไอ้หมอนี่มาก่อนแน่ๆว่ะ
ไว้มึงเจอมันคราวหน้า ฝากบอกมันด้วยว่า
กูลับคิว รอสอยมันอยู่
"ไอ้แฟรงค์"
ฮ่าๆ ...
ขอโทษอย่างรุนแรง ที่วันนั้นโทไปขัดขวางความสุข 30 วินาทีที่มีค่า ฮรี่ๆ
เปลี่ยนชื่อแล้วเหรอ !
เอ่อ ... คุณแฟรงค์หายสาปสูญ
เรียนทุกท่าน
เรื่องของแฟร้งค์นะครับ ไม่ใช่ เรื่องของข้าพเจ้า
qzz0614
nike shoes
canada goose outlet
kate spade outlet
michael kors handbags
lacoste soldes
supra shoes
true religion outlet
polo outlet
chicago blackhawks jerseys
cheap football shirts
www1027
nike blazers
nhl jersey
nike shoes
pandora charms
christian louboutin shoes
fitflops clearance
new balance shoes
coach outlet online
red bottom shoes
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก