การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา (เอากะเค้ามั่ง)
ผมเดินทางกลับมาฝรั่งเศสได้หลายวันแล้ว แต่ไม่มีอินเตอร์เนทใช้เพราะยกเลิกบริการก่อนกลับเมืองไทยไป ตอนนี้อินเตอร์เนทเจ้าใหม่ส่งโมเด็มมาให้ เลยกลับเข้าสู่โลกไซเบอร์สเปซได้ตามปกติ ระหว่างที่ผมไม่มีเนทใช้นั้น ผมก็ขยันปั่นบล็อกทิ้งไว้หลายตอน ทั้งนี้เพื่อเป็นการชดเชยความขี้เกียจอัพบล็อกตอนอยู่บางกอก ผมเลยขอเอาลงทีเดียว ๓ ตอนรวดไปเลย
เห็นบล็อกเกอร์หลายคนหยิบยืมชื่อคอลัมน์ของอาทิตย์ในผู้จัดการ ออนไลน์มาใช้กัน ผมก็ขอยืมเอามาใช้กะเค้ามั่ง
การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาของผม เกิดขึ้นระหว่าง กรุงเทพ-ปารีส-น็องต์
วันสุดท้ายในมหานครแห่งความสุข ผมยังคงตักตวงความสุขอย่างเต็มที่ ผมเร่งทำภารกิจสำคัญในชีวิต ทำให้ไปถึงสนามบินอย่างล่าช้าจนโดนบุพการีตำหนิเอา ในใจยังคิดว่าตกเครื่องบินก็ดี บุพการีของผมเป็นกังวลว่าจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักกระเป๋าที่ผมแบกไป ๔ ใบร่วม ๕๐ กิโล แต่โชคเข้าข้างผมมาก ผมเข้าไปเช็คอิน เอากระเป๋าสองใบที่ผมต้องการโหลดลงเครื่องไปชั่งน้ำหนัก เลขที่ออก ๓๕ กิโลกรัม เกินมาหลายกิโล แต่พนักงานหน้าหวาน ใจดีสมดังหน้าตา อนุญาตให้ผ่านไปอย่างไม่มีการท้วงติง
ด้วยความหน้าด้าน ผมเลยรบเร้ากับเธออีกว่า ขอเอาลงอีกใบได้มั้ยครับ เธอยิ้มหวานตอบกลับมาว่า “นี่ก็เกินมาเยอะแล้วนะคะ” ผมยิ้มเจื่อนๆเดินออกไป ผมคาดไม่ถึงว่าการเช็คอินกระเป๋าในครั้งนี้จะผ่านไปอย่างง่ายดาย รู้งี้เอาหนังสือหนาๆใส่ไปอีกสักเล่มสองเล่มก็ดี
บังเอิญที่ผมมีรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่เมืองเดียวกันเป็นสิงห์อมควันตัวยง ด้วยเหตุที่มะเร็งห่อมวนที่ฝรั่งเศสราคาแพงมากสนนราคาตกซองละ ๒๕๐ บาท ผมจึงสนับสนุนยัดเยียดความเป็นมะเร็งให้แก่รุ่นพี่คนนี้ด้วยการไปซื้อมะเร็งห่อมวนที่ดิวตี้ฟรี รวม ๒ ค็อต ราคา ๑ พันบาท เรียกได้ว่าเงินก้อนเดียวกันซื้อบุหรี่ที่ฝรั่งเศสได้แค่ซองเดียวแต่ซื้อที่เมืองไทยได้ตั้ง ๕-๖ ซอง
ผมนั่งอยู่กับพ่อ แม่ แม่บ้าน เกือบชั่วโมง จึงเดินเข้าสู่ภายในสนามบิน จัดการลบข้อมูลในมือถือที่ใช้ประจำตอนอยู่เมืองไทยแล้วส่งคืนให้ที่บ้านเอาไปใช้ต่อ สวมกอดทั้งสามคน มุ่งหน้าเดินทาง บรรยากาศนี้ผมค่อนข้างชินแล้ว เพราะผมกลับบ้านบ่อย นับรวมตอนนี้ก็ได้ ๔ ครั้ง
ก่อนจะเข้าไปตรวจกระเป๋าที่ผมจะเอาขึ้นเครื่องบิน ก็ต้องแวะไปเอาบุหรี่ที่จ่ายเงินไปแล้วเสียก่อน เวรกรรมครับ ซุ้มดิวตี้ฟรีมันอยู่เกท ๓๐ กว่าๆ แต่เครื่องบินที่จะขึ้นอยู่เกท ๑๒ เดินย้อนไปมาอ้วกเลย ซวยยิ่งกว่า ผมเข้าไปข้างในแล้วหารถเข็นไม่เจออีก ต้องแบกกระเป๋า ๒ ใบน้ำหนักรวม ๑๕ กิโลด้วยมือเปล่า
มาถึงที่สแกนกระเป๋า กะว่างานนี้ชิวๆ ไม่มีเรื่อง แต่ที่ไหนได้ กระเป๋าผมดันมีอาวุธซุกซ่อนอยู่ มันคือที่เปิดไวน์นั่นเอง ผมนึกย้อนไปได้ความว่า มันติดกระเป๋ามาตั้งแต่ไปรับน้องแล้วผมไม่ได้เอามันออก ก็ต้องเขวี้ยงทิ้งไป เสียดายอยู่ครับ เพราะราคาแพงได้ใจทีเดียว
เดินขึ้นเครื่องบิน ผมได้ที่นั่งจ๊าบมาก อยู่ด้านนอก ลุกเข้าออกสบาย แถมช่องวางสัมภาระบนหัวก็ยังว่างอีก นั่งพักเหนื่อยได้สักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง ...
วิงเวียนศีรษะพาลจะอาเจียน
แถมข้าศึกในท้องเริ่มรบกวนด้วยการเคาะประตูบ้านจะออกมาดูโลกภายนอก
เหงื่อตก หน้าซีด ทั้งๆที่ในเครื่องเย็นฉ่ำ
ท่านผู้อ่านเคยมั้ยครับ ที่ของเสียจากตัวท่านมันอยากจะออกทวารปากและทวารหนักพร้อมๆกัน
สงสัยต้องเป็นเพราะอาหารมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง และแอลกอออล์ที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงเมื่อกี๊แน่ๆ ร่างกายผมมันคงอยากร้องตะโกนออกมาดังๆว่า “กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย ฉ่ำเหล้าไปหมดแล้ว” จะลุกเข้าไปขับไล่ข้าศึกออกจากตัวก็ไม่ได้ เพราะเครื่องเริ่มเดินรอเหินขึ้นฟ้าแล้ว กติกาเค้าบังคับให้นั่งกับที่ห้ามลุกไปไหน หรือถ้าเกิดผมลุกไปนั่งปลดทุกข์เกิดเครื่องทะยานขึ้น ผมมิตกส้วมตายหรือ?
ทันใดนั้นก็มีเสียงราวมัจจุราชก็มิปานดังขึ้น
“ต้องขออภัยผู้โดยสารเป็นอย่างยิ่งที่เครื่องออกล่าช้ากว่ากำหนด เครื่องพร้อมออกแล้วแต่สภาพการจราจรในสนามบินติดขัด มีเครื่องขึ้น-ลงมาก เรากำลังรอสัญญาณจากหอบังคับการอยู่ ขออภัยความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้” เสียงกัปตันร้องประกาศให้ผู้โดยสารทราบ
ผมอยากบอกกัปตันว่าเปลี่ยนจากคำขออภัยเป็นคำอนุญาตให้ผมไปขี้จะได้หรือไม่ มาถึงขั้นนี้ผมเริ่มทนไม่ไหว แอบละเมิดกติกาการบินด้วยการปลดเข็มขัดที่นั่งและเข็มขัดกางเกงไปพร้อมๆกัน แล้วเอาผ้าห่มปิดไว้ กะให้ผ่อนคลายและไม่เสียเวลาตอนถอดกางเกงอีก
เครื่องทะยานขึ้น ทันทีที่มีสัญญาณให้ปลดเข็มขัดที่นั่งได้ ผมลุกไปห้องน้ำในบัดดล กรรมเวรของผมโดยแท้ มีชายแก่ฝรั่งเศส และไอ้หนูน้อยอีกคนอยู่หน้าผม ทั้งสองคนอาจมีชะตากรรมเดียวกับผมก็เป็นได้ ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่าสองหนุ่มต่างวัยจะเข้าห้องน้ำได้รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม แต่ในความเป็นจริงทั้งสองคนใช้เวลาโคตรนาน จนผมเริ่มหมดกำลังใจจะกลับไปนั่งที่เดิม ก็เวลาที่ข้าศึกมาเคาะประตู บางทีถ้านั่งอาจบรรเทาอาการไปได้บ้าง แต่พอยืนทีไรล่ะก็ได้เรื่อง ลมมันเย็นวูบวาบ ผมต้องอาศัยการขมิบทวารให้พอทุเลาไปพลางก่อน
“แกร๊ก” เสียงปลดกลอนดังขึ้น ผมถลาเข้าไปในห้องแคบๆนั้นทันที รีบขนาดไหนก็คิดดูละกันว่า ผมถอดกางเกงนั่งส้วมก่อนที่จะล็อคประตูเสร็จเสียอีก
....................................................................
....จากนี้งดบรรยายเพื่อป้องกันความอุจาด.....
....................................................................
หลังขับไล่อริราชศัตรูให้พ้นไปจากเขตขันธสีมาของผมแล้ว ก็มาถึงการสรรหาเครื่องดื่มเย็นๆมาดับร้อน ผมขอจิน-โทนิคจากแอร์หน้าจิ้มลิ้ม ต้องอย่างนี้สิครับ... ชีวิตถึงค่อยน่าอภิรมย์ขึ้นมาหน่อย แต่ในใจก็ยังกังวลว่า กูซัดแอลกอฮอล์เข้าไปอีกนี่จะมีข้าศึกตนไหนมาเพ่นพ่านในบ้านอีกเปล่าหว่า เลยยับยั้งชั่งใจด้วยการกระดกเพียงแก้วเดียว
ขอนอกเรื่องอธิบายสักเล็กน้อยถึงสูตรการซัดน้ำเมาบนเครื่องบินของผม
ก่อนที่อาหารมื้อแรกมาเสิร์ฟ เค้าจะมีบริการเครื่องดื่มให้เราจุดหัวเทียนก่อน ผมแนะนำว่าควรเลือกของเย็น จะทำให้ท่านรู้สึกสบายหลังจากเหนื่อยล้าเพราะแบกสัมภาระ บางท่านอาจกระดกเบียร์ แต่ผมดัดจริตเล็กน้อยด้วยการสั่งจิน-โทนิค เหตุผลง่ายๆคือ เบียร์หากินง่ายตามท้องถนนทั่วไป ปกติผมจะซัดไปสองแก้วพร้อมกับถั่วที่เค้าแจกให้คนละซอง
จากนั้นเค้าจะเริ่มเสิร์ฟอาหาร ส่วนใหญ่มีสองเมนูให้เลือก ก็เลือกไปตามใจปากตัวเองละกันครับ ส่วนเครื่องดื่ม เค้ามีไวน์แดง ไวน์ขาวมาให้เลือก ผมซัดไวน์แดงตลอด จำนวนแก้วไม่เคยนับ มากน้อยขึ้นกับว่าแอร์มาเพ่นพ่านแถวที่นั่งผมบ่อยมั้ย (ผมเคยนั่งแอร์ ฟร้านซ์ เค้าให้คนละขวดขนาด ๓๕ มิลลิลิตรไปเลย ซึ่งถูกจริตคนเยี่ยงผมมาก จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณแอร์บ่อยๆ)
ปิดท้ายก็มีกาแฟ ชา มาให้เลือก ผมติดกาแฟมาก จะนอนก็ต้องกิน ก็ซัดอีกหนึ่งหน่วย คนอื่นอาจจะเตรียมขยับหาที่นอนกัน แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกหน่อย พร้อมกับละเลียดคอนหยักอีก ๒ แก้ว เป็นอันเสร็จพิธี
พูดถึงการละเลียดคอนหยัก การเดินทางครั้งนี้มีสิ่งดีๆเกิดกับชีวิตของผมหนึ่งเรื่อง
ผม – โทษนะครับ... ผมรบกวนขอคอนหยักสักแก้วได้มั้ยครับ
คุณแอร์ – เอ่อ... อายุเกิน ๑๘ หรือยังคะ
ผม – (พยักหน้า) เอ่อ... ผมจะเข้า ๒๖ แล้วครับ
คุณแอร์ – อ๋อ พอดีเห็นหน้าเด็กน่ะค่ะ
ผม – (แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ)
ตัดกลับมาถึงสนามบินชาร์ลส์ เดอโกลล์ สืบเนื่องมาจากว่าเครื่องออกจากดอนเมืองล่าช้ากว่ากำหนดการ กว่าจะมาถึงสนามบินที่ฝรั่งเศสก็ปาไป ๗ โมงเช้า ไหนผมจะต้องรอตรวจพาสปอร์ตอีก พูดแล้วก็อยากจะด่าคนที่ถือพาสปอร์ตยุโรปยิ่งนัก เค้ามีช่องตรวจพาสปอร์ตที่สงวนไว้เฉพาะคนในอียู เจ้าหน้าที่ก็ตะโกนเรียก แต่ไม่มีใครไปเลย มายัดอยู่ที่ช่องเดียวกันอยู่ได้
ผมจำได้แม่นยำว่ารถไฟจากสนามบินเข้าเมือง Nantes ออกเวลา ๘.๓๐ น. ทว่าหลังจากตรวจพาสปอร์ตและลากกระเป๋าจากเทอร์มินัล ๑ มาถึงสถานีรถไฟก็ปาเข้าไป ๘.๑๐ น.เข้าไปแล้ว ไหนจะเข้าคิวรอซื้อตั๋วอีก ผมแลเห็นคนต่อแถวยาวมากที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว จึงตัดสินใจใช้วิธีลัดด้วยการซื้อทางเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ แถวยาวพอใช้ได้แต่คะเนแล้วผมน่าจะซื้อทันรถไฟออกพอดี
ผ่านไป ๑๐ นาที เหลืออีกสองคนก็จะถึงตาผมแล้ว เดี๋ยวก็จะได้นอนยาวๆบนรถไฟสักที
ทว่า การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา... ถึงคิวผมซื้อตั๋ว เครื่องจำหน่ายดันเกิดป่วยกระทันหัน ขึ้นตัวอักษร « Hors service » แปลว่า “งดให้บริการ”
“ปุตแต็ง เดอ แมร์ด” “บอร์ดาล” ผมผรุสวาทตามสำนวนเจ้าถิ่น
ชายชราที่ต่อหลังผมหันมามองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ผมบอกชายชราคนนั้นว่า ถ้าไอ้คนที่อยู่หน้าพวกเราคนหนึ่งไม่อนุญาตให้สตรีคนหนึ่งแซงคิวล่ะก็ ผมต้องเป็นคนสุดท้ายที่ได้ซื้อตั๋วแน่นอน ตำแหน่งที่ผมยืนตอนนี้ก็จะกลายเป็นลุง และลุงก็จะเป็นคนผรุสวาทออกมา ถึงที่สุดทั้งผมและลุงก็ซวยด้วยกันอยู่ดี เราสองคนหัวเราะปนขมขื่นให้กับการเดินทางที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้
ผมพาสัมภาระร่วม ๕๐ กิโลไปซื้อตั๋วที่เครื่องใหม่ แถวยาวอีกเช่นเคย แต่ครานี้ผมใจเย็นขึ้น อย่างไรเสียรถไฟรอบแรกก็ออกไปแล้ว เมื่อถึงคิวผม ผมก็พบว่าการเดินทางครั้งนี้มันไม่ธรรมดาอีกเช่นเคย
รถไฟที่ผมจะนั่งจากสนามบินกลับบ้านผมในรอบต่อไปจะออกเวลา ๑๓.๓๐ น. เท่ากับว่าผมต้องนั่งรอที่สนามบินเกือบ ๕ ชั่วโมง นั่งรถไฟอีกเกือบ ๔ ชั่วโมง รวมแล้วอีก ๙ ชั่วโมงกว่าผมจะถึงรัง ผมลองหาวิธีแก้ด้วยการหาตั๋วไปลงเมืองใกล้ๆ บ้านผม ปรากฏว่าต้องรอนานพอๆกันอยู่ดี
มีอีกวิธีหนึ่ง ผมต้องออกจากสนามบินเข้าไปสถานี Montparnasse ในตัวเมืองปารีส สถานีนี้มีรถไฟไปบ้านผมทุกชั่วโมง แถมยังเป็น TGV วิ่งเร็วจี๋ ๒ ชั่วโมงถึง แต่มานั่งคำนวณแล้ว กว่าผมจะแบกสัมภาระครึ่งร้อยกิโลเพื่อเข้าไปสถานี ก็คงจะชักดิ้นตายก่อนจะถึงเป็นแน่ (ต้องนั่งรถบัสเปลี่ยนเทอร์มินัล แล้วเปลี่ยนรถบัสอีกคันเพื่อไปสถานี Montparnasse ไม่ก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินเข้าไปซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ายามเช้าของปารีสนั้นคนแน่นเป็นปลากระป๋อง)
ในที่สุด ผมก็ปลงตก รอก็รอ ทำไมหนอชีวิตของผมถึงมีแต่การรอคอย
หิวมาก ท้องบอกผมด้วยเสียงอันดัง ผมเลยเดินเข้าไปหาของกิน ต้องเรียนให้ทราบด้วยว่า การเดินไปไหนมาไหนตลอดเวลาที่อยู่สนามบินและสถานีรถไฟ ผมไม่ได้เดินตัวเปล่า แต่ต้องลากเอาสัมภาระ ๕๐ กิโลไปด้วย ผมซื้อสิ่งที่ผมไม่อยากเรียกว่า “อาหาร” ยัดเข้าท้องให้พออิ่ม ลองคิดดู ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ผมยังได้กินอาหารดีๆ เหล้าดีๆ บรรยากาศดีๆ อยู่เลย เผลอแป๊บเดียวกลายเป็นนักพเนจรกินขนมปังผ่ากลางใส่ไส้กรอกนิด ผักหน่อย
จัดการเรื่องปากท้องเสร็จ ก็หามุมสงบๆนั่งพัก ผมพบว่าผมไม่อาจนอนบนเก้าอี้ในสถานีได้สะดวกนัก ว่าแล้วเลยจัดแจงหามุมหนึ่ง เอากระเป๋ากองไว้ ๒ ใบ เอนตัวลงนอนกับพื้นโดยมีกระเป๋าหนุนหัว ปลายเท้าก็ต้องพาดบนกระเป๋าอีก ๒ ใบที่เหลือเพื่อจะได้รู้สึกตัวหากมีใครมาแอบขโมยกระเป๋าผมไป
ถ้ามิตรรักบล็อกเกอร์ยังไม่เห็นภาพ ขอให้นึกถึงคนที่นอนระเกะระกะตามสถานีหัวลำโพงหรือหมอชิต นั่นแหละ สภาพของผม
แน่ละ สภาพเช่นนี้คงนอนไม่ได้นาน ความไม่สบายในการนอนปลุกให้ผมตื่นหลังจากเอนหลังไปได้เกือบชั่วโมง เหลืออีกเกือบ ๔ ชั่วโมง ผมงัดหนังสือมานั่งอ่าน แม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยแต่ผมก็อ่าน “พรมแดนทดลอง” ของคุณมุกหอม วงศ์เทศจบไปได้
ด้วยความกรุณาของคุณ Carré de mim ทำให้ผมมีบัตรโทรศัพท์ใช้โทรกลับไทย ผมโทรกลับไปหาคนที่ผมอยากคุยด้วยที่เมืองไทย แต่ใครเล่าจะคุยกับผมได้นาน ในเมื่อเวลาที่มหานครแห่งความสุขขณะนั้นเป็นเวลาทำงาน
เปลี่ยนอิริยาบถด้วยการเดินไปหาซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน ชักคอแห้ง เลยไปหาซื้อน้ำกิน พลันสายตาไปสะดุดเข้ากับกระป๋องเบียร์ยี่ห้อ ๑๖๖๔ นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมค้นพบว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสระหว่างผมกลับบ้านไปเกือบ ๓ เดือน กระป๋องเบียร์ ๑๖๖๔ เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ จากเดิมพื้นสีขาว ตอนนี้พื้นเป็นสีฟ้าและรูปทรงสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ในฐานะผู้บริโภคที่ดี ผมต้องพิสูจน์ว่าเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วยังคงรสชาติเดิมหรือไม่ ผมเลยจัดการเอา ๑๖๖๔ โฉมใหม่มาทดลอง
ปรากฏว่า เหมือนเดิมทุกประการ
ผมเป็นคนรอบคอบพอดู... เพื่อความแน่ใจ เผื่อลิ้นผมยังปรับรสไม่ทัน ว่าแล้วเลยเอาอีกสักกระป่องมาทดสอบ
ปรากฏว่า เหมือนเดิมทุกประการ
เป็นกรรมเวรของนักดื่ม ดื่มเข้าไปก็ต้องเอาออก ห้องน้ำอยู่ชั้นบน ผมก็ต้องแบกข้าวของขึ้นไปปลดปล่อยที่ชั้นบนอีก แต่ก็นับว่าเป็นการฆ่าเวลาได้ดีทีเดียว
ในที่สุดการรอคอยที่สถานีก็สิ้นสุดลง รถไฟใกล้ออกแล้ว ที่ชานชาลาจะมีบอร์ดแสดงส่วนประกอบของรถไฟว่าตู้ไหนอยู่ตรงส่วนใดและต้องไปยืนรอที่จุดใดจึงใกล้ตู้นั้นที่สุด ผมเป็นนักเดินทางผู้ชำนาญจึงปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วน ไปยืนรอ ณ จุดที่ตู้รถไฟที่นั่งผมต้องมาจอดตรงเบื้องหน้าผมพอดี
ความซวยในการเดินทางของผมไม่หมดเสียที ไอ้บอร์ดแสดงส่วนประกอบของรถไฟว่าตู้ไหนอยู่ตรงส่วนใดนั้นดันแสดงผิด กลับหัวหลับหาง หัวขบวนเป็นท้ายขบวน ท้ายขบวนเป็นหัวขบวน ตู้ที่ผมขึ้นนั้นบอร์ดบอกว่าอยู่ท้ายๆเอาเข้าจริงก็กลายเป็นอยู่ส่วนหัว ผมต้องลากกระเป๋าตาเหลือกกลับไปที่ตู้ผม ผู้โดยสารทุกคนวิ่งสวนทางกันอุตลุดเพื่อไปยังตู้ของตน อลหม่านดีแท้
สถานีรถไฟนี้เป็นสถานีประจำสนามบิน เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารที่ขึ้นรถไฟ ณ สถานีนี้ต้องมีสัมภาระมาก สงครามการแย่งชิงพื้นที่เก็บสัมภาระบนรถไฟจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความเห็นใจผู้สูงอายุ ผมยอมสละพื้นที่ที่ผมพึงมีพึงได้ให้ไป ผมต้องแบกสัมภาระเลาะไปตามทางเดินบนรถไฟซึ่งแคบขนาดที่ตัวผมยืนก็เต็มแล้ว (ไหนจะมีคนสวนทางมาอีก) เพื่อเอาไปเก็บไว้ในตู้ถัดไปจากตู้ที่นั่งผม
กว่าจะลงตัว ได้หย่อนก้นลงที่นั่งประจำ เล่นเอาลิ้นห้อย
รถไฟที่ผมนั่งระบุว่าเป็น TGV ต่ผมพบว่ามันเป็น TGV ที่ช้าที่สุดในโลก สาเหตุจาก ๑. พี่แกเล่นจอดหลายสถานี ๒. รถไฟวิ่งบนราง TGV แต่ไม่ยอมทำความเร็วดังที่ TGV ทั่วไปวิ่ง
ผมหลับตลอดทางแต่ก็เป็นการหลับที่ไม่สบายตัวนัก รถไฟมาถึงเมืองที่ผมสังกัด ผมแบกข้าวของออกมาจากสถานี กดเงินสด เรียกแท็กซี่ตรงไปคฤหาสน์ของผม ด้วยเวลายามเย็นเช่นนั้น การจราจรในเมืองย่อมติดขัด เวลาที่ผมควรจะไปถึงบ้านจึงขยายออกไปอีก
ถึงบ้านเกือบ ๑๘.๐๐ น.
นับตั้งแต่ผมมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา ๒๒.๐๐ ของวันที่ ๑๓ ก.ย. ตามเวลาไทย จนมาถึงบ้านผมที่ Nantes เวลา ๑๘.๐๐ ชองวันที่ ๑๔ ก.ย. ตามเวลาฝรั่งเศส รวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาไปเกือบ ๒๕ ชั่วโมง
แล้วจะไม่ให้เรียกว่า “การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา” ได้อย่างไรครับ
เห็นบล็อกเกอร์หลายคนหยิบยืมชื่อคอลัมน์ของอาทิตย์ในผู้จัดการ ออนไลน์มาใช้กัน ผมก็ขอยืมเอามาใช้กะเค้ามั่ง
การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาของผม เกิดขึ้นระหว่าง กรุงเทพ-ปารีส-น็องต์
วันสุดท้ายในมหานครแห่งความสุข ผมยังคงตักตวงความสุขอย่างเต็มที่ ผมเร่งทำภารกิจสำคัญในชีวิต ทำให้ไปถึงสนามบินอย่างล่าช้าจนโดนบุพการีตำหนิเอา ในใจยังคิดว่าตกเครื่องบินก็ดี บุพการีของผมเป็นกังวลว่าจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักกระเป๋าที่ผมแบกไป ๔ ใบร่วม ๕๐ กิโล แต่โชคเข้าข้างผมมาก ผมเข้าไปเช็คอิน เอากระเป๋าสองใบที่ผมต้องการโหลดลงเครื่องไปชั่งน้ำหนัก เลขที่ออก ๓๕ กิโลกรัม เกินมาหลายกิโล แต่พนักงานหน้าหวาน ใจดีสมดังหน้าตา อนุญาตให้ผ่านไปอย่างไม่มีการท้วงติง
ด้วยความหน้าด้าน ผมเลยรบเร้ากับเธออีกว่า ขอเอาลงอีกใบได้มั้ยครับ เธอยิ้มหวานตอบกลับมาว่า “นี่ก็เกินมาเยอะแล้วนะคะ” ผมยิ้มเจื่อนๆเดินออกไป ผมคาดไม่ถึงว่าการเช็คอินกระเป๋าในครั้งนี้จะผ่านไปอย่างง่ายดาย รู้งี้เอาหนังสือหนาๆใส่ไปอีกสักเล่มสองเล่มก็ดี
บังเอิญที่ผมมีรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่เมืองเดียวกันเป็นสิงห์อมควันตัวยง ด้วยเหตุที่มะเร็งห่อมวนที่ฝรั่งเศสราคาแพงมากสนนราคาตกซองละ ๒๕๐ บาท ผมจึงสนับสนุนยัดเยียดความเป็นมะเร็งให้แก่รุ่นพี่คนนี้ด้วยการไปซื้อมะเร็งห่อมวนที่ดิวตี้ฟรี รวม ๒ ค็อต ราคา ๑ พันบาท เรียกได้ว่าเงินก้อนเดียวกันซื้อบุหรี่ที่ฝรั่งเศสได้แค่ซองเดียวแต่ซื้อที่เมืองไทยได้ตั้ง ๕-๖ ซอง
ผมนั่งอยู่กับพ่อ แม่ แม่บ้าน เกือบชั่วโมง จึงเดินเข้าสู่ภายในสนามบิน จัดการลบข้อมูลในมือถือที่ใช้ประจำตอนอยู่เมืองไทยแล้วส่งคืนให้ที่บ้านเอาไปใช้ต่อ สวมกอดทั้งสามคน มุ่งหน้าเดินทาง บรรยากาศนี้ผมค่อนข้างชินแล้ว เพราะผมกลับบ้านบ่อย นับรวมตอนนี้ก็ได้ ๔ ครั้ง
ก่อนจะเข้าไปตรวจกระเป๋าที่ผมจะเอาขึ้นเครื่องบิน ก็ต้องแวะไปเอาบุหรี่ที่จ่ายเงินไปแล้วเสียก่อน เวรกรรมครับ ซุ้มดิวตี้ฟรีมันอยู่เกท ๓๐ กว่าๆ แต่เครื่องบินที่จะขึ้นอยู่เกท ๑๒ เดินย้อนไปมาอ้วกเลย ซวยยิ่งกว่า ผมเข้าไปข้างในแล้วหารถเข็นไม่เจออีก ต้องแบกกระเป๋า ๒ ใบน้ำหนักรวม ๑๕ กิโลด้วยมือเปล่า
มาถึงที่สแกนกระเป๋า กะว่างานนี้ชิวๆ ไม่มีเรื่อง แต่ที่ไหนได้ กระเป๋าผมดันมีอาวุธซุกซ่อนอยู่ มันคือที่เปิดไวน์นั่นเอง ผมนึกย้อนไปได้ความว่า มันติดกระเป๋ามาตั้งแต่ไปรับน้องแล้วผมไม่ได้เอามันออก ก็ต้องเขวี้ยงทิ้งไป เสียดายอยู่ครับ เพราะราคาแพงได้ใจทีเดียว
เดินขึ้นเครื่องบิน ผมได้ที่นั่งจ๊าบมาก อยู่ด้านนอก ลุกเข้าออกสบาย แถมช่องวางสัมภาระบนหัวก็ยังว่างอีก นั่งพักเหนื่อยได้สักพัก ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเอง ...
วิงเวียนศีรษะพาลจะอาเจียน
แถมข้าศึกในท้องเริ่มรบกวนด้วยการเคาะประตูบ้านจะออกมาดูโลกภายนอก
เหงื่อตก หน้าซีด ทั้งๆที่ในเครื่องเย็นฉ่ำ
ท่านผู้อ่านเคยมั้ยครับ ที่ของเสียจากตัวท่านมันอยากจะออกทวารปากและทวารหนักพร้อมๆกัน
สงสัยต้องเป็นเพราะอาหารมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง และแอลกอออล์ที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงเมื่อกี๊แน่ๆ ร่างกายผมมันคงอยากร้องตะโกนออกมาดังๆว่า “กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย ฉ่ำเหล้าไปหมดแล้ว” จะลุกเข้าไปขับไล่ข้าศึกออกจากตัวก็ไม่ได้ เพราะเครื่องเริ่มเดินรอเหินขึ้นฟ้าแล้ว กติกาเค้าบังคับให้นั่งกับที่ห้ามลุกไปไหน หรือถ้าเกิดผมลุกไปนั่งปลดทุกข์เกิดเครื่องทะยานขึ้น ผมมิตกส้วมตายหรือ?
ทันใดนั้นก็มีเสียงราวมัจจุราชก็มิปานดังขึ้น
“ต้องขออภัยผู้โดยสารเป็นอย่างยิ่งที่เครื่องออกล่าช้ากว่ากำหนด เครื่องพร้อมออกแล้วแต่สภาพการจราจรในสนามบินติดขัด มีเครื่องขึ้น-ลงมาก เรากำลังรอสัญญาณจากหอบังคับการอยู่ ขออภัยความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้” เสียงกัปตันร้องประกาศให้ผู้โดยสารทราบ
ผมอยากบอกกัปตันว่าเปลี่ยนจากคำขออภัยเป็นคำอนุญาตให้ผมไปขี้จะได้หรือไม่ มาถึงขั้นนี้ผมเริ่มทนไม่ไหว แอบละเมิดกติกาการบินด้วยการปลดเข็มขัดที่นั่งและเข็มขัดกางเกงไปพร้อมๆกัน แล้วเอาผ้าห่มปิดไว้ กะให้ผ่อนคลายและไม่เสียเวลาตอนถอดกางเกงอีก
เครื่องทะยานขึ้น ทันทีที่มีสัญญาณให้ปลดเข็มขัดที่นั่งได้ ผมลุกไปห้องน้ำในบัดดล กรรมเวรของผมโดยแท้ มีชายแก่ฝรั่งเศส และไอ้หนูน้อยอีกคนอยู่หน้าผม ทั้งสองคนอาจมีชะตากรรมเดียวกับผมก็เป็นได้ ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่าสองหนุ่มต่างวัยจะเข้าห้องน้ำได้รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม แต่ในความเป็นจริงทั้งสองคนใช้เวลาโคตรนาน จนผมเริ่มหมดกำลังใจจะกลับไปนั่งที่เดิม ก็เวลาที่ข้าศึกมาเคาะประตู บางทีถ้านั่งอาจบรรเทาอาการไปได้บ้าง แต่พอยืนทีไรล่ะก็ได้เรื่อง ลมมันเย็นวูบวาบ ผมต้องอาศัยการขมิบทวารให้พอทุเลาไปพลางก่อน
“แกร๊ก” เสียงปลดกลอนดังขึ้น ผมถลาเข้าไปในห้องแคบๆนั้นทันที รีบขนาดไหนก็คิดดูละกันว่า ผมถอดกางเกงนั่งส้วมก่อนที่จะล็อคประตูเสร็จเสียอีก
....................................................................
....จากนี้งดบรรยายเพื่อป้องกันความอุจาด.....
....................................................................
หลังขับไล่อริราชศัตรูให้พ้นไปจากเขตขันธสีมาของผมแล้ว ก็มาถึงการสรรหาเครื่องดื่มเย็นๆมาดับร้อน ผมขอจิน-โทนิคจากแอร์หน้าจิ้มลิ้ม ต้องอย่างนี้สิครับ... ชีวิตถึงค่อยน่าอภิรมย์ขึ้นมาหน่อย แต่ในใจก็ยังกังวลว่า กูซัดแอลกอฮอล์เข้าไปอีกนี่จะมีข้าศึกตนไหนมาเพ่นพ่านในบ้านอีกเปล่าหว่า เลยยับยั้งชั่งใจด้วยการกระดกเพียงแก้วเดียว
ขอนอกเรื่องอธิบายสักเล็กน้อยถึงสูตรการซัดน้ำเมาบนเครื่องบินของผม
ก่อนที่อาหารมื้อแรกมาเสิร์ฟ เค้าจะมีบริการเครื่องดื่มให้เราจุดหัวเทียนก่อน ผมแนะนำว่าควรเลือกของเย็น จะทำให้ท่านรู้สึกสบายหลังจากเหนื่อยล้าเพราะแบกสัมภาระ บางท่านอาจกระดกเบียร์ แต่ผมดัดจริตเล็กน้อยด้วยการสั่งจิน-โทนิค เหตุผลง่ายๆคือ เบียร์หากินง่ายตามท้องถนนทั่วไป ปกติผมจะซัดไปสองแก้วพร้อมกับถั่วที่เค้าแจกให้คนละซอง
จากนั้นเค้าจะเริ่มเสิร์ฟอาหาร ส่วนใหญ่มีสองเมนูให้เลือก ก็เลือกไปตามใจปากตัวเองละกันครับ ส่วนเครื่องดื่ม เค้ามีไวน์แดง ไวน์ขาวมาให้เลือก ผมซัดไวน์แดงตลอด จำนวนแก้วไม่เคยนับ มากน้อยขึ้นกับว่าแอร์มาเพ่นพ่านแถวที่นั่งผมบ่อยมั้ย (ผมเคยนั่งแอร์ ฟร้านซ์ เค้าให้คนละขวดขนาด ๓๕ มิลลิลิตรไปเลย ซึ่งถูกจริตคนเยี่ยงผมมาก จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณแอร์บ่อยๆ)
ปิดท้ายก็มีกาแฟ ชา มาให้เลือก ผมติดกาแฟมาก จะนอนก็ต้องกิน ก็ซัดอีกหนึ่งหน่วย คนอื่นอาจจะเตรียมขยับหาที่นอนกัน แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกหน่อย พร้อมกับละเลียดคอนหยักอีก ๒ แก้ว เป็นอันเสร็จพิธี
พูดถึงการละเลียดคอนหยัก การเดินทางครั้งนี้มีสิ่งดีๆเกิดกับชีวิตของผมหนึ่งเรื่อง
ผม – โทษนะครับ... ผมรบกวนขอคอนหยักสักแก้วได้มั้ยครับ
คุณแอร์ – เอ่อ... อายุเกิน ๑๘ หรือยังคะ
ผม – (พยักหน้า) เอ่อ... ผมจะเข้า ๒๖ แล้วครับ
คุณแอร์ – อ๋อ พอดีเห็นหน้าเด็กน่ะค่ะ
ผม – (แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ)
ตัดกลับมาถึงสนามบินชาร์ลส์ เดอโกลล์ สืบเนื่องมาจากว่าเครื่องออกจากดอนเมืองล่าช้ากว่ากำหนดการ กว่าจะมาถึงสนามบินที่ฝรั่งเศสก็ปาไป ๗ โมงเช้า ไหนผมจะต้องรอตรวจพาสปอร์ตอีก พูดแล้วก็อยากจะด่าคนที่ถือพาสปอร์ตยุโรปยิ่งนัก เค้ามีช่องตรวจพาสปอร์ตที่สงวนไว้เฉพาะคนในอียู เจ้าหน้าที่ก็ตะโกนเรียก แต่ไม่มีใครไปเลย มายัดอยู่ที่ช่องเดียวกันอยู่ได้
ผมจำได้แม่นยำว่ารถไฟจากสนามบินเข้าเมือง Nantes ออกเวลา ๘.๓๐ น. ทว่าหลังจากตรวจพาสปอร์ตและลากกระเป๋าจากเทอร์มินัล ๑ มาถึงสถานีรถไฟก็ปาเข้าไป ๘.๑๐ น.เข้าไปแล้ว ไหนจะเข้าคิวรอซื้อตั๋วอีก ผมแลเห็นคนต่อแถวยาวมากที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว จึงตัดสินใจใช้วิธีลัดด้วยการซื้อทางเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ แถวยาวพอใช้ได้แต่คะเนแล้วผมน่าจะซื้อทันรถไฟออกพอดี
ผ่านไป ๑๐ นาที เหลืออีกสองคนก็จะถึงตาผมแล้ว เดี๋ยวก็จะได้นอนยาวๆบนรถไฟสักที
ทว่า การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา... ถึงคิวผมซื้อตั๋ว เครื่องจำหน่ายดันเกิดป่วยกระทันหัน ขึ้นตัวอักษร « Hors service » แปลว่า “งดให้บริการ”
“ปุตแต็ง เดอ แมร์ด” “บอร์ดาล” ผมผรุสวาทตามสำนวนเจ้าถิ่น
ชายชราที่ต่อหลังผมหันมามองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ผมบอกชายชราคนนั้นว่า ถ้าไอ้คนที่อยู่หน้าพวกเราคนหนึ่งไม่อนุญาตให้สตรีคนหนึ่งแซงคิวล่ะก็ ผมต้องเป็นคนสุดท้ายที่ได้ซื้อตั๋วแน่นอน ตำแหน่งที่ผมยืนตอนนี้ก็จะกลายเป็นลุง และลุงก็จะเป็นคนผรุสวาทออกมา ถึงที่สุดทั้งผมและลุงก็ซวยด้วยกันอยู่ดี เราสองคนหัวเราะปนขมขื่นให้กับการเดินทางที่ไม่ธรรมดาในครั้งนี้
ผมพาสัมภาระร่วม ๕๐ กิโลไปซื้อตั๋วที่เครื่องใหม่ แถวยาวอีกเช่นเคย แต่ครานี้ผมใจเย็นขึ้น อย่างไรเสียรถไฟรอบแรกก็ออกไปแล้ว เมื่อถึงคิวผม ผมก็พบว่าการเดินทางครั้งนี้มันไม่ธรรมดาอีกเช่นเคย
รถไฟที่ผมจะนั่งจากสนามบินกลับบ้านผมในรอบต่อไปจะออกเวลา ๑๓.๓๐ น. เท่ากับว่าผมต้องนั่งรอที่สนามบินเกือบ ๕ ชั่วโมง นั่งรถไฟอีกเกือบ ๔ ชั่วโมง รวมแล้วอีก ๙ ชั่วโมงกว่าผมจะถึงรัง ผมลองหาวิธีแก้ด้วยการหาตั๋วไปลงเมืองใกล้ๆ บ้านผม ปรากฏว่าต้องรอนานพอๆกันอยู่ดี
มีอีกวิธีหนึ่ง ผมต้องออกจากสนามบินเข้าไปสถานี Montparnasse ในตัวเมืองปารีส สถานีนี้มีรถไฟไปบ้านผมทุกชั่วโมง แถมยังเป็น TGV วิ่งเร็วจี๋ ๒ ชั่วโมงถึง แต่มานั่งคำนวณแล้ว กว่าผมจะแบกสัมภาระครึ่งร้อยกิโลเพื่อเข้าไปสถานี ก็คงจะชักดิ้นตายก่อนจะถึงเป็นแน่ (ต้องนั่งรถบัสเปลี่ยนเทอร์มินัล แล้วเปลี่ยนรถบัสอีกคันเพื่อไปสถานี Montparnasse ไม่ก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินเข้าไปซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ายามเช้าของปารีสนั้นคนแน่นเป็นปลากระป๋อง)
ในที่สุด ผมก็ปลงตก รอก็รอ ทำไมหนอชีวิตของผมถึงมีแต่การรอคอย
หิวมาก ท้องบอกผมด้วยเสียงอันดัง ผมเลยเดินเข้าไปหาของกิน ต้องเรียนให้ทราบด้วยว่า การเดินไปไหนมาไหนตลอดเวลาที่อยู่สนามบินและสถานีรถไฟ ผมไม่ได้เดินตัวเปล่า แต่ต้องลากเอาสัมภาระ ๕๐ กิโลไปด้วย ผมซื้อสิ่งที่ผมไม่อยากเรียกว่า “อาหาร” ยัดเข้าท้องให้พออิ่ม ลองคิดดู ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ผมยังได้กินอาหารดีๆ เหล้าดีๆ บรรยากาศดีๆ อยู่เลย เผลอแป๊บเดียวกลายเป็นนักพเนจรกินขนมปังผ่ากลางใส่ไส้กรอกนิด ผักหน่อย
จัดการเรื่องปากท้องเสร็จ ก็หามุมสงบๆนั่งพัก ผมพบว่าผมไม่อาจนอนบนเก้าอี้ในสถานีได้สะดวกนัก ว่าแล้วเลยจัดแจงหามุมหนึ่ง เอากระเป๋ากองไว้ ๒ ใบ เอนตัวลงนอนกับพื้นโดยมีกระเป๋าหนุนหัว ปลายเท้าก็ต้องพาดบนกระเป๋าอีก ๒ ใบที่เหลือเพื่อจะได้รู้สึกตัวหากมีใครมาแอบขโมยกระเป๋าผมไป
ถ้ามิตรรักบล็อกเกอร์ยังไม่เห็นภาพ ขอให้นึกถึงคนที่นอนระเกะระกะตามสถานีหัวลำโพงหรือหมอชิต นั่นแหละ สภาพของผม
แน่ละ สภาพเช่นนี้คงนอนไม่ได้นาน ความไม่สบายในการนอนปลุกให้ผมตื่นหลังจากเอนหลังไปได้เกือบชั่วโมง เหลืออีกเกือบ ๔ ชั่วโมง ผมงัดหนังสือมานั่งอ่าน แม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวยแต่ผมก็อ่าน “พรมแดนทดลอง” ของคุณมุกหอม วงศ์เทศจบไปได้
ด้วยความกรุณาของคุณ Carré de mim ทำให้ผมมีบัตรโทรศัพท์ใช้โทรกลับไทย ผมโทรกลับไปหาคนที่ผมอยากคุยด้วยที่เมืองไทย แต่ใครเล่าจะคุยกับผมได้นาน ในเมื่อเวลาที่มหานครแห่งความสุขขณะนั้นเป็นเวลาทำงาน
เปลี่ยนอิริยาบถด้วยการเดินไปหาซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน ชักคอแห้ง เลยไปหาซื้อน้ำกิน พลันสายตาไปสะดุดเข้ากับกระป๋องเบียร์ยี่ห้อ ๑๖๖๔ นี่เป็นสิ่งแรกที่ผมค้นพบว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสระหว่างผมกลับบ้านไปเกือบ ๓ เดือน กระป๋องเบียร์ ๑๖๖๔ เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ จากเดิมพื้นสีขาว ตอนนี้พื้นเป็นสีฟ้าและรูปทรงสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ในฐานะผู้บริโภคที่ดี ผมต้องพิสูจน์ว่าเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วยังคงรสชาติเดิมหรือไม่ ผมเลยจัดการเอา ๑๖๖๔ โฉมใหม่มาทดลอง
ปรากฏว่า เหมือนเดิมทุกประการ
ผมเป็นคนรอบคอบพอดู... เพื่อความแน่ใจ เผื่อลิ้นผมยังปรับรสไม่ทัน ว่าแล้วเลยเอาอีกสักกระป่องมาทดสอบ
ปรากฏว่า เหมือนเดิมทุกประการ
เป็นกรรมเวรของนักดื่ม ดื่มเข้าไปก็ต้องเอาออก ห้องน้ำอยู่ชั้นบน ผมก็ต้องแบกข้าวของขึ้นไปปลดปล่อยที่ชั้นบนอีก แต่ก็นับว่าเป็นการฆ่าเวลาได้ดีทีเดียว
ในที่สุดการรอคอยที่สถานีก็สิ้นสุดลง รถไฟใกล้ออกแล้ว ที่ชานชาลาจะมีบอร์ดแสดงส่วนประกอบของรถไฟว่าตู้ไหนอยู่ตรงส่วนใดและต้องไปยืนรอที่จุดใดจึงใกล้ตู้นั้นที่สุด ผมเป็นนักเดินทางผู้ชำนาญจึงปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วน ไปยืนรอ ณ จุดที่ตู้รถไฟที่นั่งผมต้องมาจอดตรงเบื้องหน้าผมพอดี
ความซวยในการเดินทางของผมไม่หมดเสียที ไอ้บอร์ดแสดงส่วนประกอบของรถไฟว่าตู้ไหนอยู่ตรงส่วนใดนั้นดันแสดงผิด กลับหัวหลับหาง หัวขบวนเป็นท้ายขบวน ท้ายขบวนเป็นหัวขบวน ตู้ที่ผมขึ้นนั้นบอร์ดบอกว่าอยู่ท้ายๆเอาเข้าจริงก็กลายเป็นอยู่ส่วนหัว ผมต้องลากกระเป๋าตาเหลือกกลับไปที่ตู้ผม ผู้โดยสารทุกคนวิ่งสวนทางกันอุตลุดเพื่อไปยังตู้ของตน อลหม่านดีแท้
สถานีรถไฟนี้เป็นสถานีประจำสนามบิน เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารที่ขึ้นรถไฟ ณ สถานีนี้ต้องมีสัมภาระมาก สงครามการแย่งชิงพื้นที่เก็บสัมภาระบนรถไฟจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความเห็นใจผู้สูงอายุ ผมยอมสละพื้นที่ที่ผมพึงมีพึงได้ให้ไป ผมต้องแบกสัมภาระเลาะไปตามทางเดินบนรถไฟซึ่งแคบขนาดที่ตัวผมยืนก็เต็มแล้ว (ไหนจะมีคนสวนทางมาอีก) เพื่อเอาไปเก็บไว้ในตู้ถัดไปจากตู้ที่นั่งผม
กว่าจะลงตัว ได้หย่อนก้นลงที่นั่งประจำ เล่นเอาลิ้นห้อย
รถไฟที่ผมนั่งระบุว่าเป็น TGV ต่ผมพบว่ามันเป็น TGV ที่ช้าที่สุดในโลก สาเหตุจาก ๑. พี่แกเล่นจอดหลายสถานี ๒. รถไฟวิ่งบนราง TGV แต่ไม่ยอมทำความเร็วดังที่ TGV ทั่วไปวิ่ง
ผมหลับตลอดทางแต่ก็เป็นการหลับที่ไม่สบายตัวนัก รถไฟมาถึงเมืองที่ผมสังกัด ผมแบกข้าวของออกมาจากสถานี กดเงินสด เรียกแท็กซี่ตรงไปคฤหาสน์ของผม ด้วยเวลายามเย็นเช่นนั้น การจราจรในเมืองย่อมติดขัด เวลาที่ผมควรจะไปถึงบ้านจึงขยายออกไปอีก
ถึงบ้านเกือบ ๑๘.๐๐ น.
นับตั้งแต่ผมมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา ๒๒.๐๐ ของวันที่ ๑๓ ก.ย. ตามเวลาไทย จนมาถึงบ้านผมที่ Nantes เวลา ๑๘.๐๐ ชองวันที่ ๑๔ ก.ย. ตามเวลาฝรั่งเศส รวมเบ็ดเสร็จใช้เวลาไปเกือบ ๒๕ ชั่วโมง
แล้วจะไม่ให้เรียกว่า “การเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา” ได้อย่างไรครับ
4 ความคิดเห็น:
ยินดีด้วยที่กลับถึงรังวิชาการของมึงโดยสวัสดิภาพ แม้จะไม่ธรรมดาขนาดไหนก็เหอะ
ช่วงนี้มีข่าวเครื่องบินงอแงอยู่เรื่อย นี่ก็น่าจะถือว่าโชคดีของมึงแล้ว ที่การเดินทางอันไม่ธรรมดาของมึงไม่ได้อยู่บนเครื่องแอร์บัด เจ๊ดบลูอะไรนั่น
อ่านเรื่องของมึงแล้วได้แต่ ปลอบมึงว่า
....
สมน้ำหน้าว่ะ ไอ้หอก
^___^
ถ้าเป็นเค้านะ
จะโทรเรียกratioscripta มาช่วย
^@^
เขียนได้มันส์มากขอชม
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก