มนต์รักบล็อกเกอร์
เห็นชื่อหัวข้อบล็อกประจำวันนี้แล้วอย่าได้ตกอกตกใจไปว่าผมพบรักกับสาวหน้ามนคนไหนจากบล็อกหรือเปล่า
อยากครับ ... อยากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นบ้าง แต่คงได้แค่ฝันไปก่อน
เรื่องของเรื่อง ผมจะว่าถึงมนต์เสน่ห์ของบล็อกที่ทำให้ผมลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ขึ้นยิ่งกว่าไวน์ Cote du Rhône Village พอดีเห็นคุณปิ่น พี่บุญชิต เขียนถึงเรื่องบล็อกเกอร์กันไปแล้ว ผมเลยว่าจะเอามั่ง
ทุกวันนี้ผมติดบล็อกเกอร์ยิ่งเสียกว่าสะเดาติดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ไอ้แผนให้ไว้ดูต่างหน้าเสียอีก
ผมไม่รู้จักนวัตกรรมชิ้นนี้มาก่อน จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว ผมตามอ่านกระทู้ต่างๆในพันทิป พบว่ามีการให้บริการเสริมตัวใหม่ คือ เจ้าบล็อกนี่แหละ ผมลองกดๆเข้าไปดูตามบล็อกของคนอื่น มีทั้งที่น่าสนใจคอยติดตามทุกวันว่าเจ้าของมาอัพเดทหรือยัง และก็มีทั้งที่ผมเอียนเหลือทนแต่เจ้าของบล็อกก็ขยันโปรโมทเหลือเกิน (อันนี้ว่าตามรสนิยมผมล้วนๆนะ)
ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันจะมีไอ้บล็อกนี้ขึ้นมาทำไม่ทราบ มันก็ไม่ต่างอะไรกับไดอารี่ออนไลน์นี่หว่า แล้วใครจะกล้าเขียนทุกสิ่งทุกอย่างลงในไดอารี่ตัวเองจนหมดเล่า มันก็ต้องมีการเม้มเรื่องมิดีมิร้ายไว้บ้าง กลายเป็นว่าบล็อกมันก็เป็นของเล่นชิ้นใหม่ต่อจากไดอารี่ออนไลน์ที่ไว้ให้เจ้าของมาบ่นๆๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง... รุ่นน้องผมที่เมืองไทยได้ส่งลิงค์อันหนึ่งมาให้ผมผ่านทางเอ็มเอสเอ็น เป็นเว็บไซต์รวบรวมบทความทางเศรษฐศาสตร์และสาขาอื่นๆไว้ เรียงเป็นหมวดหมู่ตามชื่อคนเขียน
ผมเลื่อนเจ้าหนู (เม้าส์นะ ไม่ใช่ไอ้นั่น) ลงมาเรื่อยๆ จนไปพบลิงค์รวบรวมเว็บไซต์ของอาจารย์ มีอยู่ไม่กี่คนเองครับ (มิน่าคุณปริเยศถึงตำหนิเรื่องนี้) ไม่รู้บุญทำกรรมแต่งกันแต่ชาติปางไหนหรือเป็นเพราะสายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาให้ผมได้มาเจอกับเค้า ผมกดไปที่ชื่อ “ปกป้อง จันวิทย์” เป็นคนแรก
ผมเคยได้ยินชื่อนี้ในบรรณพิภพมาแล้ว ทั้งจากงานของเขาเอง และจากงานของอาจารย์วรากรณ์ที่เอ่ยถึงศิษย์รักคนนี้อยู่บ่อยครั้ง มิพักต้องกล่าวถึงเสียงแว่วๆลอยมาตามลมถึงกิตติศัพท์ของเขาที่ผมได้ฟังมาเมื่อครั้งผมยังอยู่เมืองไทย
แต่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักประวัติของเขาแบบละเอียดจากเว็บไซต์ของเจ้าตัว
อึ้งครับ คนอะไรเก่งชิบหาย แล้วไม่ใช่เก่งแบบใส่แว่นหนา นั่งหน้าห้อง ปกป้องเล็คเชอร์ โอเว่อร์กับข้อสอบด้วย (อันนี้ผมจินตนาการเอานะ)
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ใส่เว็บไซต์นี้เข้าเป็น My favorites และคอยติดตามอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งผมพบความเปลี่ยนแปลงบนหน้าโฮมเพจของเขา มีลิงค์แปลกๆอันนึงเขียนว่า Pin Poramet’s blog
ลองจิ้มเข้าไปดู พาลนึกในใจว่า ฮู อิส ฮี ปิ่น ปรเมศวร์?
ตอนแรกคิดว่าสงสัยต้องเป็นประเภทไดอารี่ชวนฝัน พร่ำพรรณนาถึงความรัก หรือมีบทกลอนอันรัญจวนใจมาให้ผมอ่านเลี่ยนๆขณะดื่มไวน์เป็นแน่
เอาเข้าจริงมันตรงกันข้ามเลยครับ พี่แกเล่นของหนัก ๔๕ ดีกรีทุกวัน
อ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปทุกวัน อย่านะครับอย่า อย่านึกว่าใช้นามว่าปิ่น ปรเมศวร์แล้วจะปกปิดรูปโฉมโนมพรรณตัวเองได้ ผมจำลีล่าสะบัดปากกาของเขาที่ยังคมคงเส้นคงวาเหมือนเคย
ตั้งแต่นั้นผมก็มี Pin Poramet’s blog เข้ามาเป็นสมาชิกรายใหม่ของ My favorites ในคอมพิวเตอร์ผม
เวรกรรมของคนชอบอ่านอย่างที่คุณปิ่นแกว่าไว้จริงๆครับ อ่านไปมากๆก็คันมืออยากเขียน
ก่อนหน้านั้นผมเคยเกิดอาการคันมือดังว่ามาแล้ว เลยไปเปิดบล็อกไว้กับเว็บของผู้จัดการ ยังไม่รู้จะเขียนอะไรก็ลองเอางานเก่าๆลงไปก่อน ปรากฏว่าท่านผู้อ่านท้วงติงมาว่า ยาวเหลือเกิน อ่านไม่รู้เรื่อง
ผมเป็นนักวิชาการที่ไม่ใช่อยู่บนหอคอยงาช้างนะครับคุณปริเยศ ผมไม่ได้ชี้นิ้วกลับไปด่าท่านผู้อ่านของผมนะว่าคุณนั่นแหละที่ไม่ฉลาด อ่านไม่รู้เรื่อง แต่ผมเอากลับมานอนก่ายหน้าผากคิดอยู่หลายวันว่า เราสื่อสารกับเค้าไม่รู้เรื่องเปล่าวะ เราเขียนหนังสือตาม “แบบแผน” ของวิชาการเกินไปมั้ย
เกิดอาการรันทดใจ จึงทิ้งบล็อกนั้นให้ร้างเป็นเสาหินโทลล์เวย์ย่านชานเมืองมหานครของประเทศไหแลนด์ไป
ผมไปเปิดบล็อกเจ้าเดียวกับที่คุณปิ่นเปิดเพราะเห็นว่าเล่นง่ายดี เปิดทิ้งไว้เป็นเดือนๆแต่ไม่มีตัวอักษรจากปลายมือผมเข้าไปเพ่นพ่านสักที
ไม่กล้าครับ...
ผมเลยไปชวนสหายทางวิชาการของผมให้มาร่วมเปิดบล็อกเป็นเพื่อนกันหน่อย ช่วงนั้นผมกะมันชอบเข้าไปวิ่งเล่นในเว็บบอร์ดของคณะผมที่เด็กนักศึกษาเค้าทำกัน เราก็เล่นแต่ของหนัก ๔๕ ดีกรี บางทีเพื่อนผมอาจผสมโซดามั่ง โค้กมั่ง แต่ผมนี่ออนเดอะร็อคตลอด จนผมกังวลว่าเด็กๆมันจะด่าเรากันเปล่าว่าเรามาผิดเวทีรึเปล่าวะ เพราะเรื่องที่เราเล่นไปแต่ละครั้งมันกลายเป็นประทัดด้านตลอด เงียบ เงียบ และเงียบ
ผมเลยบอกมันว่าเราน่าจะเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วนะบ้านเก่าดินแดนที่เราเกิดมา แล้วมาสร้างรังน้อยแต่พอตัวอย่างบล็อกเล็กๆดีมั้ย มันลังเลใจอยู่หลายเพลา จนผมเห็นว่าจะสายเกินการณ์ไป ผมจึงตัดหน้าลงมือเขียนตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว แต่ก็ยังชักชวนมันตลอดจนในที่สุดมันก็เบิกฤกษ์จนได้ในวันแรงงาน
กะเขียนเอาขำๆ และคิดในใจว่าจะไปได้กี่น้ำเชียว เดี๋ยวคงปล่อยร้างอีกแน่ เพราะนิสัยอันไร้วินัยของผม (สังเกตจากบล็อกวันแรงงานที่ผมบ่นว่าห้องผมรกมาก) แต่ทำไปทำมา ๗ วันรวดไปแล้วและกำลังจะขยับเป็น ๘ ในไม่ช้า
จริงอย่างที่พี่บุญชิตว่าไว้ในเว็บของพี่ว่า ผมมีเวลามากขึ้น เลยหันมาสนใจกับงานนี้ แหมพี่ แรกๆก็กะว่าจะเอาเป็นงานอดิเรก ไปๆมาๆ มันจะกลายเป็นงานประจำไปแล้ว ผมลุ้นนะว่าถ้าพี่บุญชิตเสร็จภารกิจแบบผมแล้วจะมาป่วนวงการบล็อกด้วยความหฤหรรษ์กัน
บล็อกไม่ได้เป็นแหล่งสำเร็จความใคร่ทางวิชาการของผม (หรือยูโทเปียของคุณปริเยศ ๕๕๕) เท่านั้น แต่มันยังเป็นเครือข่ายราวกับใยแมงมุม ผมได้รู้จัก –แม้จะแค่ผ่านทางตัวอักษร – เพื่อนใหม่ทางวิชาการผ่านทางบล็อกจำนวนมาก ได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆที่หลุดไปจากกฎหมายที่ผมคุ้นเคย ได้มีแรงกระตุ้นในการเก็บไปคิดว่าต่อไปงาน คณะ วิชา มหาวิทยาลัย ประเทศ หรือกระทั่งโลก ควรจะไปในทิศทางใด ได้เห็นนิมิตหมายที่ดีว่าการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ หรือให้แรงกว่านั้น การโต้เถียงกันทางวิชาการ โดยไม่เก็บไปจดจำเป็นความแค้นส่วนตัวนั้น ยังมีทางเป็นไปได้อยู่
…...
ท่านผู้อ่านที่รัก...
ลองชำเลืองไปด้านขวามือของท่านผู้อ่านสิครับ นั่นเป็นรายชื่อลิงค์ของประชาคมบล็อกเกอร์เล็กๆของผม ยามใดที่ท่านผ่านทางเข้ามาเชยชมบล็อกของผม ท่านไล่ลงไปอ่านในส่วนคอมเม้นท์แล้วเสร็จ ขอท่านจงเคลื่อนเจ้าหนูของท่านไปทางขวาแล้วค่อยๆบรรจงจิ้มไปทีละอันๆ แล้วท่านจะรู้ว่าเจ้าหนูของท่านได้พาท่านไปยังดินแดนสุขาวดีเสียแล้ว (นี่ผมบรรยายลงหนังสือเฮียกังฟูรึเปล่าฟะ)
ถ้าอยากรู้หรือสนใจประเด็นทางกฎหมาย ลองคลิกไปที่บล็อกของ ratio scripta หมอนี่เป็นสหายทางวิชาการของผมเอง หลายเรื่องเราเห็นตรงกัน หลายเรื่องก็เห็นต่างซึ่งผมกับมันต่างรู้กันดีว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แต่ขี้เกียจเอามาเถียงกันครับ ผมไม่อยากชนะมันได้บ่อยๆ ล่าสุดวันนี้มันเขียนเรื่องสิทธิสตรีลามไปถึงเรื่องการทำแท้งเสรี มีหลายประเด็นที่มันพาดพิงถึงผมและผมไม่เห็นด้วยหลายจุด ลองเข้าไปยลกันดู ผมว่าจะขอเวลาคิดให้มันตกผลึกเสียหน่อยแล้วจะเขียนโต้กับมันเหมือนที่คุณปิ่นกับคุณปริเยศวิวาทะกันสม่ำเสมอ ผมไม่ใช่อาฮุยทีจะชักดาบออกมาไล่ฟันง่ายๆนะครับ ยังไงก็ต้องขอคิดดีๆก่อน เพราะถ้าการ์ดตกมันจะต่อยผมคว่ำเอาได้ง่ายๆ
คงจะเหมือนผมกินไวน์แล้วไม่ได้อมๆบ้วนๆก่อนกลืน ถ้าผมไม่เอ่ยถึงบล็อกของคุณปิ่น ปรเมศวร์ กล่าวซ้ำอีกครั้งว่าบล็อกของแกเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบล็อกบ้าง และหากเพื่อนๆ น้องๆผม จะเขียนบล็อกแล้วมาขอบอกขอบใจผมนี่ ผมก็ขอผ่านต่อไปให้คุณปิ่นอีกที ส่วนเรื่องโฆษณาสรรพคุณ เห็นทีผมคงไม่ต้องบรรยายมากกระมัง จะกลายเป็นเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเปล่าๆ เอาเป็นว่าใครอยากเห็นงานที่อ่านสนุก ลุกนั่งสบาย มีทุกเรื่อง ตั้งแต่ระดับเหล้าเหมาไถ ๕๐ ดีกรี ไปถึงไวน์โรเซ่แช่เย็นๆรสนุ่มๆ ก็เชิญแวะเข้าไปชมกันได้
อีกคนหนึ่ง คุณปริเยศครับ เจ้าของแนวคิดยูโทเปียมีอยู่จริงที่กรุงเทพฯ ผมอ่านลีลาแกแล้วพาลนึกไปถึงอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเวลาแกออกมาวิจารณ์ความคิดของนักวิชาการระดับกูรูทั้งหลาย สังคมไทยขาดแคลนคนแบบคุณปริเยศ โดยเฉพาะวงวิชาการไทยที่เรามี “ขนบ” ที่ว่าไม่กล้าวิจารณ์กันเอง วิจารณ์ไปกลายจะเหม็นขี้หน้าไปเปล่าๆ มีคุณปริเยศภาคไม่ไว้หน้าใครคอยช่วยตรวจสอบอย่างแข็งขันแบบนี้ก็เหมือนการเมืองไทยมีคุณชูวิทย์แหละครับ (ฮา)
หากไม่กล่าวถึงอาจารย์ Corgiman ก็เหมือนจอห์น โตแช็คขาดเควิน คีแกนไป อาจารย์เขียนบล็อกได้เยาวเรศรุ่นเจริญศรีมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่ดราก้อนบอล หงส์แดง ยันพอล ครุ้กแมนโน่นแหละครับ แล้วเขียนแบบเห็นได้ว่ามีความเจนจัดในเรื่องนั้นจริงๆ สหายทางวิชาการของผมบอกว่า แกเขียนเรื่องฟุตบอลไม่ใช่บรรยายเกมธรรมดาแต่เป็นวรรณกรรม ผมนั่งดูฟุตบอลเกมเดียวกันกับแก ทำไมเขียนออกมาไม่ได้อย่างนี้บ้างหว่า
ขาดไปเสียไม่ได้ คุณ players หรือพี่บุญชิตของผม แม้ห่างหายจากวงการผู้จัดกวนไปหลายเดือน แต่สำบัดสำนวนของพี่บุญชิตยังคงเส้นคงวาเหมือนเดิม ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมอ่านงานของพี่บุญชิตแล้วจะไม่อมยิ้มที่มุมปาก หนักๆเข้าก็ฮามันลั่นห้องไปเลย ลองเข้าไปอ่านดูครับ นอกจากจะเล่าเรื่องที่แกไปเจอมาแต่ละวันแล้ว ยังมีหน้าเรียนภาษาฝรั่งเศสที่แกเอาเล็คเชอร์ที่เรียนมาลง ผมถือว่าที่แกบอกว่าแกเป็นเพียง Leech และ Peer เห็นจะเป็นความเท็จ เพราะอันที่จริง (สำนวนที่แกบอกว่าใช้บ่อย) แกเป็นทั้ง Leech Peer และ Seed ยังไงผมและอีกหลายๆคนก็รอการกลับมาของคอลัมน์ตีความตุลากวนโดยบุญชิต ฟักมี อิน ฝรั่งเศสอยู่นะครับ
นอกจากนี้ยังมีบล็อกเพื่อนบ้านผมอีกหลายบล็อกที่ผมลิงค์ไว้ให้ลองเข้าไปทัศนากัน แล้วท่านผู้อ่านจะรู้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าบล็อกที่ผมเอ่ยถึงมาข้างต้นเลย
......
รุ่นน้องผมคนหนึ่งกล่าวกับผมไว้ว่า เธอคิดว่าการที่ผมจะลดบทบาทการโพสในเว็บบอร์ดกฎหมายที่นักศึกษาทำแล้วหันมาสร้างบล็อกของตนเองนั้นไม่น่าจะเหมาะเท่าไรนัก เพราะมันแคบเกินไป แต่ละวันคนเข้าแค่ไม่กี่คน แล้วจะมีคนที่สนใจอ่านกันหรือ สู้เอาเวลาไปสร้างเว็บแล้วมีกระดานสนทนาให้คนแลกเปลี่ยนกันดีกว่า อย่างน้อยก็มีนักศึกษาในคณะเข้ามาเยี่ยมชม
ผมคิดในใจว่าผมเห็นต่างกับเธอ และผมก็พยายามพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า บล็อกมันมีคุณค่าได้ในตัวของมันเอง และเราสามารถสร้างเครือข่ายออกไปในวงกว้างได้ ที่สำคัญเครื่อข่ายนี้เป็นคนที่สนใจในเรื่องคล้ายๆกัน สนทนาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมีอรรถรส
จนถึงวันนี้ วันที่ผมตกหลุมรักบล็อกเข้าอย่างจัง ผมตอบเธอได้เต็มปากว่า ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะที่ผมพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าสมมติฐานที่เธอคิดไว้นั้นไม่จริง ผมได้เข้าไปอยู่ในประชาคมวิชาการเล็กๆ ที่มองแล้ว ยังไงมันก็น่าจะมีทิศทางที่ดีต่อไปได้ เรียกได้ว่าไม่น่าจะม้วนเสื่อกลับบ้านก่อนเวลาอันควรแล้วกัน
ที่น่าแปลกใจ ประชาคมเล็กๆอันนี้ ก่อร่างสร้างตัวโดยใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้นครับ
อยากครับ ... อยากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นบ้าง แต่คงได้แค่ฝันไปก่อน
เรื่องของเรื่อง ผมจะว่าถึงมนต์เสน่ห์ของบล็อกที่ทำให้ผมลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ขึ้นยิ่งกว่าไวน์ Cote du Rhône Village พอดีเห็นคุณปิ่น พี่บุญชิต เขียนถึงเรื่องบล็อกเกอร์กันไปแล้ว ผมเลยว่าจะเอามั่ง
ทุกวันนี้ผมติดบล็อกเกอร์ยิ่งเสียกว่าสะเดาติดวิทยุทรานซิสเตอร์ที่ไอ้แผนให้ไว้ดูต่างหน้าเสียอีก
ผมไม่รู้จักนวัตกรรมชิ้นนี้มาก่อน จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว ผมตามอ่านกระทู้ต่างๆในพันทิป พบว่ามีการให้บริการเสริมตัวใหม่ คือ เจ้าบล็อกนี่แหละ ผมลองกดๆเข้าไปดูตามบล็อกของคนอื่น มีทั้งที่น่าสนใจคอยติดตามทุกวันว่าเจ้าของมาอัพเดทหรือยัง และก็มีทั้งที่ผมเอียนเหลือทนแต่เจ้าของบล็อกก็ขยันโปรโมทเหลือเกิน (อันนี้ว่าตามรสนิยมผมล้วนๆนะ)
ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันจะมีไอ้บล็อกนี้ขึ้นมาทำไม่ทราบ มันก็ไม่ต่างอะไรกับไดอารี่ออนไลน์นี่หว่า แล้วใครจะกล้าเขียนทุกสิ่งทุกอย่างลงในไดอารี่ตัวเองจนหมดเล่า มันก็ต้องมีการเม้มเรื่องมิดีมิร้ายไว้บ้าง กลายเป็นว่าบล็อกมันก็เป็นของเล่นชิ้นใหม่ต่อจากไดอารี่ออนไลน์ที่ไว้ให้เจ้าของมาบ่นๆๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง... รุ่นน้องผมที่เมืองไทยได้ส่งลิงค์อันหนึ่งมาให้ผมผ่านทางเอ็มเอสเอ็น เป็นเว็บไซต์รวบรวมบทความทางเศรษฐศาสตร์และสาขาอื่นๆไว้ เรียงเป็นหมวดหมู่ตามชื่อคนเขียน
ผมเลื่อนเจ้าหนู (เม้าส์นะ ไม่ใช่ไอ้นั่น) ลงมาเรื่อยๆ จนไปพบลิงค์รวบรวมเว็บไซต์ของอาจารย์ มีอยู่ไม่กี่คนเองครับ (มิน่าคุณปริเยศถึงตำหนิเรื่องนี้) ไม่รู้บุญทำกรรมแต่งกันแต่ชาติปางไหนหรือเป็นเพราะสายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาให้ผมได้มาเจอกับเค้า ผมกดไปที่ชื่อ “ปกป้อง จันวิทย์” เป็นคนแรก
ผมเคยได้ยินชื่อนี้ในบรรณพิภพมาแล้ว ทั้งจากงานของเขาเอง และจากงานของอาจารย์วรากรณ์ที่เอ่ยถึงศิษย์รักคนนี้อยู่บ่อยครั้ง มิพักต้องกล่าวถึงเสียงแว่วๆลอยมาตามลมถึงกิตติศัพท์ของเขาที่ผมได้ฟังมาเมื่อครั้งผมยังอยู่เมืองไทย
แต่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักประวัติของเขาแบบละเอียดจากเว็บไซต์ของเจ้าตัว
อึ้งครับ คนอะไรเก่งชิบหาย แล้วไม่ใช่เก่งแบบใส่แว่นหนา นั่งหน้าห้อง ปกป้องเล็คเชอร์ โอเว่อร์กับข้อสอบด้วย (อันนี้ผมจินตนาการเอานะ)
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ใส่เว็บไซต์นี้เข้าเป็น My favorites และคอยติดตามอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งผมพบความเปลี่ยนแปลงบนหน้าโฮมเพจของเขา มีลิงค์แปลกๆอันนึงเขียนว่า Pin Poramet’s blog
ลองจิ้มเข้าไปดู พาลนึกในใจว่า ฮู อิส ฮี ปิ่น ปรเมศวร์?
ตอนแรกคิดว่าสงสัยต้องเป็นประเภทไดอารี่ชวนฝัน พร่ำพรรณนาถึงความรัก หรือมีบทกลอนอันรัญจวนใจมาให้ผมอ่านเลี่ยนๆขณะดื่มไวน์เป็นแน่
เอาเข้าจริงมันตรงกันข้ามเลยครับ พี่แกเล่นของหนัก ๔๕ ดีกรีทุกวัน
อ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปทุกวัน อย่านะครับอย่า อย่านึกว่าใช้นามว่าปิ่น ปรเมศวร์แล้วจะปกปิดรูปโฉมโนมพรรณตัวเองได้ ผมจำลีล่าสะบัดปากกาของเขาที่ยังคมคงเส้นคงวาเหมือนเคย
ตั้งแต่นั้นผมก็มี Pin Poramet’s blog เข้ามาเป็นสมาชิกรายใหม่ของ My favorites ในคอมพิวเตอร์ผม
เวรกรรมของคนชอบอ่านอย่างที่คุณปิ่นแกว่าไว้จริงๆครับ อ่านไปมากๆก็คันมืออยากเขียน
ก่อนหน้านั้นผมเคยเกิดอาการคันมือดังว่ามาแล้ว เลยไปเปิดบล็อกไว้กับเว็บของผู้จัดการ ยังไม่รู้จะเขียนอะไรก็ลองเอางานเก่าๆลงไปก่อน ปรากฏว่าท่านผู้อ่านท้วงติงมาว่า ยาวเหลือเกิน อ่านไม่รู้เรื่อง
ผมเป็นนักวิชาการที่ไม่ใช่อยู่บนหอคอยงาช้างนะครับคุณปริเยศ ผมไม่ได้ชี้นิ้วกลับไปด่าท่านผู้อ่านของผมนะว่าคุณนั่นแหละที่ไม่ฉลาด อ่านไม่รู้เรื่อง แต่ผมเอากลับมานอนก่ายหน้าผากคิดอยู่หลายวันว่า เราสื่อสารกับเค้าไม่รู้เรื่องเปล่าวะ เราเขียนหนังสือตาม “แบบแผน” ของวิชาการเกินไปมั้ย
เกิดอาการรันทดใจ จึงทิ้งบล็อกนั้นให้ร้างเป็นเสาหินโทลล์เวย์ย่านชานเมืองมหานครของประเทศไหแลนด์ไป
ผมไปเปิดบล็อกเจ้าเดียวกับที่คุณปิ่นเปิดเพราะเห็นว่าเล่นง่ายดี เปิดทิ้งไว้เป็นเดือนๆแต่ไม่มีตัวอักษรจากปลายมือผมเข้าไปเพ่นพ่านสักที
ไม่กล้าครับ...
ผมเลยไปชวนสหายทางวิชาการของผมให้มาร่วมเปิดบล็อกเป็นเพื่อนกันหน่อย ช่วงนั้นผมกะมันชอบเข้าไปวิ่งเล่นในเว็บบอร์ดของคณะผมที่เด็กนักศึกษาเค้าทำกัน เราก็เล่นแต่ของหนัก ๔๕ ดีกรี บางทีเพื่อนผมอาจผสมโซดามั่ง โค้กมั่ง แต่ผมนี่ออนเดอะร็อคตลอด จนผมกังวลว่าเด็กๆมันจะด่าเรากันเปล่าว่าเรามาผิดเวทีรึเปล่าวะ เพราะเรื่องที่เราเล่นไปแต่ละครั้งมันกลายเป็นประทัดด้านตลอด เงียบ เงียบ และเงียบ
ผมเลยบอกมันว่าเราน่าจะเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วนะบ้านเก่าดินแดนที่เราเกิดมา แล้วมาสร้างรังน้อยแต่พอตัวอย่างบล็อกเล็กๆดีมั้ย มันลังเลใจอยู่หลายเพลา จนผมเห็นว่าจะสายเกินการณ์ไป ผมจึงตัดหน้าลงมือเขียนตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว แต่ก็ยังชักชวนมันตลอดจนในที่สุดมันก็เบิกฤกษ์จนได้ในวันแรงงาน
กะเขียนเอาขำๆ และคิดในใจว่าจะไปได้กี่น้ำเชียว เดี๋ยวคงปล่อยร้างอีกแน่ เพราะนิสัยอันไร้วินัยของผม (สังเกตจากบล็อกวันแรงงานที่ผมบ่นว่าห้องผมรกมาก) แต่ทำไปทำมา ๗ วันรวดไปแล้วและกำลังจะขยับเป็น ๘ ในไม่ช้า
จริงอย่างที่พี่บุญชิตว่าไว้ในเว็บของพี่ว่า ผมมีเวลามากขึ้น เลยหันมาสนใจกับงานนี้ แหมพี่ แรกๆก็กะว่าจะเอาเป็นงานอดิเรก ไปๆมาๆ มันจะกลายเป็นงานประจำไปแล้ว ผมลุ้นนะว่าถ้าพี่บุญชิตเสร็จภารกิจแบบผมแล้วจะมาป่วนวงการบล็อกด้วยความหฤหรรษ์กัน
บล็อกไม่ได้เป็นแหล่งสำเร็จความใคร่ทางวิชาการของผม (หรือยูโทเปียของคุณปริเยศ ๕๕๕) เท่านั้น แต่มันยังเป็นเครือข่ายราวกับใยแมงมุม ผมได้รู้จัก –แม้จะแค่ผ่านทางตัวอักษร – เพื่อนใหม่ทางวิชาการผ่านทางบล็อกจำนวนมาก ได้เพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆที่หลุดไปจากกฎหมายที่ผมคุ้นเคย ได้มีแรงกระตุ้นในการเก็บไปคิดว่าต่อไปงาน คณะ วิชา มหาวิทยาลัย ประเทศ หรือกระทั่งโลก ควรจะไปในทิศทางใด ได้เห็นนิมิตหมายที่ดีว่าการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ หรือให้แรงกว่านั้น การโต้เถียงกันทางวิชาการ โดยไม่เก็บไปจดจำเป็นความแค้นส่วนตัวนั้น ยังมีทางเป็นไปได้อยู่
…...
ท่านผู้อ่านที่รัก...
ลองชำเลืองไปด้านขวามือของท่านผู้อ่านสิครับ นั่นเป็นรายชื่อลิงค์ของประชาคมบล็อกเกอร์เล็กๆของผม ยามใดที่ท่านผ่านทางเข้ามาเชยชมบล็อกของผม ท่านไล่ลงไปอ่านในส่วนคอมเม้นท์แล้วเสร็จ ขอท่านจงเคลื่อนเจ้าหนูของท่านไปทางขวาแล้วค่อยๆบรรจงจิ้มไปทีละอันๆ แล้วท่านจะรู้ว่าเจ้าหนูของท่านได้พาท่านไปยังดินแดนสุขาวดีเสียแล้ว (นี่ผมบรรยายลงหนังสือเฮียกังฟูรึเปล่าฟะ)
ถ้าอยากรู้หรือสนใจประเด็นทางกฎหมาย ลองคลิกไปที่บล็อกของ ratio scripta หมอนี่เป็นสหายทางวิชาการของผมเอง หลายเรื่องเราเห็นตรงกัน หลายเรื่องก็เห็นต่างซึ่งผมกับมันต่างรู้กันดีว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แต่ขี้เกียจเอามาเถียงกันครับ ผมไม่อยากชนะมันได้บ่อยๆ ล่าสุดวันนี้มันเขียนเรื่องสิทธิสตรีลามไปถึงเรื่องการทำแท้งเสรี มีหลายประเด็นที่มันพาดพิงถึงผมและผมไม่เห็นด้วยหลายจุด ลองเข้าไปยลกันดู ผมว่าจะขอเวลาคิดให้มันตกผลึกเสียหน่อยแล้วจะเขียนโต้กับมันเหมือนที่คุณปิ่นกับคุณปริเยศวิวาทะกันสม่ำเสมอ ผมไม่ใช่อาฮุยทีจะชักดาบออกมาไล่ฟันง่ายๆนะครับ ยังไงก็ต้องขอคิดดีๆก่อน เพราะถ้าการ์ดตกมันจะต่อยผมคว่ำเอาได้ง่ายๆ
คงจะเหมือนผมกินไวน์แล้วไม่ได้อมๆบ้วนๆก่อนกลืน ถ้าผมไม่เอ่ยถึงบล็อกของคุณปิ่น ปรเมศวร์ กล่าวซ้ำอีกครั้งว่าบล็อกของแกเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบล็อกบ้าง และหากเพื่อนๆ น้องๆผม จะเขียนบล็อกแล้วมาขอบอกขอบใจผมนี่ ผมก็ขอผ่านต่อไปให้คุณปิ่นอีกที ส่วนเรื่องโฆษณาสรรพคุณ เห็นทีผมคงไม่ต้องบรรยายมากกระมัง จะกลายเป็นเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเปล่าๆ เอาเป็นว่าใครอยากเห็นงานที่อ่านสนุก ลุกนั่งสบาย มีทุกเรื่อง ตั้งแต่ระดับเหล้าเหมาไถ ๕๐ ดีกรี ไปถึงไวน์โรเซ่แช่เย็นๆรสนุ่มๆ ก็เชิญแวะเข้าไปชมกันได้
อีกคนหนึ่ง คุณปริเยศครับ เจ้าของแนวคิดยูโทเปียมีอยู่จริงที่กรุงเทพฯ ผมอ่านลีลาแกแล้วพาลนึกไปถึงอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเวลาแกออกมาวิจารณ์ความคิดของนักวิชาการระดับกูรูทั้งหลาย สังคมไทยขาดแคลนคนแบบคุณปริเยศ โดยเฉพาะวงวิชาการไทยที่เรามี “ขนบ” ที่ว่าไม่กล้าวิจารณ์กันเอง วิจารณ์ไปกลายจะเหม็นขี้หน้าไปเปล่าๆ มีคุณปริเยศภาคไม่ไว้หน้าใครคอยช่วยตรวจสอบอย่างแข็งขันแบบนี้ก็เหมือนการเมืองไทยมีคุณชูวิทย์แหละครับ (ฮา)
หากไม่กล่าวถึงอาจารย์ Corgiman ก็เหมือนจอห์น โตแช็คขาดเควิน คีแกนไป อาจารย์เขียนบล็อกได้เยาวเรศรุ่นเจริญศรีมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่ดราก้อนบอล หงส์แดง ยันพอล ครุ้กแมนโน่นแหละครับ แล้วเขียนแบบเห็นได้ว่ามีความเจนจัดในเรื่องนั้นจริงๆ สหายทางวิชาการของผมบอกว่า แกเขียนเรื่องฟุตบอลไม่ใช่บรรยายเกมธรรมดาแต่เป็นวรรณกรรม ผมนั่งดูฟุตบอลเกมเดียวกันกับแก ทำไมเขียนออกมาไม่ได้อย่างนี้บ้างหว่า
ขาดไปเสียไม่ได้ คุณ players หรือพี่บุญชิตของผม แม้ห่างหายจากวงการผู้จัดกวนไปหลายเดือน แต่สำบัดสำนวนของพี่บุญชิตยังคงเส้นคงวาเหมือนเดิม ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมอ่านงานของพี่บุญชิตแล้วจะไม่อมยิ้มที่มุมปาก หนักๆเข้าก็ฮามันลั่นห้องไปเลย ลองเข้าไปอ่านดูครับ นอกจากจะเล่าเรื่องที่แกไปเจอมาแต่ละวันแล้ว ยังมีหน้าเรียนภาษาฝรั่งเศสที่แกเอาเล็คเชอร์ที่เรียนมาลง ผมถือว่าที่แกบอกว่าแกเป็นเพียง Leech และ Peer เห็นจะเป็นความเท็จ เพราะอันที่จริง (สำนวนที่แกบอกว่าใช้บ่อย) แกเป็นทั้ง Leech Peer และ Seed ยังไงผมและอีกหลายๆคนก็รอการกลับมาของคอลัมน์ตีความตุลากวนโดยบุญชิต ฟักมี อิน ฝรั่งเศสอยู่นะครับ
นอกจากนี้ยังมีบล็อกเพื่อนบ้านผมอีกหลายบล็อกที่ผมลิงค์ไว้ให้ลองเข้าไปทัศนากัน แล้วท่านผู้อ่านจะรู้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าบล็อกที่ผมเอ่ยถึงมาข้างต้นเลย
......
รุ่นน้องผมคนหนึ่งกล่าวกับผมไว้ว่า เธอคิดว่าการที่ผมจะลดบทบาทการโพสในเว็บบอร์ดกฎหมายที่นักศึกษาทำแล้วหันมาสร้างบล็อกของตนเองนั้นไม่น่าจะเหมาะเท่าไรนัก เพราะมันแคบเกินไป แต่ละวันคนเข้าแค่ไม่กี่คน แล้วจะมีคนที่สนใจอ่านกันหรือ สู้เอาเวลาไปสร้างเว็บแล้วมีกระดานสนทนาให้คนแลกเปลี่ยนกันดีกว่า อย่างน้อยก็มีนักศึกษาในคณะเข้ามาเยี่ยมชม
ผมคิดในใจว่าผมเห็นต่างกับเธอ และผมก็พยายามพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า บล็อกมันมีคุณค่าได้ในตัวของมันเอง และเราสามารถสร้างเครือข่ายออกไปในวงกว้างได้ ที่สำคัญเครื่อข่ายนี้เป็นคนที่สนใจในเรื่องคล้ายๆกัน สนทนาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างมีอรรถรส
จนถึงวันนี้ วันที่ผมตกหลุมรักบล็อกเข้าอย่างจัง ผมตอบเธอได้เต็มปากว่า ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะที่ผมพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าสมมติฐานที่เธอคิดไว้นั้นไม่จริง ผมได้เข้าไปอยู่ในประชาคมวิชาการเล็กๆ ที่มองแล้ว ยังไงมันก็น่าจะมีทิศทางที่ดีต่อไปได้ เรียกได้ว่าไม่น่าจะม้วนเสื่อกลับบ้านก่อนเวลาอันควรแล้วกัน
ที่น่าแปลกใจ ประชาคมเล็กๆอันนี้ ก่อร่างสร้างตัวโดยใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้นครับ
8 ความคิดเห็น:
เพื่อนบังเกิดเกล้าเขียนบล็อกทั้งที เป็นครั้งแรกที่ผมมาทิ้งความเห็นไว้โดยเปิดเผยนาม
ไม่อยากเลีย แต่ต้องบอกจริงๆว่า หมอนี่มีพัฒนาการเร็วมาก จริงๆ ผมไม่ควรแปลกใจ เพราะไอ้นี่มันมีศักยภาพมากมาย ตั้งแต่ไหนแต่ไร
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า มันก้าวออกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับผม มันเข้าบอลเร็วกว่าผมหนึ่งจังหวะเสมอ 555
สำบัดสำนวน รู้สึกจะพริ้ว
โดยเฉพาะหัวเรื่องมันวันนี้...ผมเห็นแล้วต้องนั่งเดาใจว่ามันจะมาไม้ไหน เห็นบอกว่าวันนี้มีซึ้ง (ไม่รู้มันจะเอาไปนึ่งอะไร ..ฮา)
เห็นมันแนะนำสมาชิกเครือข่ายคนรักบล็อกแล้ว คงต้องขอบคุณมันแล้วเลยผ่านไปถึงคุณปิ่นด้วยน่ะครับ สองแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ผมมีบล็อกเล็กๆ ของตัวเองเช่นกัน
สมัยเรียนด้วยกัน มันนี่แหล่ะที่คอยจัดตารางสอน การลงวิชาเรียนให้ผม
เรียนจบได้ส่วนหนึ่งก็มันนี่แหล่ะ
ถ้าผมจะเขียนงาน น้อยชิ้นนักที่ไม่มีมันคอยกระตุ้น
ถ้าผมจะคิดประเด็นอะไรสักเรื่อง น้อยเรื่องนักที่ไม่มีมันเปิดประเด็นไว้ให้
ถ้าผมจะเขียนหนังสือสักเล่ม คงเป็นมันที่ทั้งผลักและดัน
ถ้าผมจะเหกลับมาทำงานในรั้วมหาวิทยาลัย คงเป็นมันที่ลากเข้ามา
แต่ถ้าผมจะมีเมียล่ะก็
มึงไม่ต้อง ... กูทำของกูเอง
ค่ะ
เป็นเจ้าของความคิดนั้นเองอ่ะ...
ขณะนี้ ได้เข้าใจแล้วว่า เวบบลอค มีประโยชน์เพียงใด และกว้างกว่าที่คิดไว้มาก
ที่สำคัญ เป็นเหมือนโลกที่รวบรวมขุนพลทางวิชาการเอาไว้หลากแขนง...
ก้อยโชคดีที่สุดในโลก ที่ได้มีโอกาสรู้จักพี่ๆ ก่อนเข้ามาเรียนคณะนิติศาสตร์ นี่ก็อีกเดือนนึงจะเปิดเทอมแล้ว คิดว่าก้อยจะใช้เวบบลอคนี่แหละ เปนอีกทีๆ จะอัพเดทตัวเองทางปัญญา
ถ้าไม่มีอินเตอนเนต ก้อยก็ไม่ได้เจอพวกพี่ๆ เนอะ..
ขอขอบคุณอีกครั้ง สำหรับทุกท่าน โดยเฉพาะพี่ป๊อกและพี่ต้อง ที่มีส่วนทำให้ก้อยได้เปิดหูเปิดตา สร้างเวบบลอคขึ้นมา( ว่าแล้วยังไม่อัพเดทเลย จะเขียนเร็วๆ นี้ สัญญาๆ )
ผมยอมรับเลยว่าทั้งสำนวนภาษาและข้อคิดเห็นของคุณ Etat de droit ยอดเยี่ยมมาก ผมไม่เคยนึกเหมือนกันว่าจะได้มาอ่านทรรศนะจากนักกฎหมายหนุ่มและอีกฐานะหนึ่งคือนักวิชาการด้วย ที่สนุกและได้แง่คิดขนาดนี้รวมทั้งพลังของการสร้างสรรค์ที่ขยันเขียนงานระดับคุณภาพได้ทุกๆวัน อันนี้ขอคารวะด้วยใจจริงๆเลยครับ
จริงๆ ผมต้องขอบคุณคุณด้วย เพราะพลังผมลดลงไปเยอะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุหลายประการ
พลังทางวิชาการ (ที่ไม่ได้มีมากอย่างใครเขา) ก็หายไปหมด อ่านหนังสือง่ายๆ ก็ไม่รู้เรื่อง
การอ่านบล๊อกของคุณ ทำให้ผมตามไปอ่านบล๊อกของคนอื่นๆ
และในที่สุด ก็เหมือนการไปนวด ... ไม่ใช่ หมายถึงการได้นวดสมอง ให้เลือดไหลเวียนอีกครั้ง กระตุ้นเซลส์ที่ตายให้กลับมาทำงานได้
วันก่อนไปเจอเพื่อนรุ่นน้องที่เมืองข้างๆ (คนที่ผมไปกินซูชิแล้วตกรถไฟต้องแกร่วอยู่จนเที่ยงคืนนั่นแหละ)
เธอทักว่า ผมดู en forme ขึ้น ถ้าเธอไม่ได้โกหกปากหวาน ก็คงเพราะสมองกลับมาทำงาน ส่งผลให้ร่างกายดูสดชื่นขึ้น
เดี๋ยวชาร์ตพลังอีกนิดหนึ่ง คิดว่าน่าจะกลับสู่สภาพเดิมก่อนสมองหยุดทำงานได้
ต้องขอขอบคุณจริงๆ และผมคิดว่าคุณเขียนหนังสือเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งอารมณ์ขันและการใส่มุขที่ออกจังหวะค่อนข้างสวย จนถ้าปลอมตัวไปสมัครเขียนคอลัมน์ในผู้จัดกวนแล้วไซร้ บุญชิตฯ คงกลับบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีที่นั่งแล้ว...
จากที่ได้อ่านงานของคุณครั้งแรกในเวบไซต์กฎหมายมหาชนแห่งหนึ่ง กับมาอ่านในที่นี้ เราจะเห็นความสามารถในการทำเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่าย การเล่าสาระโดยไม่ยัดเยียด เพิ่มขึ้นแบบผิดหูผิดตาน่าชมเชย...
(ส่วนทักษะในการทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากนั้น ไว้ถ้าอยากเป็นนักการเมือง หรือนักกฎหมายของนักการเมืองค่อยไปฝึกก็ได้ ไม่สาย)
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณคงยังไม่เบื่อการเขียนบล๊อก เพราะผมชอบอ่าน และรู้สึกบันเทิงที่ได้อ่าน (ว่ากันดื้อๆเลย)
ปล. เชื่อไหม ตั้งแต่ลิ้งค์ของผมแปะอยู่ที่เวบนี้ ผมลองเช็คจำนวนคนเข้าชมดู เชื่อไหม เพียงสามวันเท่านั้น คนเข้าชมมากกว่าเวบที่เปิดมาแล้วครึ่งเดือนรวมกันอีก...
เหมือน ๆ โดนป๊อกดึงให้กลับเข้ามาสู่โลกแห่ง Blog อีกครั้ง หลังจากที่ความขี้เกียจ กับเรื่องงานยุ่ง ๆ เข้ามาครอบงำอยู่พักใหญ่ จนแม้แต่เว็บบอร์ดก็ยังขี้เกียจเข้าไปตอบเลย เป็นเพราะว่าป๊อกเข้ามาทักที่ Blog มิสเตอร์คาเฟอีน ก็เลยได้เข้ามาเห็นกลุ่มชนชาว Blog อีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจาก Blog อื่น ๆ ที่เคยเห็น ได้มาอ่านความคิดดี ๆ ที่ออกมาจากคนรุ่นใหม่ ๆ ที่มีทั้งแง่มุมทางด้านวิชาการให้ฉุกคิด และมีความสนุก ผสมปนเปแบบ 2 in 1 หรือ many in 1
บางทีก็ตลกดี ที่ได้เห็น Blog List จากเว็บของคน คนหนึ่ง Link ไปหา Blog ของอีกคนหนึ่ง และพาไปหาอีกคนหนึ่ง จนมาเจอกับคนที่เรารู้จักดี เป็นไปตามทฤษฎีความสัมพันธ์ 6 ขั้น (ของใครหว่า??) ที่ว่าเราทุกคนล้วนมีความสัมพันธ์กัน และสามารถโยงเส้นความสัมพันธ์ ผ่านคนที่รู้จัก ภายใน link ที่ไม่เกิน 6 ครั้ง
การเขียน Blog ให้ความสะดวกสบายกับคนอยากจะมีเว็บส่วนตัว มากกว่าการคอยไปนั่งเขียน html , upload-download ข้อมูล ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บ Cafe Lunar อันเก่า แทบจะนิ่งสนิท นับตั้งแต่วันที่ upload ข้อมูลขึ้นไปครั้งแรก
แต่การได้เขียน Blog นี่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการเขียนเว็บบอร์ด นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียนไป ไม่ต้องมาสนใจกับ Code มากนัก จะปรับแต่งอะไรก็ง่าย ได้หน้าตาที่แน่ใจได้ว่า จะไม่เกิด error แม้ว่าจะเอาไปเล่นกับเครื่องอื่น ๆ (ซึ่งเกิดขึ้นบ่อย ๆ กับมือเว็บสมัครเล่น)
การมาเรียนหนังสือ บางทีก็ทำให้ห่างจากการเขียน (จนสมองฝ่อ อย่างที่บุญชิตฯ ว่า) ได้มานั่งขีด ๆ เขียน ๆ ลงใน blog ก็เป็นการช่วยบังคับตัวเองให้เขียนได้ และยังใช้เป็นที่เก็บเรื่องราวที่เคยเขียนไว้กระจัดกระจาย ให้เข้าที่อีกด้วย
ว่าแล้วก็เข้ามาเป็นขบวนการชาว Blogger กันดีกว่า !!!
ที่ผมนึกเสียดายมากๆก็คือ คุณนิติรัฐและผองเพื่อนน่าจะแสดงตัวออกมาจากมุมมืดเร็วกว่านี้
ไม่งั้นคงสนุกกันมานานแล้ว :)
ขอสวัสดีคุณบุญชิตด้วยนะครับ เคยติดตามผลงานในผู้จัดกวน(เป็นประจำสมัยก่อน)และ mars(ไม่ค่อยประจำเท่าไหร่ - แล้วแต่หน้าปก (ฮา))มาก่อน ได้อ่านบทความที่ใช้ชื่อจริงอยู่บ้าง แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกัน
รู้สึกชื่นชมน่ะครับ และชื่นชอบในลีลาภาษาการเขียน และวิธีมองโลก
ยินดีที่ได้เจอตัวเป็นๆนะครับ ว่างๆก็เชิญไปถกเถียงด้วยกันใน blog ได้นะครับ เข้าไปเยี่ยมเวปคุณบุญชิตเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทักตรงไหน
ท่านก็ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานเหมือนกันนะครับ
เรื่องการนัดพบชาว bloggers ให้คุณปิ่นเป็นมือประสานได้เลยนะครับ ถึงเวลานั้นแกคงมี สถานที่พร้อมรับรอง เลี้ยงดูปูเสื่อเรียบร้อยแล้ว
ช่วยผมขอวีซ่าออกจากบ้านไปด้วยนะ ตอนกลับมาสังสรรค์ที่เมืองไทย
coach outlet
michael kors handbags
nike air max
nike factory store
nike presto femme
kansas city chiefs jerseys
nike factory store
air jordan 4
christian louboutin outlet
canada goose outlet
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก