เมื่อผมอยากเป็นบล็อกเกอร์กะเค้ามั่ง
กระแสเว็บบล็อกมาแรงจริงๆครับ ผมลองเข้าบล็อกนู้นออกบล็อกนี้มาหลายที่แล้วแต่ก็ยังไม่ลงมือทำบล็อกของตัวเองเสียที ได้แต่ไปดูของคนอื่น ดูแล้วก็อยากมีบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เริ่มเขียน
จนกระทั่งผมไปเจอบล็อกของคุณปิ่น ปรเมศวร์ http://pinporamet.blogspot.com/ ผมอ่านแล้วก็ถูกใจ นึกในใจว่ากูอยากเขียนให้ได้อย่างนี้สักครึ่งนึงก็ยังดี ผมไม่ได้รู้จักกับคุณปิ่นเป็นการส่วนตัว แต่ติดตามงานของแกมานาน เรียกได้ว่า รู้จักแกผ่านทางหน้ากระดาษ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมทราบกิตติศัพท์ของคุณปิ่นดีว่าแกเป็นจอมยุทธรุ่นใหม่ไฟแรงแห่งสำนักเศรษฐศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรง ถ้าเว็บบล็อกของผมไปได้ตลอดรอดฝั่งผมก็ขอยกความดีความชอบให้คุณปิ่นในฐานะที่บล็อกแกเป็นแรงบันดาลใจให้ผมลุกมาเขียนบ้าง
ผมอ่านบล็อกของคุณปิ่นและผองเพื่อนแล้วผมก็ช่างอิจฉายิ่งนัก
อะไรที่ผมอิจฉา?
ผมอิจฉาที่นักวิชาการในสายเศรษฐศาสตร์ช่วยกันผลิตงานออกไปในวงกว้าง ทั้งคุณปิ่น เพื่อนๆ มิพักต้องกล่าวถึงรุ่นใหญ่อย่างอาจารย์รังสรรค์ หรือ อาจารย์วรากรณ์ งานในวงกว้างที่ผมบอกหมายถึงงานที่ว่าถึงสิ่งรอบๆตัวที่เราเห็นภาพชัดเจน จับต้องได้ อธิบายให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ เข้าใจได้ง่าย ทั้งๆที่โดยเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์เองน่าจะซับซ้อนพอดู
กล่าวให้ถึงที่สุด ผมหมายถึงงานที่เขียนตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างที่อาจารย์รังสรรค์ อาจารย์วรากรณ์ คุณปิ่น ในสาขาเศรษฐศาสตร์ หรือ อาจารย์นิธิ อาจารย์เกษียร อาจารย์เสกสรรค์ ในสาขารัฐศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ ที่คนไม่มีพื้นความรู้ในด้านนั้นๆ คนทั่วๆไป สามารถอ่านได้สบายๆ
ย้อนกลับมาดูสาขาของผม ผมสำรวจแล้วงานวิชาการทางกฎหมายในวงกว้างมีน้อยมาก นักวิชาการที่อธิบายกฎหมายแบบง่ายๆ ไม่มีศัพท์แสงหรูหรา คนทั่วไปเข้าถึง ผมว่านับตัวได้ จริงๆอาจมีเยอะก็ได้แต่ไม่ได้ผลิตงานออกมาให้เห็น ผมอยากเห็นนักวิชาการในสาขากฎหมายผลิตงานได้ทั้งที่แบบมีสาระหนักๆและแบบเบาๆที่อ่านได้แบบไม่ต้องเอากะไดมาปีนขึ้นไปสอยลงมา ผมหารือกับสหายทางวิชาการของผมตลอดถึงประเด็นนี้ว่าอะไรคือสาเหตุที่พวกเราไม่สามารถทำแบบที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ทำกัน
เราได้ข้อสรุปตรงกันครับว่า เรายึดติดกับรูปแบบมากเกินไป สังเกตว่าเราเขียนงานแต่ละครั้งเราต้องร่ายยาวว่ามาตรานั้นอย่างนี้ หลักกฎหมายว่าอย่างนั้น แล้วยังติดกับรูปแบบภาษากฎหมายซึ่งทำความเข้าใจยากอีกด้วย มิพักต้องกล่าวถึงประเพณีหรือค่านิยมบางประการที่ฝังอยู่ในตัวพวกเรา นั่นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ผมเห็นว่า โดยเนื้อหาวิชาแล้ว มันน่าจะเข้าถึงยากพอดู คนทั่วไปมักจะเห็นว่าเราเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เถียงกันเรื่องรูปแบบ ไม่ได้เน้นผลเท่าไร มัวแต่ไปจับจ้องอยู่ที่วิธีการว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ (ไม่แปลกที่ท่านนายกฯถึงไม่ค่อยชอบกฎหมายเท่าไร) ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เห็นภาพ แต่เป็นความจริงที่ใครไม่ได้มาเรียนจะไม่รู้หรอกว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าไม่ใช่ข้ออ้างที่นักวิชาการนิติศาสตร์จะละทิ้งหน้าที่ในการผลิตงานในวงกว้าง มิฉะนั้นเราก็ไม่ต่างกับพวกอยู่บนหอคอยงาช้าง ใครรุกล้ำเข้ามาในพรมแดนเรา เราก็จะตะโกนกลับไปว่า ไอ้พวกนี้ไม่รู้เรื่อง สะเออะ ไม่รู้กฎหมายแล้วมาพูด ผมกลับคิดว่า ก็เค้าไม่รู้ เราก็ยิ่งมีหน้าที่อธิบายให้เค้ากระจ่าง
ยิ่งนับวัน ผมกลัวว่าพวกเราจะแปลกแยกออกจากสังคมมากขึ้นๆ คบกันเองแต่พวกนักกฎหมายด้วยกัน ต่อสู้ ชิงไหวชิงพริบ หรือร้ายกว่านั้นเอากฎหมายมาเล่นแร่แปรธาตุเพื่อเป้าหมายบางประการ ในขณะที่สังคมมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆว่า ไอ้พวกนี้มันทำอะไรกัน เถียงกันอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง พวกเราก็ชี้นิ้วกลับไปว่า ก็พวกคุณนั่นแหละที่ไม่รู้เรื่อง
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมตัดสินใจเขียนบล็อกนี้
ผมอยากลองเขียนเรื่องในวงการกฎหมายแบบเข้าใจง่ายๆ จับต้องได้ อ่านสบายๆ ไม่ต้องเอากะไดมาปีนไปสอยลงมา ไม่ต้องอ่านแล้วธาตุไฟในร่างกายปั่นป่วน
แต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ยังไงผมจะพยายามลองดู
ผมได้ชักชวนสหายทางวิชาการของผมให้เปิดบล็อกด้วย ให้มันว่ากฎหมายอาญาที่มันถนัด (แต่เอาเข้าจริงแล้วผมว่ามันถนัดทุกสาขา) ส่วนผมก็จะว่าในส่วนของกฎหมายมหาชนที่ผมพิสมัย ไม่รู้ว่ามันจะได้ฤกษ์เปิดเมื่อไร ถ้ามันเข้ามาอ่านก็อยากบอกมันว่า "รีบๆมาเปิดได้แล้ว จะได้เป็นเพื่อนกัน ถ้ายังไม่มีเวลาเขียนก็เอาที่เคยโพสตามเว็บบอร์ดลงไปก่อนก็ได้"
ในส่วนบล็อกของผมนี้ นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว ผมอาจหยิบยกประเด็นการเมือง สังคม หรือสิ่งต่างๆรอบตัวที่ผมเห็นในแต่ละวันเอามาเล่าให้ฟัง อาจมีเรื่องราวที่น่าสนใจในฝรั่งเศสที่ผมไปเจอ ข่าวประเด็นร้อน หนัง หรือไวน์ที่ผมไปลอง (อันนี้ของชอบ)
สุดท้าย...
ขอบคุณเว็บบล็อกที่ทำให้ผมมีพื้นที่ในการสำเร็จความใคร่ทางวิชาการ
พรุ่งนี้ หวังว่าผมคงคิดออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี
จนกระทั่งผมไปเจอบล็อกของคุณปิ่น ปรเมศวร์ http://pinporamet.blogspot.com/ ผมอ่านแล้วก็ถูกใจ นึกในใจว่ากูอยากเขียนให้ได้อย่างนี้สักครึ่งนึงก็ยังดี ผมไม่ได้รู้จักกับคุณปิ่นเป็นการส่วนตัว แต่ติดตามงานของแกมานาน เรียกได้ว่า รู้จักแกผ่านทางหน้ากระดาษ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมทราบกิตติศัพท์ของคุณปิ่นดีว่าแกเป็นจอมยุทธรุ่นใหม่ไฟแรงแห่งสำนักเศรษฐศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรง ถ้าเว็บบล็อกของผมไปได้ตลอดรอดฝั่งผมก็ขอยกความดีความชอบให้คุณปิ่นในฐานะที่บล็อกแกเป็นแรงบันดาลใจให้ผมลุกมาเขียนบ้าง
ผมอ่านบล็อกของคุณปิ่นและผองเพื่อนแล้วผมก็ช่างอิจฉายิ่งนัก
อะไรที่ผมอิจฉา?
ผมอิจฉาที่นักวิชาการในสายเศรษฐศาสตร์ช่วยกันผลิตงานออกไปในวงกว้าง ทั้งคุณปิ่น เพื่อนๆ มิพักต้องกล่าวถึงรุ่นใหญ่อย่างอาจารย์รังสรรค์ หรือ อาจารย์วรากรณ์ งานในวงกว้างที่ผมบอกหมายถึงงานที่ว่าถึงสิ่งรอบๆตัวที่เราเห็นภาพชัดเจน จับต้องได้ อธิบายให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ เข้าใจได้ง่าย ทั้งๆที่โดยเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์เองน่าจะซับซ้อนพอดู
กล่าวให้ถึงที่สุด ผมหมายถึงงานที่เขียนตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างที่อาจารย์รังสรรค์ อาจารย์วรากรณ์ คุณปิ่น ในสาขาเศรษฐศาสตร์ หรือ อาจารย์นิธิ อาจารย์เกษียร อาจารย์เสกสรรค์ ในสาขารัฐศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ ที่คนไม่มีพื้นความรู้ในด้านนั้นๆ คนทั่วๆไป สามารถอ่านได้สบายๆ
ย้อนกลับมาดูสาขาของผม ผมสำรวจแล้วงานวิชาการทางกฎหมายในวงกว้างมีน้อยมาก นักวิชาการที่อธิบายกฎหมายแบบง่ายๆ ไม่มีศัพท์แสงหรูหรา คนทั่วไปเข้าถึง ผมว่านับตัวได้ จริงๆอาจมีเยอะก็ได้แต่ไม่ได้ผลิตงานออกมาให้เห็น ผมอยากเห็นนักวิชาการในสาขากฎหมายผลิตงานได้ทั้งที่แบบมีสาระหนักๆและแบบเบาๆที่อ่านได้แบบไม่ต้องเอากะไดมาปีนขึ้นไปสอยลงมา ผมหารือกับสหายทางวิชาการของผมตลอดถึงประเด็นนี้ว่าอะไรคือสาเหตุที่พวกเราไม่สามารถทำแบบที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ทำกัน
เราได้ข้อสรุปตรงกันครับว่า เรายึดติดกับรูปแบบมากเกินไป สังเกตว่าเราเขียนงานแต่ละครั้งเราต้องร่ายยาวว่ามาตรานั้นอย่างนี้ หลักกฎหมายว่าอย่างนั้น แล้วยังติดกับรูปแบบภาษากฎหมายซึ่งทำความเข้าใจยากอีกด้วย มิพักต้องกล่าวถึงประเพณีหรือค่านิยมบางประการที่ฝังอยู่ในตัวพวกเรา นั่นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ผมเห็นว่า โดยเนื้อหาวิชาแล้ว มันน่าจะเข้าถึงยากพอดู คนทั่วไปมักจะเห็นว่าเราเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เถียงกันเรื่องรูปแบบ ไม่ได้เน้นผลเท่าไร มัวแต่ไปจับจ้องอยู่ที่วิธีการว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ (ไม่แปลกที่ท่านนายกฯถึงไม่ค่อยชอบกฎหมายเท่าไร) ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เห็นภาพ แต่เป็นความจริงที่ใครไม่ได้มาเรียนจะไม่รู้หรอกว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าไม่ใช่ข้ออ้างที่นักวิชาการนิติศาสตร์จะละทิ้งหน้าที่ในการผลิตงานในวงกว้าง มิฉะนั้นเราก็ไม่ต่างกับพวกอยู่บนหอคอยงาช้าง ใครรุกล้ำเข้ามาในพรมแดนเรา เราก็จะตะโกนกลับไปว่า ไอ้พวกนี้ไม่รู้เรื่อง สะเออะ ไม่รู้กฎหมายแล้วมาพูด ผมกลับคิดว่า ก็เค้าไม่รู้ เราก็ยิ่งมีหน้าที่อธิบายให้เค้ากระจ่าง
ยิ่งนับวัน ผมกลัวว่าพวกเราจะแปลกแยกออกจากสังคมมากขึ้นๆ คบกันเองแต่พวกนักกฎหมายด้วยกัน ต่อสู้ ชิงไหวชิงพริบ หรือร้ายกว่านั้นเอากฎหมายมาเล่นแร่แปรธาตุเพื่อเป้าหมายบางประการ ในขณะที่สังคมมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆว่า ไอ้พวกนี้มันทำอะไรกัน เถียงกันอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง พวกเราก็ชี้นิ้วกลับไปว่า ก็พวกคุณนั่นแหละที่ไม่รู้เรื่อง
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมตัดสินใจเขียนบล็อกนี้
ผมอยากลองเขียนเรื่องในวงการกฎหมายแบบเข้าใจง่ายๆ จับต้องได้ อ่านสบายๆ ไม่ต้องเอากะไดมาปีนไปสอยลงมา ไม่ต้องอ่านแล้วธาตุไฟในร่างกายปั่นป่วน
แต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ยังไงผมจะพยายามลองดู
ผมได้ชักชวนสหายทางวิชาการของผมให้เปิดบล็อกด้วย ให้มันว่ากฎหมายอาญาที่มันถนัด (แต่เอาเข้าจริงแล้วผมว่ามันถนัดทุกสาขา) ส่วนผมก็จะว่าในส่วนของกฎหมายมหาชนที่ผมพิสมัย ไม่รู้ว่ามันจะได้ฤกษ์เปิดเมื่อไร ถ้ามันเข้ามาอ่านก็อยากบอกมันว่า "รีบๆมาเปิดได้แล้ว จะได้เป็นเพื่อนกัน ถ้ายังไม่มีเวลาเขียนก็เอาที่เคยโพสตามเว็บบอร์ดลงไปก่อนก็ได้"
ในส่วนบล็อกของผมนี้ นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว ผมอาจหยิบยกประเด็นการเมือง สังคม หรือสิ่งต่างๆรอบตัวที่ผมเห็นในแต่ละวันเอามาเล่าให้ฟัง อาจมีเรื่องราวที่น่าสนใจในฝรั่งเศสที่ผมไปเจอ ข่าวประเด็นร้อน หนัง หรือไวน์ที่ผมไปลอง (อันนี้ของชอบ)
สุดท้าย...
ขอบคุณเว็บบล็อกที่ทำให้ผมมีพื้นที่ในการสำเร็จความใคร่ทางวิชาการ
พรุ่งนี้ หวังว่าผมคงคิดออกว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี
14 ความคิดเห็น:
U got yr own style of writing. I find it interesting. Your idea is good and i am totally agree with you. As i am one of the law student, it is hard to find the legal article that is easy to read. Well, hopefully that u will be the first to do that. Let everyone know a little bit more about the law with the simple style of writing... i will be looking forward for others articles of u too.
WW
มาเยี่ยมแล้วครับ
ขอบคุณนะครับที่ตามอ่านงานผม รู้สึกดีครับที่มี blog ดีๆ ให้อ่านอีกอันหนึ่ง คงได้แลกเปลี่ยนกันในอนาคต
มีอะไรก็เมลคุยกันได้นะครับ จะได้ทำความรู้จักกันไว้ เผื่อเรียนจบจะได้หาอะไรสนุกๆ ทำกันในธรรมศาสตร์
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
อืมม ดีนะเรียนกฏหมายมาเองยัง ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง และไม่เห็นด้วยเลย ช่วยๆกันทำมาเยอะๆ เอาเรื่องตั้งแต่ชาวบ้านผัวเมียตีกัน ไปจนถึงรดับโลกไปเลย เดี๋ยวมีอารมณ์จะเขียนมาแจมมั่งนะ เรื่องที่เราเจอมารอบตัวนี่แหละ
Minn
อยากอ่านงานเช่นนี้มานานแล้วล่ะครับ
ตามเว็บบอร์ดกฎหมายต่างๆ ประเด็นส่วนใหญ่เกาะกุม ยึดโยงเอาแต่บรรดากฎหมายในเชิงเทคนิค การต่อสู้ในทางคดีความ
หรือไม่ ก็พวกเตรียมตัวทำข้อสอบ เพื่อการสอบในสนามต่างๆมากกมาย เรียกว่าสอบกันตลอดชีวิต
อย่าว่าแต่ชาวบ้านร้านตลาด หรือคนที่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์เลยครับ
คนเรียนนิติศาสตร์อย่างผมยังไม่อยากก้าวเท้าเข้าไปอ่านเลย
เอียน
แล้ว ไม่รู้เป็นไง อ่านพวกนี้ทีไรแล้ว หน้ามืด วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม
บลอกของคุณคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผม และคนเรียนกฎหมายอีกหลายคน ได้เดินตามด้วย
อย่างน้อย เมื่อที่ใดมีสังคมที่นั่นก็มีกฎหมาย กฎหมายก็ไม่ควรมีช่องว่างที่เป็นสุญญากาศกับสังคมน่ะครับ
เป็นเรื่องน่ายินดี หากจะมีคัมภีร์ออนไลน์ ให้ได้หาความรู้เพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง
update บ่อยๆ นะคะ จะแวะเข้ามาอ่านค่ะ
JIKKOI ;)
เข้ามาดูแล้วนะป๊อก ของดออกเสียงหนึ่งวันนะจ๊ะ ป๊อกก็รู้ว่าฝนไม่เคยออกเสียงเกี่ยวกะเรื่องนี้มานานแล้ว อิอิ
พยายามเขียนต่อไปนะ แต่ยาวจัง บางทีฝนขี้เกียจอ่านง่ะ
เข้ามาอ่านเช่นกันครับ ยินดีมากที่จะได้รับทัศนะจากนักกฏหมาย
ขอบคุณทุกคนครับที่สละเวลาเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกผม มีประเด็นอะไรก็แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
"เพียงคุณแวะมาชม เราก็แอบนิยมคุณอยู่ในใจ"
วันที่สองของการมาตามอ่านนะจ๊ะ ป๊อกนี่โปรโมทเวปตัวเองน่าดู อิอิ
พยายามเขียนต่อไปนะจ๊ะ
ก็คอยลองตามอ่านตั้งแต่ในบอร์ด แล้วก็มาที่นี่ (ตามที่ชักชวนมา) ก็จะเอาใจช่วยเชียร์ให้เขียนไปเรื่อย ๆ แต่อ่านอย่างเดียวนะ เพราะไม่ค่อยชอบเขียนแสดงความเห็น เอาเป็นว่าถ้าจะให้แสดงความเห็น ไว้ตอนนั่งจิบไวน์ค่อยคุยกันดีกว่า ได้อารมณ์กว่าเยอะ คนแก่น่ะมันไม่ค่อยถนัดไอ้เรื่องไฮเทคแบบวัยรุ่นเท่าไหร่หรอก
มาเจิมกะเค้ามั่ง...
ก็ดีครับ ถือการริเริ่มที่ดี
อนาคตของวงการกฎหมายฝากไว้ในมือพวกคุณ
นักกฎหมาย ถูกมองว่าเป็นส่วนเกินของสังคม
เพราะความที่พูด (กับคนอื่น) ไม่ใคร่รู้เรื่องนี่แหละ
ผมเกิดในบ้านนักรัฐศาสตร์ครับ
แต่ประโยคที่เกลียดที่สุดในโลก คือ
"เรื่องนี้ไม่ควรใช้หลักนิติศาสตร์
ควรใช้หลักรัฐศาสตร์"
(ที่พ่อผมบอกว่า มันไม่มีในโลกหรอก หลักรัฐศาสตร์ที่เอาไว้ใช้เวลาไม่อยากใช้กฎหมาย)
ถ้านักนิติศาสตร์ของเรา
รู้จักใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ของแต่ละกฎหมาย
ใช้กฎหมายอาญา เพื่อป้องกันการประทุษร้ายต่อสังคม
มากกว่าใช้เพื่อข่มขู่ประชาชนในสังคมไม่ให้หือหาอืออา
ใช้กฎหมายแพ่ง เพื่อคุ้มครองสิทธิของเอกชนโดยยุติธรรมไม่เหลื่อมล้ำกันจนเกินไปนัก
มากกว่าใช้เพื่อให้ผู้มี "พลัง" ในระบบเศรษฐกิจ ใช้เป็นเครื่องมือ "สูบ" ทุกสิ่งทุกอย่าง
ใช้กฎหมายปกครอง ในการรักษาสมดุลยระหว่างอำนาจรัฐกับสิทธิเสรีภาพในทางมหาชนของประชาชน
มากกว่าใช้เพื่อ "รับรอง" การใช้อำนาจรัฐ
ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อบูรณาการและวางแผนผังระบบการเมืองและสถาบันการเมือง
มากกว่าการใช้เพื่ออ้างความชอบธรรมในการปกครอง
เมื่อวันนั้น ประโยคแสลงหูของผมคงจะหายไปสักวัน... สาธุ...
Players
www.chezplayers.com
น่าสนใจ ๆ ... แวะมาอ่าน และมาเจิม bloc ด้วยคน
พี่อัฐ - Aix
ยินดีครับที่มีเพื่อนเพิ่มอีกแล้ว
และยินดีที่อาจจะให้ความไร้สาระกับท่านนิติรัฐได้บ้าง (ฮา)
^__^
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก