เลือก
กลับไปเมืองไทยครั้งนี้ ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Seasons Change : เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ชอบครับ
แต่ที่ชอบที่สุด คือ ดุจดาว ฮี่ฮี่ ดูแล้วอยากเกิดเป็นไวโอลิน
เสียดายมาก ผมพึ่งมารู้ว่าเธอเรียนอยู่คณะบัญชี มธ. แหม ถ้ารู้ก่อน จะได้ไปเดินแถวๆนั้น
ในความเห็นผม ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ “การเลือก”
เจ้าของชีวิตได้เลือกเส้นทางชีวิตของตน หรือไม่?
ผมมานั่งนึกย้อนดูชีวิตตนเอง มีหลายครั้งที่ผมไม่ได้เลือกชีวิตของตนเองเลย หรือถ้าเลือกก็คงเลือกเพราะปัจจัยแทรกซ้อน ไม่ได้มาจากความชอบ
เมื่อเข้ามัธยม ๑ ในวิชาดนตรี โรงเรียนผมมีให้เลือกสองอย่าง ดนตรีไทย กับ โขน
ตามประสาเด็กผู้ชาย ลิงทะโมน ก็อยากไปเต้นโขน ได้วิ่งเล่นสนุกสนาน ดีกว่าไปนั่งพับเพียบเป่าขลุ่ยไทย สีซอ ตีขิม
แต่ตอนนั้น ผมเลือกไปเรียนดนตรีไทย
เพื่อนกลุ่มผมล้วนแล้วแต่ไปเล่นโขนกันหมด มันงุนงงกันมากที่ผมตัดสินใจเลือกดนตรีไทย ซึ่งมีแต่เหล่าเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้ฉิง
เหตุผลของผมมีข้อเดียว คือ ผมชอบมิสที่สอนดนตรีไทย (โรงเรียนผมเรียกครูผู้หญิงว่า “มิส”)
ผมไปเรียนด้วยความมุมานะ จำได้ว่ามีเรียนทุกวันจันทร์ ถึงวันอาทิตย์ตอนเย็นทีไร ผมดีใจมากที่วันรุ่งขึ้นจะได้ไปเรียน ซึ่งผิดวิสัยเด็กนักเรียนทั่วไปที่ไม่ชอบวันจันทร์ คราใดที่วันจันทร์ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผมจะเซ็งมาก
เช้าๆ ผมพยายามไปให้ทันเวลาที่มิสลงเรือข้ามฟากจากคลองสานไปท่าเรือโอเรียนเต็ล
จำได้เลยว่า ช่วงนั้น เลิกเรียนแล้ว ไม่สนใจเตะฟุตบอล แต่รีบไปที่ห้องดนตรีไทย เพื่อหามุขนั่งเรือข้ามฟากกลับบ้านพร้อมมิส
ถึงบ้านทีไร เป็นต้องหยิบขลุ่ยไทยมาโซโล่ จนป๊าและม้าเอือมไปตามๆกัน
มิสคงเห็นผมเป็นแมน และขยันเกินหน้าเกินตาเพื่อนกระมัง เลยเลือกให้ผมเป็นหัวหน้าในคลาสดนตรีไทยด้วย
คงเดาได้ใช่มั้ยครับ คะแนนเป่าขลุ่ยของผมจะออกมาดีเลิศขนาดไหน แต่น่าเสียดาย ทุกวันนี้วิชาขลุ่ยไทย ผมคืนมิสไปหมดแล้ว
จะว่าไป บางครั้งปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลให้เราเลือกทางเดินชีวิต บางทีก็เป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นได้เหมือนกัน
ขึ้นมา ม.ปลาย ช่วงต้องเตรียมเอ็นทรานซ์
ผมเกลียดวิชาคณิตศาสตร์มาก ในเวลาปกติ ผมยังไม่อยากเรียน แต่เรียนพิเศษ ผมกลับไปลงเรียน
เช่นเคยครับ เหตุจากผู้หญิง
ผมไปหลงรักนักเรียนเตรียมอุดมคนหนึ่งเข้า เพื่อนผมไปสมัครเรียนเลขของสมัย เหล่าวานิชย์ ผมตามไปด้วย ไปเจอเธอเข้า ปิ๊งเลย รุ่งขึ้น เลยรีบตามไปสมัครเรียน
เป็นคลาสเรียนน่าเบื่อ ไซน์ คอส แทน ตรีโกณ ถอดรูท อะไรก็ไม่รู้ แต่ผมก็ทดแทนความน่าเบื่อเหล่านั้นได้ด้วยการมองเธอ ผมกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่ได้ไปเรียนเลขสมัย เพราะได้มีโอกาสลุ้นพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างของผมกับเธอ
ตอนเลือกสายเรียน ม ปลาย ก็เหมือนกัน ผมรู้ตัวดีว่าไม่ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประเมินตนเองว่าถ้าเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศส คงรุ่งกว่า แต่สุดท้ายผมก็เลือกเรียนสาย วิทย์-คณิต
ค่านิยมสมัยนั้น อยากให้ดูเป็นคนเก่ง เด็กหัวดี มีคุณภาพ ก็ต้องไปเรียนสายวิทย์ เพราะเขาตั้งเกณฑ์ไว้ว่าต้องเกรดเฉลี่ย ม ต้น เกิน ๒.๕ ขึ้นไปจึงจะเรียนได้ ส่วนห้องสายศิลป์ ภาษา ก็จะมีแต่เด็กเรียนไม่ดี เด็กเกเรไปสุมหัวกัน
ตอนนั้น ผมคิดอยู่สองทาง ทางแรก ผมจะไปสมัครเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศส ที่เตรียมอุดม เพราะอย่างน้อยก็มีแต่เด็กขยันๆไปเรียนอยู่ที่นี่ ซึ่งดีกว่าห้องศิลป์ ฝรั่งเศส ของโรงเรียนผม ไหนจะออกสู่โลกกว้างได้ไปเรียนสหศึกษา กับสาวๆเป็นครั้งแรกนับแต่อนุบาล ทางที่สอง ผมจะเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศส ที่โรงเรียนเดิม เพราะ ความคุ้นเคย ทั้งคนและสถานที่ ไม่ต้องปรับตัวใหม่ สำคัญก็คือ ไม่โดนบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นตราหน้าว่าเราไม่รักโรงเรียน (มานั่งนึกๆดู ช่างเป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ)
โรงเรียนผมพยายามสกัดกั้น ไม่ยอมให้เด็กไหลออกไปเตรียมอุดม เลยจัดวันลงทะเบียนให้ตรงกับวันสอบของเตรียมอุดม ใครไม่มาวันนั้น ถือว่าสละสิทธิ์ เจอไม้นี้เข้า ผมก็เริ่มเขว เกิดไปสอบเตรียมฯไม่ติดล่ะก็ ไม่มีที่เรียนแน่ ทางบ้านและเพื่อนก็สนับสนุนให้ผมเรียนที่เดิม
ในที่สุดก็ตัดสินใจจะเรียนศิลป์ ฝรั่งเศสที่โรงเรียนเดิม
แต่แล้วพ่อผมก็บังคับให้ต้องเรียนสายวิทย์เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า “มีแต่คนเขาอยากเรียนกัน พวกที่เกรดไม่ถึง ไปวิ่งเต้นกันอุตลุด นี่เราเกรดถึงแล้วทำไมไม่เรียน เรื่องไม่ชอบเลข ฟิสิกส์ เดี๋ยวก็ขยันหน่อย ไปเรียนพิเศษเพิ่มได้” และ “จะได้ไปเอ็นทรานซ์วิศวะ หมอ”
ผมยืนกรานหัวแข็ง จนไม่พูดกันหลายวัน
วันลงทะเบียนจ่ายค่าเทอม ก่อนออกจากบ้าน ผมรับปากไปก่อนว่าจะเลือกวิทย์ คณิต แต่ในใจคิดเลือกศิลป์ ฝรั่งเศส แล้วจะปิดไว้เป็นความลับ
ผมนั่งเล่นอยู่ใต้ถุนตึก คิดกลับไปกลับมา
แล้วผมก็ไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะทำลายความตั้งใจของพ่อ จึงตัดสินใจเรียนสายวิทย์ คณิต ตอนนั้นคิดแค่ว่า เอาวะ เรียนเพื่อพ่อสักครั้ง ดีกว่ามาเห็นน้ำตาเขาทีหลัง
ผลที่ตามมา คือ ตลอด ม.๔ และ ม.๕ วิชาภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ ผมกวาดเกรด ๔ รวด เคมี ชีวะ พอเอาตัวรอดได้ แต่เลข ฟิสิกส์ ๐ ทุกเทอม
ที่คิดว่าจะเรียนตามใจพ่อเพราะไม่อยากให้เขาเสียใจ สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะ ผมสอบตก ต้องซ่อมเป็นครั้งแรกในชีวิต
ผมทนสภาวะแบบนี้อยู่สองปี จนขึ้น ม.๖ ผมตัดสินใจย้ายสาย ครั้นไปเรียนศิลป์ ฝรั่งเศส ก็ไม่ทัน เพราะเขาเรียนฝรั่งเศสไปสองปีแล้ว โรงเรียนยอมให้มาเรียนศิลป์ คำนวณเท่านั้น วิชาคณิตศาสตร์จึงยังตามหลอกหลอนผมต่อไปอีกปี
แม้จะแคล้วคลาดกับภาษาฝรั่งเศส แต่สุดท้าย ชีวิตผมก็หนีมันไปไม่พ้น
ถึงคราวเอ็นทรานซ์ ผมประกาศเป็นไทแก่ตัว พ่อผมยอมไม่แทรกแซงการเลือกคณะ เพราะรู้ดีว่าบังคับไม่ได้ และหากบังคับให้ผมเลือกหมอหรือวิศวะ อีก ๑๐ ชาติ ผมก็เอ็นไม่ติด จึงหันไปมอบภาระนี้ให้กับน้องชายผมแทน
ผมตั้งใจเลือก รัฐศาสตร์การทูต จุฬา และ มธ. แล้วก็รัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง จุฬา และ มธ.
เลือกได้เสี่ยงมาก แต่มั่นใจเต็มร้อย ไปลองสอบปรี เอ็นทราซ์ ก็คะแนนถึง
แต่แล้วระหว่างนั่งติวหนังสือให้เพื่อนรัก เราเปิดวิทยุไปด้วย จำได้ดีว่าเป็นกรีน เวฟ ช่วงโฆษณาประชาสัมพันธ์บอกว่า มธ เปิดโครงการสอบตรง ใน ๓ คณะ คือ นิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี และสังคมสงเคราะห์ เพื่อนผมมันอยากเรียนบัญชีที่ มธ ใจจะขาด ก็เลยชักชวนให้ผมไปเอาใบสมัครด้วยกัน ผมมองดูแล้ว ใน ๓ คณะนี้ ถ้าต้องเลือก คงเลือกนิติ
สุดท้าย ไม่เพียงแค่คณะนิติ มธ เป็นที่เรียนของผม มันยังกลายเป็นที่ทำงานและบ้านหลังที่สอง
....................
ผมไม่ชอบดนตรีไทยที่ดูอ้อนแอ้น แต่ก็ไปนั่งเป่าขลุ่ยด้วยความอิ่มเอม
ผมไม่ชอบเรียนเลข แต่ก็ยอมเอาเงินที่บ้านไปผลาญเล่นด้วยการลงเรียนพิเศษเลขเพื่อตามสาว
ผมไม่อยากเรียนสายวิทย์ คณิต แต่ก็ต้องเรียนตามความต้องการของทางบ้าน
ผมอยากเรียนภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้เรียน สุดท้ายชีวิตผมกับมันก็หวนมาเจอกันอีก
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ต้องมาเรียนกฎหมาย แต่ก็มาเรียน นอกจากเรียนทั้งชีวิตแล้ว ยังต้องเอาไปสอนคนอื่นต่ออีกด้วย
นี่เราได้เลือกทางเดินชีวิตเราเอง หรือเป็นสายลมแห่งโชคชะตาที่พัดพาเราไป
ชอบครับ
แต่ที่ชอบที่สุด คือ ดุจดาว ฮี่ฮี่ ดูแล้วอยากเกิดเป็นไวโอลิน
เสียดายมาก ผมพึ่งมารู้ว่าเธอเรียนอยู่คณะบัญชี มธ. แหม ถ้ารู้ก่อน จะได้ไปเดินแถวๆนั้น
ในความเห็นผม ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ อยู่ที่ “การเลือก”
เจ้าของชีวิตได้เลือกเส้นทางชีวิตของตน หรือไม่?
ผมมานั่งนึกย้อนดูชีวิตตนเอง มีหลายครั้งที่ผมไม่ได้เลือกชีวิตของตนเองเลย หรือถ้าเลือกก็คงเลือกเพราะปัจจัยแทรกซ้อน ไม่ได้มาจากความชอบ
เมื่อเข้ามัธยม ๑ ในวิชาดนตรี โรงเรียนผมมีให้เลือกสองอย่าง ดนตรีไทย กับ โขน
ตามประสาเด็กผู้ชาย ลิงทะโมน ก็อยากไปเต้นโขน ได้วิ่งเล่นสนุกสนาน ดีกว่าไปนั่งพับเพียบเป่าขลุ่ยไทย สีซอ ตีขิม
แต่ตอนนั้น ผมเลือกไปเรียนดนตรีไทย
เพื่อนกลุ่มผมล้วนแล้วแต่ไปเล่นโขนกันหมด มันงุนงงกันมากที่ผมตัดสินใจเลือกดนตรีไทย ซึ่งมีแต่เหล่าเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้ฉิง
เหตุผลของผมมีข้อเดียว คือ ผมชอบมิสที่สอนดนตรีไทย (โรงเรียนผมเรียกครูผู้หญิงว่า “มิส”)
ผมไปเรียนด้วยความมุมานะ จำได้ว่ามีเรียนทุกวันจันทร์ ถึงวันอาทิตย์ตอนเย็นทีไร ผมดีใจมากที่วันรุ่งขึ้นจะได้ไปเรียน ซึ่งผิดวิสัยเด็กนักเรียนทั่วไปที่ไม่ชอบวันจันทร์ คราใดที่วันจันทร์ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผมจะเซ็งมาก
เช้าๆ ผมพยายามไปให้ทันเวลาที่มิสลงเรือข้ามฟากจากคลองสานไปท่าเรือโอเรียนเต็ล
จำได้เลยว่า ช่วงนั้น เลิกเรียนแล้ว ไม่สนใจเตะฟุตบอล แต่รีบไปที่ห้องดนตรีไทย เพื่อหามุขนั่งเรือข้ามฟากกลับบ้านพร้อมมิส
ถึงบ้านทีไร เป็นต้องหยิบขลุ่ยไทยมาโซโล่ จนป๊าและม้าเอือมไปตามๆกัน
มิสคงเห็นผมเป็นแมน และขยันเกินหน้าเกินตาเพื่อนกระมัง เลยเลือกให้ผมเป็นหัวหน้าในคลาสดนตรีไทยด้วย
คงเดาได้ใช่มั้ยครับ คะแนนเป่าขลุ่ยของผมจะออกมาดีเลิศขนาดไหน แต่น่าเสียดาย ทุกวันนี้วิชาขลุ่ยไทย ผมคืนมิสไปหมดแล้ว
จะว่าไป บางครั้งปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลให้เราเลือกทางเดินชีวิต บางทีก็เป็นแรงผลักดันให้เรามุ่งมั่นได้เหมือนกัน
ขึ้นมา ม.ปลาย ช่วงต้องเตรียมเอ็นทรานซ์
ผมเกลียดวิชาคณิตศาสตร์มาก ในเวลาปกติ ผมยังไม่อยากเรียน แต่เรียนพิเศษ ผมกลับไปลงเรียน
เช่นเคยครับ เหตุจากผู้หญิง
ผมไปหลงรักนักเรียนเตรียมอุดมคนหนึ่งเข้า เพื่อนผมไปสมัครเรียนเลขของสมัย เหล่าวานิชย์ ผมตามไปด้วย ไปเจอเธอเข้า ปิ๊งเลย รุ่งขึ้น เลยรีบตามไปสมัครเรียน
เป็นคลาสเรียนน่าเบื่อ ไซน์ คอส แทน ตรีโกณ ถอดรูท อะไรก็ไม่รู้ แต่ผมก็ทดแทนความน่าเบื่อเหล่านั้นได้ด้วยการมองเธอ ผมกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่ได้ไปเรียนเลขสมัย เพราะได้มีโอกาสลุ้นพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างของผมกับเธอ
ตอนเลือกสายเรียน ม ปลาย ก็เหมือนกัน ผมรู้ตัวดีว่าไม่ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประเมินตนเองว่าถ้าเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศส คงรุ่งกว่า แต่สุดท้ายผมก็เลือกเรียนสาย วิทย์-คณิต
ค่านิยมสมัยนั้น อยากให้ดูเป็นคนเก่ง เด็กหัวดี มีคุณภาพ ก็ต้องไปเรียนสายวิทย์ เพราะเขาตั้งเกณฑ์ไว้ว่าต้องเกรดเฉลี่ย ม ต้น เกิน ๒.๕ ขึ้นไปจึงจะเรียนได้ ส่วนห้องสายศิลป์ ภาษา ก็จะมีแต่เด็กเรียนไม่ดี เด็กเกเรไปสุมหัวกัน
ตอนนั้น ผมคิดอยู่สองทาง ทางแรก ผมจะไปสมัครเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศส ที่เตรียมอุดม เพราะอย่างน้อยก็มีแต่เด็กขยันๆไปเรียนอยู่ที่นี่ ซึ่งดีกว่าห้องศิลป์ ฝรั่งเศส ของโรงเรียนผม ไหนจะออกสู่โลกกว้างได้ไปเรียนสหศึกษา กับสาวๆเป็นครั้งแรกนับแต่อนุบาล ทางที่สอง ผมจะเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศส ที่โรงเรียนเดิม เพราะ ความคุ้นเคย ทั้งคนและสถานที่ ไม่ต้องปรับตัวใหม่ สำคัญก็คือ ไม่โดนบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นตราหน้าว่าเราไม่รักโรงเรียน (มานั่งนึกๆดู ช่างเป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ)
โรงเรียนผมพยายามสกัดกั้น ไม่ยอมให้เด็กไหลออกไปเตรียมอุดม เลยจัดวันลงทะเบียนให้ตรงกับวันสอบของเตรียมอุดม ใครไม่มาวันนั้น ถือว่าสละสิทธิ์ เจอไม้นี้เข้า ผมก็เริ่มเขว เกิดไปสอบเตรียมฯไม่ติดล่ะก็ ไม่มีที่เรียนแน่ ทางบ้านและเพื่อนก็สนับสนุนให้ผมเรียนที่เดิม
ในที่สุดก็ตัดสินใจจะเรียนศิลป์ ฝรั่งเศสที่โรงเรียนเดิม
แต่แล้วพ่อผมก็บังคับให้ต้องเรียนสายวิทย์เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า “มีแต่คนเขาอยากเรียนกัน พวกที่เกรดไม่ถึง ไปวิ่งเต้นกันอุตลุด นี่เราเกรดถึงแล้วทำไมไม่เรียน เรื่องไม่ชอบเลข ฟิสิกส์ เดี๋ยวก็ขยันหน่อย ไปเรียนพิเศษเพิ่มได้” และ “จะได้ไปเอ็นทรานซ์วิศวะ หมอ”
ผมยืนกรานหัวแข็ง จนไม่พูดกันหลายวัน
วันลงทะเบียนจ่ายค่าเทอม ก่อนออกจากบ้าน ผมรับปากไปก่อนว่าจะเลือกวิทย์ คณิต แต่ในใจคิดเลือกศิลป์ ฝรั่งเศส แล้วจะปิดไว้เป็นความลับ
ผมนั่งเล่นอยู่ใต้ถุนตึก คิดกลับไปกลับมา
แล้วผมก็ไม่เด็ดเดี่ยวพอที่จะทำลายความตั้งใจของพ่อ จึงตัดสินใจเรียนสายวิทย์ คณิต ตอนนั้นคิดแค่ว่า เอาวะ เรียนเพื่อพ่อสักครั้ง ดีกว่ามาเห็นน้ำตาเขาทีหลัง
ผลที่ตามมา คือ ตลอด ม.๔ และ ม.๕ วิชาภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ ผมกวาดเกรด ๔ รวด เคมี ชีวะ พอเอาตัวรอดได้ แต่เลข ฟิสิกส์ ๐ ทุกเทอม
ที่คิดว่าจะเรียนตามใจพ่อเพราะไม่อยากให้เขาเสียใจ สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะ ผมสอบตก ต้องซ่อมเป็นครั้งแรกในชีวิต
ผมทนสภาวะแบบนี้อยู่สองปี จนขึ้น ม.๖ ผมตัดสินใจย้ายสาย ครั้นไปเรียนศิลป์ ฝรั่งเศส ก็ไม่ทัน เพราะเขาเรียนฝรั่งเศสไปสองปีแล้ว โรงเรียนยอมให้มาเรียนศิลป์ คำนวณเท่านั้น วิชาคณิตศาสตร์จึงยังตามหลอกหลอนผมต่อไปอีกปี
แม้จะแคล้วคลาดกับภาษาฝรั่งเศส แต่สุดท้าย ชีวิตผมก็หนีมันไปไม่พ้น
ถึงคราวเอ็นทรานซ์ ผมประกาศเป็นไทแก่ตัว พ่อผมยอมไม่แทรกแซงการเลือกคณะ เพราะรู้ดีว่าบังคับไม่ได้ และหากบังคับให้ผมเลือกหมอหรือวิศวะ อีก ๑๐ ชาติ ผมก็เอ็นไม่ติด จึงหันไปมอบภาระนี้ให้กับน้องชายผมแทน
ผมตั้งใจเลือก รัฐศาสตร์การทูต จุฬา และ มธ. แล้วก็รัฐศาสตร์การเมืองการปกครอง จุฬา และ มธ.
เลือกได้เสี่ยงมาก แต่มั่นใจเต็มร้อย ไปลองสอบปรี เอ็นทราซ์ ก็คะแนนถึง
แต่แล้วระหว่างนั่งติวหนังสือให้เพื่อนรัก เราเปิดวิทยุไปด้วย จำได้ดีว่าเป็นกรีน เวฟ ช่วงโฆษณาประชาสัมพันธ์บอกว่า มธ เปิดโครงการสอบตรง ใน ๓ คณะ คือ นิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี และสังคมสงเคราะห์ เพื่อนผมมันอยากเรียนบัญชีที่ มธ ใจจะขาด ก็เลยชักชวนให้ผมไปเอาใบสมัครด้วยกัน ผมมองดูแล้ว ใน ๓ คณะนี้ ถ้าต้องเลือก คงเลือกนิติ
สุดท้าย ไม่เพียงแค่คณะนิติ มธ เป็นที่เรียนของผม มันยังกลายเป็นที่ทำงานและบ้านหลังที่สอง
....................
ผมไม่ชอบดนตรีไทยที่ดูอ้อนแอ้น แต่ก็ไปนั่งเป่าขลุ่ยด้วยความอิ่มเอม
ผมไม่ชอบเรียนเลข แต่ก็ยอมเอาเงินที่บ้านไปผลาญเล่นด้วยการลงเรียนพิเศษเลขเพื่อตามสาว
ผมไม่อยากเรียนสายวิทย์ คณิต แต่ก็ต้องเรียนตามความต้องการของทางบ้าน
ผมอยากเรียนภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้เรียน สุดท้ายชีวิตผมกับมันก็หวนมาเจอกันอีก
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ต้องมาเรียนกฎหมาย แต่ก็มาเรียน นอกจากเรียนทั้งชีวิตแล้ว ยังต้องเอาไปสอนคนอื่นต่ออีกด้วย
นี่เราได้เลือกทางเดินชีวิตเราเอง หรือเป็นสายลมแห่งโชคชะตาที่พัดพาเราไป
8 ความคิดเห็น:
การที่เราได้มาอยู่ในที่ๆหนึ่ง หรือได้พบเจอคนๆหนึ่ง ผมเชื่อว่ามันเกิดจากโชคชะตานะ เป็นความเชื่อของผม และผมก็เชื่อด้วยว่า โชคชะตามีแผนการสำหรับผมอยู่เสมอ ทำให้ผมไม่นึกเสียใจที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ เพราะผมรู้ว่า มันถูกกำหนดและวางแผนไว้ผมได้เจอ ได้เรียนรู้ ได้เติบโตจากมัน
ฟังดูคล้ายๆ ความเชื่อเรื่องพระเจ้า แต่ก็ไม่ใช่หรอก ... อืม จะว่าไปมันก็มีอิทธิพลมาเหมือนกัน คงเป็นเพราะผมก็อยู่ในโรงเรียนที่เรียกครูผู้ชายว่า "มาสเซอร์" มังครับ :-)
ผมก็ตกฟิสิกส์เทอมสุดท้ายแฮะ - -"
กว่าจะจบม.ปลายได้นี่จะแย่เอา
(ทั้ง ๆ ที่ตอนม.ต้นเกรดก็โอเคนะ เค้าถึงคัดให้ไปเรียนห้องสพพ. โครงการสองปีจบ)
แต่เลขนี่ผมโอเคนะ หมายถึงเลขม.ปลาย 4 บ้าง 3 บ้าง แต่บางทีก็ 2 :P
แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมเอนท์ติด(สายวิทย์-คณิต)เพราะ สามัญ 1 (ภาษาไทย สังคม) กับ ภาษาอังกฤษ !
แล้วก็ไม่เรียนที่เอนท์ติด ดันไปเอาสอบตรงของ มธ. เช่นกัน
(สถาบันที่ใคร ๆ ก็บอกว่า มีแต่พวกเอนท์ไม่ติดไปเรียน :P)
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เรียนป.ตรี ไอที .. วิทยาศาสตร์
ป.โท ขยับออกมาเป็น cognitive science + natural language มันออกแนว ๆ คอมพิวเตอร์+ภาษาศาสตร์+จิตวิืทยานิดหน่อย .. มนุษยศาสตร์
แล้วตอนนี้ทำไมมาสนใจสังคมศาสตร์วะ ? - -"
----
ถึงผมจะไม่ชอบให้ใครมากำหนดอะไรตัวผม
แต่ผมก็เชื่อเรื่อง "โชคชะตา" นะ
คือไม่ได้คิดว่ามีใครมากำหนดอะไรหรอก
แต่เชื่อว่า สถานการณ์ที่มันแตกต่างแค่นิดเดียว มันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากได้ (ทฤษฎีความอลวน Chaos Theory)
ผมชอบเรื่อง Sliding Doors มาก
แต่ก็ชอบเรื่อง Gattaca เช่นกัน
พอคิดได้อย่างนั้น
ก็เลยคิดว่าตัวเองโชคดีด้วย ที่ยังไม่เจออะไรร้าย ๆ มาก ๆ (ขอขอบคุณ)
(มาจากโรงเรียนประเภทนั้นเหมือนกัน :P)
ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเป็นทนายเลย
พับผ่า...
เกรดเลขผมได้ 4 3 2 1 0 0 ครับ
เห็นพัฒนาการภายในตัวผมชัดเจน
ดาร์วินครับ ดาร์วิน
มันคัดสรรเองว่าตัวเองแข็งแรงสุดในด้านใด
555
ผมเลือกด้วยตัวเองมาทั้งชีวิต ในศักยภาพที่ตนพึงมี พึงเป็น
แต่ความคิดผม หลักการ ก็มีพลวัตรมาทั้งชีวิต
ที่เห็นชัดที่สุดคือการออกจากกะลาครอบที่ผมมีอยู่อย่างแน่นหนาลงกลอนปิดตายไม่เคยคิดจะออกมา
ไม่ว่าเส้นทางหรือแนวทางของชีวิตผมจะเหมือนหรือแตกต่างใครหรือไม่ก็ตาม
แต่ผมรู้สึกว่าผมได้เรียนรู้จากผู้คน ทุกคน ที่เส้นชีวิตพาดผ่านมากมายเหลือเกิน จนมันเลยเถิดไปเรียนรู้กับสิ่งที่มีชีวิตมาก่อนผมตั้งหลายหมื่นปี
นั่นคือธรรมชาติ
ขอบคุณกลุ่มบุคคล(ที่ไม่ใช่คณะบุคคล 55) หนังสือ และธรรมชาติ ทั้งหลายที่กะเทาะผมออกมาจากความโง่งม สู่ความโง่ ครับ
แจ่มไปเลย!
เซ็งอาจารย์สอนวิทย์สมัย ม.3
เลยทำให้เบนเข็มตัดสินใจ ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง
เลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศส (ชอบภาษาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)เลือกได้แบบไม่ต้องกังวล หรือลังเลใจ ว่าจะเอาไงดีวะ วิทย์ หรือศิลป์ (เพราะ สมัยนั้นโดนเป่าหูกันจริงๆว่า ถ้าใครเลือกสายภาษา ก็เพราะเรียนห่วยแตก เกรดก็น้อย)
ถ้าตอนนั้นเลือกเรียนสายวิทย์ ตอนนี้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้แฮะ หลังเรียนจบมหาลัย อยู่ดีๆ บังเอิญ เจอลายมือตัวเองสมัยป.3 คุณครูให้เขียนในเศษกระดาษว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร อืม ก็ได้เรียนคณะที่ตอนเด็กๆ ใฝ่ฝันจริงๆ ประหลาดดีแฮะ
จากนี้ไป ก็ไม่ค่อยมีแผนการชีวิตแล้ว
เป็นไงก็เป็นกัน แล้วแต่ สายลมแห่งโชคชะตา
(แหวะ 55)
นึกถึงการเรียนและการเลือกในการทำงานแล้ว คงจะบอกว่า ไม่ได้สอดคล้องกันเลย สมัยเรียนชอบพวกวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาก ๆ โดยเฉพาะวิชาพวกนี้ ได้คะแนนสูงสุดมาโดยตลอด (สูงสุดตั้งแต่โรงเรียนเคยมีการวัดผลกันมาเลยก็ว่าได้)
วิชาการด้านภาษานับว่า อ่อนที่สุด เท่าที่จำได้ แม้จะได้เกรดไม่ตกก็ตาม แต่เรื่องความเข้าใจในเนื้อหา และการนำไปใช้แล้ว นับว่าไม่ดีเลยก็ว่าได้ ภาษากับพี่ เลยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ไม่ได้เรื่องเลยก็ว่าได้
เรื่องเลือกที่จะเรียนนี่ ค่อนข้างเป็นไปได้น้อยในวัยเยาว์ที่ต้องให้พ่อแม่ดูแลส่งเสียในเรื่องการเรียน ท่านอยากให้เรียนอะไรก็เรียน ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการเลือกหรือโต้แย้งอะไร
มาเรียนโรงเรียนตำรวจนี้ มีวิชาที่ชอบเพียงวิชาเดียว คือ วิชาสถิติเพื่อการวิจัย แค่นั้น ส่วนวิชาการที่ไม่เคยถนัด ในด้านวิชาท่องจำ กับกลายเป็นเนื้อหาหลักที่จะต้องมาให้ความสนใจอย่างยิ่ง
แม้กระทั่งตอนมาเรียนกฎหมายที่ ธรรมศาสตร์ นี่ ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่โชคชะตามากกว่า เพราะไม่เคยตั้งใจเรียนด้านกฎหมายอย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนเป็นนายร้อยเวรสอบสวน ถูกทนายดูถูกเหยียดหยามในความรู้ความสามารถ เพราะเหตุไม่ได้จบนิติศาสตร์ แค่นั้น เลยต้องหันมาเรียน และเรียนจนถึงทุกวันนี้
อาจจะกล่าวได้ว่า มันเป็นวาสนามั๊ง ..... ตอนนี้ คงกลับลำไม่ได้แล้ว มาแล้วก็ทำดีที่สุด .... ดีใจกับน้องที่เห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดี และมีความสุขที่ได้เลือกได้ทำนะครับ
นึกถึงการ์ตูนเรื่องเบอร์เซิร์กทุกครั้งเวลาคิดถึงโชคชะตาในชีวิต บางครั้งเราก็ไม่ได้เลือก แต่รุ้สึกตัวอีกครั้งเราก็กำลังอยู่ในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งไปแล้ว
ฟังจากเรื่องราวดูแล้วสถานที่ออกคุ้นๆ ของผมมีให้เลือกระหว่าง โขน ดนตรีไทย และภาษาจีน!
ผมเลือกดนตรีไทย เพราะไม่นึกอยากเล่นโขน หรือสนใจในภาษาจีน
เสียดายว่าปีที่ผมเรียนเป็นมาตเซอร์สอนซะอย่างนั้น
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก