ขำไม่ออก และ วิภาคแห่งวิพากษ์
ขำไม่ออก
๑. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องการ นายกฯพระราชทาน
๒. เพลงแองแตร์นาซิยงนาล เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา สามารถร้องบนเวทีเดียวกันกับ เพลงหนักแผ่นดิน เพลงความฝันอันสูงสุด เพลงเราสู้
เพลงแองแตร์นาซิยงนาล เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เพลงคนกับควาย เพลงถั่งโถมโหมแรงไฟ ปรากฏบนเวทีนายกฯพระราชทาน
๓. บทกลอนของวิสา คัญทัพ "ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" ปรากฏบนเวทีนายกฯพระราชทาน
๔. ใส่เสื้อเช ใส่เสื้อดาวแดง ใส่หมวกกรีนแบเร่ต์ติดดาวแดง แต่ไปชุมนุมกับเวทีนายกฯพระราชทาน ไปชี้หน้าว่าคนอื่นเป็นคอมมิวนิสต์
๕. ปฏิญญาธรรมศาสตร์ ของขบวนการสนธิ พิจารณาจาก การอภิปราย เนื้อหา วัตถุประสงค์ ตลอดจนวาระซ่อนเร้นแล้ว ไม่น่าสอดคล้องกับ มธ.
ต้องยอมรับว่า ไม่มากก็น้อย ชื่อ มธ. ยังพอมีอะไรๆอยู่บ้างที่สะท้อนถึงความเป็น มธ. การปล่อยให้ขบวนการสนธิเอาไปใช้เช่นนี้ จะเหมาะสมหรือ? แค่มาประชุมใน มธ. แล้วเหมาเอาชื่อ มธ. ไปใช้ คงไม่มีเหตุเพียงพอกระมัง
๖. ปราโมทย์ ชัยอนันต์ โสภณ สนธิ เจิมศักดิ์ คำนูณ ใช้สูตรเดิมๆของขบวนการ “ขวาพิฆาตซ้าย”
๗. เปลี่ยนชื่อ “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ถือว่าไม่จงรักภักดี
๘. ตั้งพรรควันที่ ๑๔ ก.ค. ซึ่งตรงกับวันปฏิวัติฝรั่งเศส ถือว่าไม่จงรักภักดี
๙. ไปฟินแลนด์พูดคุยเรื่องตั้งพรรคการเมือง พ้องกับที่เลนินไปกบดานก่อนกลับมาโค่นพระเจ้าซาร์ปี ๑๙๑๗ ถือว่าไม่จงรักภักดี
๑๐. ปฏิรูประบบราชการไม่ได้ เพราะมีมาแต่สมัย ร.๕ มิฉะนั้นถือว่าไม่จงรักภักดี น่าเศร้ากว่าที่ชัยอนันต์ สมุทวณิช ราชบัณฑิตทางรัฐศาสตร์ กูรูทางปฏิรูประบบราชการ เจ้าของตำราคลาสสิก “รัฐ” และ “๑๐๐ ปี ปฏิรูประบบราชการไทย” เข้าร่วมกับเวทีที่กล่าวหานั้นด้วย
หรือว่าบ้านเราไม่มีหลัก ไม่มีอุดมการณ์ที่แน่นอน ถาวร มั่นคง ไม่คำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ หาก "ฉวยโอกาส" เอามาใช้ได้ตามสถานการณ์?
...............
เอาคอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์ หน้า ๓ ของมติชน วันที่ ๒๔ และ ๒๕ พ.ค. มาฝาก
-๑-
สังคม ฐาน "ความรู้" สังคม แห่ง ศตวรรษที่ 21 ศึกษา "การปล่อยข่าว"
การที่คนของ เตียวล่อ จะออกไป ปล่อยข่าว ด้วยการกระซิบในหมู่ราษฎรให้ร้ายเกี่ยวกับ ม้าเฉียว แล้วบางส่วนจะเชื่อถือ เห็นชอบด้วย
มิได้เป็นเรื่องแปลก
ที่ว่ามิได้เป็นเรื่องแปลกมิใช่ว่าจะมองข้ามลักษณะบริสุทธิ์โดยพื้นฐานของมวลชน หากแต่อยู่ที่องค์ประกอบที่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของฝ่ายใด
เป็นของฝ่าย เตียวล่อ หรือว่าเป็นฝ่ายม้าเฉียว
กระนั้น หากจะมีการยกระดับข่าวปล่อยที่มาจากคนของ เตียวล่อ ให้พัฒนาขึ้นให้มีลักษณะที่ครอบคลุมทั้งเสฉวน ให้มีลักษณะที่ครอบคลุมทั่วทั้งดินแดนตงง้วน ก็จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือมากกว่าการกระซิบเพียงอย่างเดียว
แท้จริงแล้ว กระบวนการกระซิบนั้น เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดำเนินไป อย่างยาวนานอย่างยิ่ง
ยาวนานตั้งแต่เริ่มมี ภาษา อันเป็นข้อตกลงร่วมในทางสังคม
ยาวนานตั้งแต่การก่อรูปขึ้นของมนุษย์ที่พัฒนามาจากมนุษย์วานรมีลักษณะทางสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกันในยุคแห่งชุมชนบุพกาล
นั่นเป็นเรื่องของมวลชน นั่นเป็นเรื่องของแต่ละปัจเจกบุคคล
สภาพที่คนๆ หนึ่งได้ข่าวมาอย่างหนึ่งแล้วนำไปบอกกล่าวกับอีกคนหนึ่ง หากเป็นเรื่องส่วนบุคคลก็มิได้เป็นเรื่องแปลก
เป็นเรื่องที่สามารถดำเนินไปอย่างเป็นปกติ
เพราะนี่คือกระบวนการแจ้งข่าวสารเยี่ยงคนที่รู้จักกันและต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้ข่าวสารอย่างทัดเทียมกัน
เพียงแต่ว่าหากนำเอาข่าวสารนั้นกระจายไปสู่สาธารณะก็จำเป็นต้องมีการกรอง
กระบวนการกรองข่าวที่ดีที่สุดก็คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าข่าวสารนั้นมีข้อมูล ความเป็นจริง มากน้อยเพียงใด
ที่ว่าเป็นจริงมิได้หมายความว่าเป็นจริงอย่างที่เราคิด
ตรงกันข้าม ที่ว่าเป็นจริงนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานรองรับอย่างแน่นหนาและเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
ปมเงื่อนตรงนี้เองที่ต้องใช้หลักแห่งกาลามสูตรมาเป็นเครื่องมือ
นั่นก็คือ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา ด้วยการถือสืบๆ กันมา ด้วยการเล่าลือด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ด้วยตรรกะ ด้วยการอนุมาน ด้วยการคิดตรองตามแนว เหตุผล เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ เพราะนับถือว่าเป็นครูของเรา
การปลงใจเชื่อโดยมองข้ามหลักแห่งกาลามสูตรนั้นเองที่นำไปสู่ความผิดพลาดอย่างสำคัญ
นั่นก็คือ การปลงใจเชื่อโดยไม่มีการตรวจสอบนั่นก็คือ การปลงใจเชื่อเพราะการคิดเอง เออเอง
น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นยังอยู่ที่ว่า ทั้งๆ ที่รับข้อมูลข่าวสารหนึ่งมาอยู่ในมือโดยไม่มีการตรวจสอบว่าข้อมูลเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
แต่ได้นำเอาข้อมูลข่าวสารนั้นไปเผยแพร่ต่อ
เป็นการเผยแพร่ต่อโดยมีเป้าหมายที่เห็นว่าข้อมูลข่าวสารนั้นจะนำไปสู่การทำลายบุคคลและกลุ่มบุคคลอันเป็นปรปักษ์ของตน
โดยไม่คำนึงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องเท็จ
หากคนๆ นั้นเป็นนักพูด นักอภิปราย ก็ถือได้ว่าเป็นนักพูด นักอภิปราย ที่ไร้ความรับผิดชอบในเรื่องข้อเท็จจริง
หากคนๆ นั้นเป็นนักเขียน ก็ถือได้ว่าเป็นนักเขียนที่ไร้ความรับผิดชอบในเรื่องข้อเท็จจริง
มุ่งเอาสีสัน มุ่งเอาความมัน มุ่งเอาการทำร้ายโค่นล้มปรปักษ์มาอยู่เหนือกว่าสัจจะและความเป็นจริง มุ่งเอาความเด่นความดัง และกระทั่งมุ่งเอาการให้ร้ายป้ายสีเป็นเหมือนบันไดหกในทางการเมือง
ในที่สุดแล้วก็แยกจำแนกไม่ได้ระหว่าง อกุศล กับ กุศล
ในที่สุดแล้วก็แยกจำแนกไม่ได้ระหว่าง มีโทษ กับ ไม่มีโทษ
ปมเงื่อนสำคัญก็คือ การเอาประโยชน์เฉพาะหน้าทางการเมืองมาบดบังความเป็นจริงที่แท้จริง มาบดบังสำนึกแห่งความรับผิดชอบในทางจริยธรรม
ทุกสังคมปรารถนาเห็นความรู้ ไม่ว่าความรู้เชิงธรรมชาติหรือความรู้เชิงสังคม
กระนั้น ความรู้ก็ต้องอยู่บนฐานแห่งความจริง
การแสวงหาความรู้บนฐานแห่งความจริงก่อให้ความรู้นั้นมีความบริบูรณ์ มีความสมบูรณ์เป็นคุณ
นั่นก็คือ นำไปสู่ความรู้ที่แท้ นำไปสู่ความจริงที่จริงแท้
-๒-
สังคม ฐาน "ความรู้" สังคม แห่ง ศตวรรษที่ 21 ศึกษา "นักรัฐศาสตร์"
การที่คนคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อ ข่าวลือ การที่คนคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อ ข่าวปล่อย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยและการลือผ่านปากต่อปาก ผ่านสื่อทั้งสื่อเย็นและสื่อร้อน ผ่านสื่อรุ่นเก่าและสื่อรุ่นใหม่
มิได้เป็นเรื่องแปลก มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของ ขงเบ้ง ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของ พระยาเม็งราย ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของ สุนทรภู่ ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของท่าน เทียนวรรณ ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของท่าน หอม นิลรัตน์ ณ อยุธยา
กระบวนการข่าวลือ ล้วนสามารถ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ดำเนินไป
กระบวนการ ข่าวปล่อย ล้วนสามารถ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ดำเนินไป
แม้ในยุคแห่งข่าวสาร ข้อมูล ที่สื่อร้อนเช่นโทรทัศน์ดำรงอยู่คู่เคียงมากับสื่อเย็นเช่นหนังสือพิมพ์
กระบวนการ ข่าวลือ กระบวนการ ข่าวปล่อย ก็ยังดำรงอยู่และดำเนินไป
แม้ในยุคแห่งการเติบใหญ่พัฒนาในลักษณะก้าวกระโดดของสื่อสมัยใหม่เช่น เว็บไซต์ ออนไลน์ ที่ไหลลื่นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โลกกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ได้ภายในพริบตาพลัน
กระบวนการ ข่าวลือ กระบวนการ ข่าวปล่อย ก็ยังดำรงอยู่และดำเนินไป
น่าเศร้าก็ตรงที่เป็นการเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไป โดยที่มิได้อาศัยเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ การเก็บรับ ข่าวลือ การเก็บรับ ข่าวปล่อย โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจริงจัง สร้างความเสียหายให้กับตนเองอยู่แล้วในระดับที่แน่นอนหนึ่ง
การแพร่ ข่าวลือ การแพร่ ข่าวปล่อย ที่มิได้มีการตรวจสอบยิ่งเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงมากยิ่งกว่าเพราะว่าเท่ากับส่งสารอย่างขาดไร้ซึ่งความรับผิดชอบ
น่าเศร้าอย่างยิ่งก็ตรงที่ประดาคนซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ ข่าวลือ เผยแพร่ ข่าวปล่อย อย่างเอาการเอางานอยู่ในขณะนี้นั้น
จำนวนหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็น นักรัฐศาสตร์
จำนวนหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็น เอ็นจีโอ ที่มีพื้นฐานในทางวิศวกรรมศาสตร์ เคยทำงานใกล้ชิดอยู่กับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติภูมิจากการสร้างความปรองดองขึ้นในชาติบ้านเมือง
โดยความเป็น นักรัฐศาสตร์ น่าจะสามารถเข้าถึงความรู้ ความจริง ได้ลึกซึ้ง
อย่างน้อยก็ลึกซึ้งมากกว่าชาวบ้านที่เรียนน้อย รู้น้อย ส่วนใหญ่ ยิ่งเป็นดุษฎีบัณฑิตยิ่งชวนให้เข้าใจว่ามากด้วยความรอบรู้
เช่นเดียวกับความเป็นวิศวกรน่าจะอยู่ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แห่งการตรวจสอบ
น่าแปลกที่ความปั่นป่วนวุ่นวายภายในสังคมส่งผลให้ นักรัฐศาสตร์ จำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ วิศวกร จำนวนหนึ่ง เกิดความสับสน
สับสนและหลงเชื่อโดยไม่ผ่านกระบวนการครุ่นคิดตามหลัก "กาลามสูตร" แห่งพุทธองค์
สังคมเคยเชื่อว่า ปัญญาชน นักวิชาการ ที่ได้ดุษฎีบัณฑิตมาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ
พูดอะไรก็ต้องล้างหูน้อมรับฟังด้วยความนบนอบ
สังคมเคยเชื่อว่า นักพัฒนาสังคมที่อ้างว่ารักคนยากคนจน เชื่อมั่นในแนวทางประชาธิปไตย เชื่อมั่นในพลังของมวลมหาประชาชน เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ
พูดอะไรก็ต้องล้างหูน้อมรับฟังด้วยความนบนอบ
แต่สถานการณ์การเคลื่อนไหวทางสังคม การเคลื่อนไหวทางการเมือง ในระยะหลัง เริ่มสร้างความไม่แน่ใจ
สังคมมีความไม่แน่ใจกับพฤติกรรมของ "เด็กเลี้ยงแกะ" นั้นแน่นอนอย่างยิ่งอยู่แล้ว
แต่เมื่อประสบเข้ากับสภาพที่ ปัญญาชน นักวิชาการ นักพัฒนาสังคม นำเอา ข่าวลือ นำเอา ข่าวปล่อย ที่ปั้นน้ำเป็นตัวโดย "เด็กเลี้ยงแกะ" มาเผยแพร่ด้วยความเชื่อมั่นอย่างหัวปักหัวปำ
จึงยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่าในที่สุดจุดต่างระหว่าง "เด็กเลี้ยงแกะ" กับ "นักรัฐศาสตร์" นั้นอยู่ที่ไหน
ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ที่ความไม่แน่ใจว่า กระบวนการขับเคลื่อน กระบวนการอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองมีบรรทัดฐานอยู่ที่ไหนและตรงไหน
มีบรรทัดฐานอยู่ที่ความรู้ มีบรรทัดฐานอยู่ที่ความจริง หรือโดยการกุข่าว ลวงโลก
ในที่สุด ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนในเรื่องของ "ฐานความรู้"
ในที่สุด ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนในเรื่องของ "ฐานความจริง"
ในที่สุด ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนในเรื่องของ "ฐานคุณธรรม"
ว่าจะชำแรกแทรกซ่านอยู่ในกระบวนการแสวงหาความรู้และกระบวนการแสวงหาความจริงได้อย่างไร
หากความรู้และความจริงดำเนินไปอย่างไร้คุณธรรมเสียแล้วจะยังมีคุณค่าอันใดได้อีกเล่า
.................
คนที่เขียน หน้า ๓ ในมติชนรายวัน เป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นคนเดียวกันกับคนที่ใช้ลายเซ็น "บรรณาธิการบริหาร" ในมติชนสุดสัปดาห์
คนที่ใช้ลายเซ็น "บรรณาธิการบริหาร" ในมติชนสุดสัปดาห์ เป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นคนเดียวกันกับ เสถียร จันทิมาธร
เสถียร จันทิมาธร เป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นคนคนเดียวกันกับ นักเขียนรางวัลศรีบูรพา
ในระยะหลังสังเกตได้ว่างานเขียนของเสถียร จันทิมาธร ไม่เห็นด้วยกับขบวนการสนธิเท่าไรนัก
สร้างความฉุนเฉียวให้สนธิไม่น้อย
จะเห็นได้จากสุรวิชช์ วีรวรรณ คอลัมนิสต์ผู้จัดการเขียนโจมตีเสถียรใน "สไตล์ผู้จัดการ บวก ซ้อเจ็ด บวก เซี่ยงเส้าหลง" กล่าวคือ ไม่อัดตรงๆแต่อ้อมๆใบ้ๆเอา
ตามมาด้วยสนธิเอาปกมติชนสัปดาห์ ตอนกษัตริย์เนปาล ไปวิจารณ์ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
เห็นข้อเขียนของเสถียรล่าสุดแล้ว
บอกได้ว่า "แรง" ทีเดียว แต่จะ "แรง" ขนาดไหน ต้องติดตามปฏิกริยาจากสนธิต่อไป
๑. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต้องการ นายกฯพระราชทาน
๒. เพลงแองแตร์นาซิยงนาล เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา สามารถร้องบนเวทีเดียวกันกับ เพลงหนักแผ่นดิน เพลงความฝันอันสูงสุด เพลงเราสู้
เพลงแองแตร์นาซิยงนาล เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เพลงคนกับควาย เพลงถั่งโถมโหมแรงไฟ ปรากฏบนเวทีนายกฯพระราชทาน
๓. บทกลอนของวิสา คัญทัพ "ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" ปรากฏบนเวทีนายกฯพระราชทาน
๔. ใส่เสื้อเช ใส่เสื้อดาวแดง ใส่หมวกกรีนแบเร่ต์ติดดาวแดง แต่ไปชุมนุมกับเวทีนายกฯพระราชทาน ไปชี้หน้าว่าคนอื่นเป็นคอมมิวนิสต์
๕. ปฏิญญาธรรมศาสตร์ ของขบวนการสนธิ พิจารณาจาก การอภิปราย เนื้อหา วัตถุประสงค์ ตลอดจนวาระซ่อนเร้นแล้ว ไม่น่าสอดคล้องกับ มธ.
ต้องยอมรับว่า ไม่มากก็น้อย ชื่อ มธ. ยังพอมีอะไรๆอยู่บ้างที่สะท้อนถึงความเป็น มธ. การปล่อยให้ขบวนการสนธิเอาไปใช้เช่นนี้ จะเหมาะสมหรือ? แค่มาประชุมใน มธ. แล้วเหมาเอาชื่อ มธ. ไปใช้ คงไม่มีเหตุเพียงพอกระมัง
๖. ปราโมทย์ ชัยอนันต์ โสภณ สนธิ เจิมศักดิ์ คำนูณ ใช้สูตรเดิมๆของขบวนการ “ขวาพิฆาตซ้าย”
๗. เปลี่ยนชื่อ “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ถือว่าไม่จงรักภักดี
๘. ตั้งพรรควันที่ ๑๔ ก.ค. ซึ่งตรงกับวันปฏิวัติฝรั่งเศส ถือว่าไม่จงรักภักดี
๙. ไปฟินแลนด์พูดคุยเรื่องตั้งพรรคการเมือง พ้องกับที่เลนินไปกบดานก่อนกลับมาโค่นพระเจ้าซาร์ปี ๑๙๑๗ ถือว่าไม่จงรักภักดี
๑๐. ปฏิรูประบบราชการไม่ได้ เพราะมีมาแต่สมัย ร.๕ มิฉะนั้นถือว่าไม่จงรักภักดี น่าเศร้ากว่าที่ชัยอนันต์ สมุทวณิช ราชบัณฑิตทางรัฐศาสตร์ กูรูทางปฏิรูประบบราชการ เจ้าของตำราคลาสสิก “รัฐ” และ “๑๐๐ ปี ปฏิรูประบบราชการไทย” เข้าร่วมกับเวทีที่กล่าวหานั้นด้วย
หรือว่าบ้านเราไม่มีหลัก ไม่มีอุดมการณ์ที่แน่นอน ถาวร มั่นคง ไม่คำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ หาก "ฉวยโอกาส" เอามาใช้ได้ตามสถานการณ์?
...............
เอาคอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์ หน้า ๓ ของมติชน วันที่ ๒๔ และ ๒๕ พ.ค. มาฝาก
-๑-
สังคม ฐาน "ความรู้" สังคม แห่ง ศตวรรษที่ 21 ศึกษา "การปล่อยข่าว"
การที่คนของ เตียวล่อ จะออกไป ปล่อยข่าว ด้วยการกระซิบในหมู่ราษฎรให้ร้ายเกี่ยวกับ ม้าเฉียว แล้วบางส่วนจะเชื่อถือ เห็นชอบด้วย
มิได้เป็นเรื่องแปลก
ที่ว่ามิได้เป็นเรื่องแปลกมิใช่ว่าจะมองข้ามลักษณะบริสุทธิ์โดยพื้นฐานของมวลชน หากแต่อยู่ที่องค์ประกอบที่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของฝ่ายใด
เป็นของฝ่าย เตียวล่อ หรือว่าเป็นฝ่ายม้าเฉียว
กระนั้น หากจะมีการยกระดับข่าวปล่อยที่มาจากคนของ เตียวล่อ ให้พัฒนาขึ้นให้มีลักษณะที่ครอบคลุมทั้งเสฉวน ให้มีลักษณะที่ครอบคลุมทั่วทั้งดินแดนตงง้วน ก็จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือมากกว่าการกระซิบเพียงอย่างเดียว
แท้จริงแล้ว กระบวนการกระซิบนั้น เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดำเนินไป อย่างยาวนานอย่างยิ่ง
ยาวนานตั้งแต่เริ่มมี ภาษา อันเป็นข้อตกลงร่วมในทางสังคม
ยาวนานตั้งแต่การก่อรูปขึ้นของมนุษย์ที่พัฒนามาจากมนุษย์วานรมีลักษณะทางสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกันในยุคแห่งชุมชนบุพกาล
นั่นเป็นเรื่องของมวลชน นั่นเป็นเรื่องของแต่ละปัจเจกบุคคล
สภาพที่คนๆ หนึ่งได้ข่าวมาอย่างหนึ่งแล้วนำไปบอกกล่าวกับอีกคนหนึ่ง หากเป็นเรื่องส่วนบุคคลก็มิได้เป็นเรื่องแปลก
เป็นเรื่องที่สามารถดำเนินไปอย่างเป็นปกติ
เพราะนี่คือกระบวนการแจ้งข่าวสารเยี่ยงคนที่รู้จักกันและต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้ข่าวสารอย่างทัดเทียมกัน
เพียงแต่ว่าหากนำเอาข่าวสารนั้นกระจายไปสู่สาธารณะก็จำเป็นต้องมีการกรอง
กระบวนการกรองข่าวที่ดีที่สุดก็คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าข่าวสารนั้นมีข้อมูล ความเป็นจริง มากน้อยเพียงใด
ที่ว่าเป็นจริงมิได้หมายความว่าเป็นจริงอย่างที่เราคิด
ตรงกันข้าม ที่ว่าเป็นจริงนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานรองรับอย่างแน่นหนาและเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
ปมเงื่อนตรงนี้เองที่ต้องใช้หลักแห่งกาลามสูตรมาเป็นเครื่องมือ
นั่นก็คือ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา ด้วยการถือสืบๆ กันมา ด้วยการเล่าลือด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ด้วยตรรกะ ด้วยการอนุมาน ด้วยการคิดตรองตามแนว เหตุผล เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ เพราะนับถือว่าเป็นครูของเรา
การปลงใจเชื่อโดยมองข้ามหลักแห่งกาลามสูตรนั้นเองที่นำไปสู่ความผิดพลาดอย่างสำคัญ
นั่นก็คือ การปลงใจเชื่อโดยไม่มีการตรวจสอบนั่นก็คือ การปลงใจเชื่อเพราะการคิดเอง เออเอง
น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นยังอยู่ที่ว่า ทั้งๆ ที่รับข้อมูลข่าวสารหนึ่งมาอยู่ในมือโดยไม่มีการตรวจสอบว่าข้อมูลเป็นจริงมากน้อยเพียงใด
แต่ได้นำเอาข้อมูลข่าวสารนั้นไปเผยแพร่ต่อ
เป็นการเผยแพร่ต่อโดยมีเป้าหมายที่เห็นว่าข้อมูลข่าวสารนั้นจะนำไปสู่การทำลายบุคคลและกลุ่มบุคคลอันเป็นปรปักษ์ของตน
โดยไม่คำนึงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องเท็จ
หากคนๆ นั้นเป็นนักพูด นักอภิปราย ก็ถือได้ว่าเป็นนักพูด นักอภิปราย ที่ไร้ความรับผิดชอบในเรื่องข้อเท็จจริง
หากคนๆ นั้นเป็นนักเขียน ก็ถือได้ว่าเป็นนักเขียนที่ไร้ความรับผิดชอบในเรื่องข้อเท็จจริง
มุ่งเอาสีสัน มุ่งเอาความมัน มุ่งเอาการทำร้ายโค่นล้มปรปักษ์มาอยู่เหนือกว่าสัจจะและความเป็นจริง มุ่งเอาความเด่นความดัง และกระทั่งมุ่งเอาการให้ร้ายป้ายสีเป็นเหมือนบันไดหกในทางการเมือง
ในที่สุดแล้วก็แยกจำแนกไม่ได้ระหว่าง อกุศล กับ กุศล
ในที่สุดแล้วก็แยกจำแนกไม่ได้ระหว่าง มีโทษ กับ ไม่มีโทษ
ปมเงื่อนสำคัญก็คือ การเอาประโยชน์เฉพาะหน้าทางการเมืองมาบดบังความเป็นจริงที่แท้จริง มาบดบังสำนึกแห่งความรับผิดชอบในทางจริยธรรม
ทุกสังคมปรารถนาเห็นความรู้ ไม่ว่าความรู้เชิงธรรมชาติหรือความรู้เชิงสังคม
กระนั้น ความรู้ก็ต้องอยู่บนฐานแห่งความจริง
การแสวงหาความรู้บนฐานแห่งความจริงก่อให้ความรู้นั้นมีความบริบูรณ์ มีความสมบูรณ์เป็นคุณ
นั่นก็คือ นำไปสู่ความรู้ที่แท้ นำไปสู่ความจริงที่จริงแท้
-๒-
สังคม ฐาน "ความรู้" สังคม แห่ง ศตวรรษที่ 21 ศึกษา "นักรัฐศาสตร์"
การที่คนคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อ ข่าวลือ การที่คนคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อ ข่าวปล่อย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยและการลือผ่านปากต่อปาก ผ่านสื่อทั้งสื่อเย็นและสื่อร้อน ผ่านสื่อรุ่นเก่าและสื่อรุ่นใหม่
มิได้เป็นเรื่องแปลก มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของ ขงเบ้ง ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของ พระยาเม็งราย ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของ สุนทรภู่ ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของท่าน เทียนวรรณ ไม่ว่าจะเป็นสังคมในยุคของท่าน หอม นิลรัตน์ ณ อยุธยา
กระบวนการข่าวลือ ล้วนสามารถ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ดำเนินไป
กระบวนการ ข่าวปล่อย ล้วนสามารถ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ดำเนินไป
แม้ในยุคแห่งข่าวสาร ข้อมูล ที่สื่อร้อนเช่นโทรทัศน์ดำรงอยู่คู่เคียงมากับสื่อเย็นเช่นหนังสือพิมพ์
กระบวนการ ข่าวลือ กระบวนการ ข่าวปล่อย ก็ยังดำรงอยู่และดำเนินไป
แม้ในยุคแห่งการเติบใหญ่พัฒนาในลักษณะก้าวกระโดดของสื่อสมัยใหม่เช่น เว็บไซต์ ออนไลน์ ที่ไหลลื่นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โลกกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ได้ภายในพริบตาพลัน
กระบวนการ ข่าวลือ กระบวนการ ข่าวปล่อย ก็ยังดำรงอยู่และดำเนินไป
น่าเศร้าก็ตรงที่เป็นการเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไป โดยที่มิได้อาศัยเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นก็คือ การเก็บรับ ข่าวลือ การเก็บรับ ข่าวปล่อย โดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจริงจัง สร้างความเสียหายให้กับตนเองอยู่แล้วในระดับที่แน่นอนหนึ่ง
การแพร่ ข่าวลือ การแพร่ ข่าวปล่อย ที่มิได้มีการตรวจสอบยิ่งเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงมากยิ่งกว่าเพราะว่าเท่ากับส่งสารอย่างขาดไร้ซึ่งความรับผิดชอบ
น่าเศร้าอย่างยิ่งก็ตรงที่ประดาคนซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ ข่าวลือ เผยแพร่ ข่าวปล่อย อย่างเอาการเอางานอยู่ในขณะนี้นั้น
จำนวนหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็น นักรัฐศาสตร์
จำนวนหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็น เอ็นจีโอ ที่มีพื้นฐานในทางวิศวกรรมศาสตร์ เคยทำงานใกล้ชิดอยู่กับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติภูมิจากการสร้างความปรองดองขึ้นในชาติบ้านเมือง
โดยความเป็น นักรัฐศาสตร์ น่าจะสามารถเข้าถึงความรู้ ความจริง ได้ลึกซึ้ง
อย่างน้อยก็ลึกซึ้งมากกว่าชาวบ้านที่เรียนน้อย รู้น้อย ส่วนใหญ่ ยิ่งเป็นดุษฎีบัณฑิตยิ่งชวนให้เข้าใจว่ามากด้วยความรอบรู้
เช่นเดียวกับความเป็นวิศวกรน่าจะอยู่ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แห่งการตรวจสอบ
น่าแปลกที่ความปั่นป่วนวุ่นวายภายในสังคมส่งผลให้ นักรัฐศาสตร์ จำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ วิศวกร จำนวนหนึ่ง เกิดความสับสน
สับสนและหลงเชื่อโดยไม่ผ่านกระบวนการครุ่นคิดตามหลัก "กาลามสูตร" แห่งพุทธองค์
สังคมเคยเชื่อว่า ปัญญาชน นักวิชาการ ที่ได้ดุษฎีบัณฑิตมาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ
พูดอะไรก็ต้องล้างหูน้อมรับฟังด้วยความนบนอบ
สังคมเคยเชื่อว่า นักพัฒนาสังคมที่อ้างว่ารักคนยากคนจน เชื่อมั่นในแนวทางประชาธิปไตย เชื่อมั่นในพลังของมวลมหาประชาชน เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ
พูดอะไรก็ต้องล้างหูน้อมรับฟังด้วยความนบนอบ
แต่สถานการณ์การเคลื่อนไหวทางสังคม การเคลื่อนไหวทางการเมือง ในระยะหลัง เริ่มสร้างความไม่แน่ใจ
สังคมมีความไม่แน่ใจกับพฤติกรรมของ "เด็กเลี้ยงแกะ" นั้นแน่นอนอย่างยิ่งอยู่แล้ว
แต่เมื่อประสบเข้ากับสภาพที่ ปัญญาชน นักวิชาการ นักพัฒนาสังคม นำเอา ข่าวลือ นำเอา ข่าวปล่อย ที่ปั้นน้ำเป็นตัวโดย "เด็กเลี้ยงแกะ" มาเผยแพร่ด้วยความเชื่อมั่นอย่างหัวปักหัวปำ
จึงยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่าในที่สุดจุดต่างระหว่าง "เด็กเลี้ยงแกะ" กับ "นักรัฐศาสตร์" นั้นอยู่ที่ไหน
ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ที่ความไม่แน่ใจว่า กระบวนการขับเคลื่อน กระบวนการอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองมีบรรทัดฐานอยู่ที่ไหนและตรงไหน
มีบรรทัดฐานอยู่ที่ความรู้ มีบรรทัดฐานอยู่ที่ความจริง หรือโดยการกุข่าว ลวงโลก
ในที่สุด ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนในเรื่องของ "ฐานความรู้"
ในที่สุด ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนในเรื่องของ "ฐานความจริง"
ในที่สุด ก็ต้องย้อนกลับไปทบทวนในเรื่องของ "ฐานคุณธรรม"
ว่าจะชำแรกแทรกซ่านอยู่ในกระบวนการแสวงหาความรู้และกระบวนการแสวงหาความจริงได้อย่างไร
หากความรู้และความจริงดำเนินไปอย่างไร้คุณธรรมเสียแล้วจะยังมีคุณค่าอันใดได้อีกเล่า
.................
คนที่เขียน หน้า ๓ ในมติชนรายวัน เป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นคนเดียวกันกับคนที่ใช้ลายเซ็น "บรรณาธิการบริหาร" ในมติชนสุดสัปดาห์
คนที่ใช้ลายเซ็น "บรรณาธิการบริหาร" ในมติชนสุดสัปดาห์ เป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นคนเดียวกันกับ เสถียร จันทิมาธร
เสถียร จันทิมาธร เป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็นคนคนเดียวกันกับ นักเขียนรางวัลศรีบูรพา
ในระยะหลังสังเกตได้ว่างานเขียนของเสถียร จันทิมาธร ไม่เห็นด้วยกับขบวนการสนธิเท่าไรนัก
สร้างความฉุนเฉียวให้สนธิไม่น้อย
จะเห็นได้จากสุรวิชช์ วีรวรรณ คอลัมนิสต์ผู้จัดการเขียนโจมตีเสถียรใน "สไตล์ผู้จัดการ บวก ซ้อเจ็ด บวก เซี่ยงเส้าหลง" กล่าวคือ ไม่อัดตรงๆแต่อ้อมๆใบ้ๆเอา
ตามมาด้วยสนธิเอาปกมติชนสัปดาห์ ตอนกษัตริย์เนปาล ไปวิจารณ์ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
เห็นข้อเขียนของเสถียรล่าสุดแล้ว
บอกได้ว่า "แรง" ทีเดียว แต่จะ "แรง" ขนาดไหน ต้องติดตามปฏิกริยาจากสนธิต่อไป
32 ความคิดเห็น:
ไร้ข้อกังขาของข่าวสารวิปลาส มอมเมา
แต่มีข้อกังขาใยผู้มอมเมาเป็นผู้นั้น ท่านนั้น
ฤาผู้คนกำลังมัวเมาไม่ว่าฝากไหนฝ่ายใด
กับคำสั้นๆว่า "ความจริง"
เมืองไทยนับวันเป็นสังคมขาดสติเข้าไปทุกวัน
ไม่ขำเหมียนกันว่ะ
ปราโมทย์ไหนครับ?
สนธิ ไร้สาระ ไร้ความน่าเชื่อถือได้คงเส้นคงวาจริงๆ
นึกขำกับชัยอนันต์
ที่ไปร่วมขบวนการทักษิณอย่างแนบแน่นขนาดนั้นแล้ว
กลับเปลี่ยนขั้วได้อย่างรวดเร็ว
(คล้ายๆ สนธิรึเปล่า?)
ปฏิญญาฟินแลนด์ คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลแน่ๆ
แต่ขบวนการทักษิณเป็นเรื่องจริงที่สัมผัสได้
คิดว่าถ้าฝ่ายที่ต้องการจะล้ม
ยังใช้วิธีไร้สาระอย่างงี้เรื่อยๆ
ขบวนการทักษิณ คงลงหลักปักฐานในเมืองไทยอย่างถาวรเป็นแน่...
อ๊ากกกซ์ซ์.. มีคนแอบใช้ชื่อเรา ไม่ย้อมไม่ยอมม
น้ำแยงซี รี่ไหล ไปบูรพา
คลื่นซัดกวาดพา วีรชน หล่นลับหาย
ถูกผิดแพ้ชนะ วัฏจักร เวียนว่างดาย
สิงขรยังคง ตะวันยังฉาย นานเท่านาน
เกาะกลางชล คนตัดฟืนผมขาว เฒ่าหาปลา
สารทวสันต์เห็นมา เหลือหลาย ที่กรายผ่าน
สรวลสุราขุ่น ป้านใหญ่ ให้ตำนาน
เก่า ๆ ใหม่ ๆ เสพสราญ ว่ากันไป .....
เกาะกลางชล คนตัดฟืนผมขาว เฒ่าหาปลา
สารทวสันต์เห็นมา เหลือหลาย ที่กรายผ่าน
สรวลสุราขุ่น ป้านใหญ่ ให้ตำนาน
เก่า ๆ ใหม่ ๆ เสพสราญ ว่ากันไป .....
ข้างบนคือเนื้อเพลง ภาพยนต์ชุด3ก๊ก ฉบับถอดความเป็นภาษาไทย ภาพยนตร์ชุดดังกล่าวนำเข้ามาฉายที่ช่อง 9 ประเทศไทยปี 2538 ...
นักการเมืองที่อยู่ในวังวนการเมืองไทยโดยมาก มีแก่นกลางอยู่ที่การแย่งชิงอำนาจ แสวงหาความมั่งคั่ง ปกป้องผลประโยชน์ และ ล้างแค้นเรื่องส่วนตัว
ที่น่าสังเวชใจคือ นักวิชาการตามรั้วมหาวิทยาลัยไทยโดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์พากันร่วมวงอยู่ในวังวนดังกล่าวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
นิมิตดี ที่นักวิชาการสายวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและสายวิทยศาสตร์ชีวภาพของไทย ยังคงทำงานวิจัยและวิชาการต่อไปแม้งบประมาณวิจัยจะแร้นแค้นก็ตาม ถ้าประเทศขาดคนเหล่านี้ไป ประเทศไทยคงไม่ต่างอะไรกับประเทศในแถบแอฟฟริกาที่รบราฆ่าฟันกันเป็นว่าเล่น เพราะหาทางออกต่อปัญหาดังกล่าวด้วยสติปัญญาไม่ได้
ผมเชื่อและศรัทธาอย่างหนึ่งว่า ความก้าวหน้าทางวิชาการ จะพาให้สังคมก้าวหน้าไปได้ ไม่ต้องจมปลักอยู่กับเรื่องที่ผ่านไป กี่สิบปียังทะเลาะกันอยู่เรื่องเดิมๆ เสียเวลา เสียทรัพยากร เสียความสามัคคีที่จะร่วมใจผลักดันให้สังคมไทยไปข้างหน้า
จาก 14 ตุลา 2516 ถึง 2549 เรื่องทะเลาะกันเรื่องเดิมๆทั้งนั้น แต่ปัญหาของโลก ปัญหาของประเทศไทยและปัญหาของคนไทย ไม่ใช่เรื่องเดิมๆ มีแต่เรื่องใหม่และสลับซับซ้อนขึ้นทุกที ซึ่งเรียกร้องภูมิปัญญาวิชาการระดับสูงในการหาทางออก และอาจจะต้องบูรณาการศาสตร์หลายสาขาในการหาทางออกสำหรับคนไทย สังคมไทย ประเทศไทย และรวมทั้งโลกด้วย
นี่คือเหตุผล ที่ผมพยายามเรียกร้องให้นักวิชาการสายสังคมศาสตร์ กลับมาทำงานวิจัยให้ได้มาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
นักการเมืองจะทะเลาะกัน ช่างหัวมันปะไร แต่ขอให้อย่างน้อยความรู้ ความเข้าใจและมาตรฐานทางวิชาการของประเทศไทย โดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์ไทยที่อ่อนแอมาก อยู่ในมาตรฐานที่สูงในระดับสากล เพื่อจะเป็นหลักและเป็นประเด็นในการหาทางออกต่อปัญหาที่สลับซับซ้อนในอนาคต
แต่ข้อเรียกร้องของผม กลายเป็นความเงียบสงัด มิหนำซ้ำ ยังเป็นเหตุที่นักวิชาการบางกลุ่มชิงชัง เพราะคิดว่าผมไปทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของวิชาชีพและสถานภาพเยี่ยงนักบวชในยุคกลางยุโรปของพวกเขา ที่สังคมไทยต้องเคารพนบนอบสถานะทางวิชาการ ไม่ใช่สถานะมาตรฐานของงานวิชาการ
ประเทศไทย มีการเรียนสายสังคมศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัยมากเกินไป ดูจากยอดรับนิสิต นักศึกษาในแต่ละปี สายสังคมศาสตร์มากกว่าสายวิทยาศาสตร์หลายเท่า ผมอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า ถ้ามียอดรับนิสิต นักศึกษา สายวิทยาศาสตร์มากกว่าสายสังคมศาสตร์ อย่างน้อย ประเทศไทยคงไม่ทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ เรื่องเดิมๆตั้งแต่ 2516 2519 2535
ผมว่าต้องพูดให้ครบถ้วนชัดเจนยิ่งกว่านี้ว่า ตลอด 5-6 ปี ที่ผ่านมาเสถียรยืนข้างทักษิณมาตลอด ไอ้หน้าสามมติชนนี้ คนในวงการข่าวอ่านกันเขาก็รู้เช่นเห็นชาติกันมาตลอด
วัน ๆ เอาแต่วิพากษ์ ปชป. เป็นหลัก ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายค้านไม่ได้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง
จริงอยู่ว่าไอ้สิ่งที่สนธิทำช่วงนี้เป็นเรื่องน่าละอาย เป็นแค่การใช้วิชามารจ้องทำลายล้างคนอื่น แต่ก็ต้องถามว่าฝ่ายทักษิณไม่เคยใช้วิธีั "ปล่อยข่าว" ทำลายล้างคู่ต่อสู้คนอื่นเชียวหรือ แต่ทำไมเขาไม่เคยวิพากษ์ "แรง ๆ " ต่อกระบวนการเช่นนี้ของฝ่ายทักษิณเลย
พยายามเฉไฉหลบเลี่ยง พลิกประเด็นเป็นเรื่องอื่น
จำได้ไหนเรื่อง "สงครามแย่งชิงพื้นที่ข่าว" ที่ทักษิณอ้างว่าอ่านมาจากหน้าสามมติชนที่เขาเขียน เพื่อตอบโต้ฝ่ายสนับสนุนคุณหญิงจารุวรรณ ทั้งที่ทักษิณก็แย่งชิงพื้นที่ข่าวมาตลอดที่เป็นรัฐบาล
แต่หน้าสามไม่เห็นวิพากษ์เลย...
ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ทักษิณบริหารประเทศ บทบาทในการทำหน้าที่ตรวจสอบของมติชน เป็น "มวยล้มต้มคนดู" มาตลอด แม้แต่เพื่อนบ้านอย่างคนในข่าวสด ยังเคยคุยกับผมเลยว่าอับอายแทน
ก็บอกแล้วว่า ยุคข้อมูลข่าวสาร แข่งกันด้วยข้อมูล สู้กันด้วยการแย่งชิงพื้นที่ข่าว จะดูว่า ผลจะออกมายังไง ให้ดูที่คู่ปะทะด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตา วิพากษ์ หรือเปรียบเทียบ แต่กับยุคอดีต
หยิบจับมาวิพากษ์กันเป็นตุเป็นตะ แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเอง ที่พยายามดิ้นรนจะไม่ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายหนึ่ง
กำลังตกเป็นเหยื่อของอีกฝ่าย ไปเต็ม ๆ
ตอนนี้ ควรท่องหลัก "ไทยามสูตร" ให้ขึ้นใจตัวเองก่อนดีก่า
อ้อ..แล้วถ้าจะท่อง ก็ท่องอย่างเท่าเทียมด้วยนะครับ
ทั้งสำหรับ "ข่าวลือ" แล้วก็ "ข่าววิพากษ์ข่าวลือ" :P
สรุปแล้วในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ความจริงคืออะไรครับ
แต่ความรู้สึกผมเริ่มจะลืมไปแล้วว่าทักษิณไม่ยอมให้มีการตรวจสอบอะไรบ้าง แล้วถ้าอยากจะตรวจสอบ ประชาชนคนไทยมีสิทธิแค่ไหน
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องตรวจสอบพวกอาจารย์กันครับ ว่ามีความรู้จริงรึปล่าว ยึดมั่นหลักการจริงรึปล่าว ศาลเล่นนอกกรอบไปรึปล่าว
แล้วหลักการกับความถูกต้องในยุคนี้ มันไปด้วยกันได้มั้ยครับ เหมือนว่าหลักการไม่สามารถสู้กับการบิดเบือนได้เลย
จนสุดท้ายเหมือนหลักการจะยืนข้างความบิดเบือน เพราะเห็นคนถือหลักการ ยังไม่เคยวิจารณ์ว่าหลักการของที่ว่าแน่นั้น จะสู้ความบิดเบือนของอำนาจรัฐในขณะนี้ได้แต่อย่างใด
แต่อย่างไรเสีย ผมมองว่า หลักการนั้นขาดไม่ได้สำหรับชัยชนะของสังคมไทย (ที่มิใช่ชัยชนะของคนใดคนหนึ่ง)
แต่ยังไม่เห็นช่องว่าหลักการจะมาดัดหลังการบิดเบือนโดยอำนาจรัฐเลย เพราะหลักการที่เรียกร้องให้ใช้กัน เหมือนมาผิดที่ผิดเวลา น่าจะมาตั้งแต่วิกฤติยังไม่เกิดนะครับ พอเกิดแล้วหลักการก็เป๋เหมือนกัน
น่าเสียดายที่หลักการไม่ได้อยู่กับสังคมไทยตั้งแต่ยังไม่มีใครทลายหลักการ แต่เพิ่งมาเอาตอนที่หากถือหลักการคือถือฝ่ายทักษิณ
น่าเสียดายครับ
ส่วนหนึ่งขอบปัญหาที่มันโยงมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากความสงสัยในเรื่องคอร์รัปชั่น แล้วไม่ยอมให้ตรวจสอบ หลักการก็ถูกทลายมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
น่าเสียดายครับ
น่าเสียดายมากในสายตาของผม
รอว่าเมื่อไรมันจะกลับไปยังจุดที่หลักการยังคงเป็นหลักการ
คุณบุญชิตครับ กรุณาหยุดวิจารณ์อาจารย์อมรเสียทีเถอดครับ อย่างไรเสียท่านก็ทำประโยชน์หลายๆอย่างให้กับประเทศชาติครับ หากไม่ชอบท่านด้วยเหตุผลส่วนตัวก็ควรอยู่เฉยๆ อย่างไรท่านก็เป็นที่เคารพของคนจำนวนมาก แทนที่จะว่าท่านลองสร้างงานแข่งกับท่านจะดูเป็นลูกผู้ชายมากกว่านี้ครับ (หากมีความสามารถเพียงพอ)
รอไปเถอะสำหรับคุณบุญชิต นักวิพากษ์ นักขำขัน คนพวกนี้สำคัญตนว่าเรียนเยอะ วิพากษ์แหลก ไม่รู้คนดี คนชั่ว ขอให้วิพากษ์ไว้ก่อน
เสถียร จันทิมาธร เชื่อไม่ได้หรอก ชอบเขียนบทความสร้างชื่อ เขียนหนังสือสร้างชื่อเสียง
ใครเคยอ่าน เส้นทางสายเซน บ้าง ไปลอกหนังสือท่านพุทธทาสมาต่อๆกัน แล้วก็พิมพ์ขาย สังเวช
ที่ผมแปลกใจ คือ บุญชิต กระทั่ง นิติรัฐ ไม่เคยด่า วิษณุ บวรศักดิ์ โภคิน แบบเต็มๆสักที เห็นแต่ออกมาปกป้องคนชั่ว ด่าคนดี รึว่าต้องการสร้างความแตกต่างก็ไม่รู้
ในฐานะผู้สูงวัย กว่าคนทั้งสอง ซึ่งอาจไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ในอนาคตผมว่าวงการนักกฎหมาย จะต้องได้ ด็อกเตอร์ฝรั่งเศสเฟอะฟะ ไร้สัมมาคารวะ เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสองคน
ขำว่ะ
ผมไม่ได้คิดว่า ปัญหาอยู่ที่ทักษิณเพียงอย่างเดียวหรอก
ถ้าใครคิดว่า กำจัดทักษิณออกจากเวทีการเมืองได้ปัญหาทุกอย่างจะจบ อาทิเช่น ปัญหาเรื่องเสรีภาพระบอบประชาธิปไตย สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัญหาภาคใต้ ปัญหาการเปิดเสรี ปัญหาคอร์รัปชั่น ฯลฯ คนนั้นคิดตื้นไปหน่อย
ถ้ามองให้พ้นไปจากตัวทักษิณ เอง จะเห็นถึงปัญหาต่างๆ ของสังคมไทยที่สลับซับซ้อน และเกี่ยวพันไปยังโครงสร้างของสังคมไทยที่ลึกซึ้งมากและพัวพันกับสิ่งที่เรียกว่าโลกาภิวัฒน์อย่างแนบแน่น
หลายปัญหามีมาก่อนจะมีตัวทักษิณ
[b]และไม่ว่าจะมีตัวทักษิณหรือไม่มี บางปัญหามันจะดำเนินของมันต่อไป[/b]
นี่แหละคือประเด็น ที่ผมเรียกร้องให้นักวิชาการทั้งหลาย โดยเฉพาะสายสังคมศาสตร์ พวกเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์และ การเงิน หันมาทำวิจัยให้ได้มาตรฐานระดับสากล และอาจจะต้องบูรณาการความรู้ข้ามสาขา เพื่อรับมือกับบริบทของปัญหาต่างๆที่สลับซับซ้อน [b]ด้วยการใช้ปัญญาแก้ปัญหาไม่ใช่วาจา[/b]
ถึงเอาทักษิณออกจากเวทีการเมืองได้ ก็ไม่ได้แก้ปัญหาสารพันปัญหาที่หลายคนอ้างว่ามีที่มาจากทักษิณหรอก
ผมเห็นด้วยกับคุณพี่ปริเยศ ในแง่ของการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ ต้องเที่ยงตรงและแม่นยำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะปัญหาของการวิจัยในแง่สังคมศาสตร์ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จ และไม่มีเครื่องวัดอันใดที่จะเที่ยงตรงเสียทีเดียว เพราะล้วนใช้สมองวิเคราะห์สภาพปัญหาทั้งสิ้น ถ้าเอียงๆเอนๆ ปัญหาสังคมศาสตร์ไม่มีวันจบ และจะเพี้ยนๆไปเรื่อยๆ จนแก้ไม่ได้
ผมเห็นด้วยว่าทักษิณออกไปแล้วปัญหาก็ไม่จบ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เป็นร่องรอยปัญหาของสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมาอีกมาก รอให้ผู้มีความรู้ความสามารถกลับมาแก้ไข
ปัจจุบันผมก็ไม่อาจจะแน่ใจหรอกว่าการรีบพุ่งเข้าสู่ทุนนิยมแบบที่ทักษิณทำ กับค่อยๆเป็นค่อยๆไปประกอบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง อันไหนแบบใดจะทำให้ประเทศไทยอยู่รอดกันทั้งชาติ
ผมรับรู้แต่เพียงว่า รีบๆพุ่งไปเช่นนี้ เหมือนจะมีคนได้ประโยชน์ชัดๆอยู่กลุ่มเดียว ซึ่งมันจะดีหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่ตัดการแข่งขันอย่างเสรีเยี่ยงระบบทุนนิยมควรจะมีไปสิ้นเชิงอย่างแน่นอนที่สุด อนาคตจะกินน้ำเราอาจจะต้องไปขอร้องเขาด้วยซ้ำไป
พูดถึงการไล่ทักษิณ นโยบาย และปัญหาภายหลังกันแล้ว เหมือนขาดเรื่องจริยธรรมไป แต่ผมไม่พูดหรอก เพราะมันขำไม่ออก และเดี๋ยวจะเป็นวิภาคแห่งวิพากษ์ไป
ตอนนี้ต้องมานั่งคิดว่า ปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่ต้องรอให้ผู้มีความรู้ในทางสังคมศาสตร์ตอบโจทย์อย่างเที่ยงตรงเยี่ยงผู้รู้สาขาวิทยาศาสตร์นั้น แก้ทั้งๆที่ยังมีทักษิณและระบบเช่นนี้ กับแก้โดยเปลี่ยนเกม เอาคนใหม่ คนที่ตรวจสอบได้เข้ามา อย่างไหนจะแก้ง่ายกว่ากัน
และหากเราตอบว่า เอาทักษิณออกไปก่อน แก้ง่ายกว่าเยอะ ก็ต้องถามไปอีกครั้งว่า เอาออกแบบไหน แบบถือหลักการดีไหม กล่าวคือ รอให้ไปซักฟอกในสภาที่มีไทยรักไทย 500 เสียง สว.ไทยรักไทย 200 เสียง กกต.จากไทยรักไทย 3 เสียง ข้าราชการ CEO รอคำสั่งนายกฯอย่างเดียวอีกหลายหมื่นเสียง รอให้คนไทยที่รอเงินแจกนับล้านคนออกมาถอดถอน
เยี่ยงนั้นหรือ คือหลักการตามตำราเมืองฝรั่งท่านว่าไว้ ผมจะยินดีหากไทยรักไทย ยึดถือหลักการเช่นนี้ หากยึดถือหลักการเช่นนี้แต่ต้น คงไม่ต้องเห็นคนแก่มาทะเลาะ พูดจาประชดประชันกันในอินเตอร์เน็ตเยี่ยงนี้เป็นแน่
ผมขออภัยที่การพูดบางคำ ดูจะจาบจ้วงเกินเลยความเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ความเป็นลูกศิษย์ อาจารย์กัน แต่ผมไม่อาจหาคำใดมาเสกสรรปั้นแต่งให้ไพเราะเสนาะหูกว่านี้แล้ว เนื้อความในใจเป็นเยี่ยงไร ก็พยายามสื่อออกมาให้ใกล้เคียงเยี่ยงนั้นที่สุด
ถ้ามีอะไรที่ตรรกะสมองผมผิดพลาดไปอย่างร้ายกาจ พี่ๆ และอาจารย์ทุกท่านโปรดเตือนสติ และเอ็นดูอนาคตผู้นี้ด้วย เพราะผมพร้อมจะเปลี่ยนความคิด และอ่อนข้อต่อสิ่งที่น่าจะถูกต้อง ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วในเรื่อง ม.7 และการยึดถือหลักการ ว่าผมยอมรับ แต่ยังมีข้อกังขาเพียงเล็กน้อยที่ทำให้การยอมรับ มิใช่อย่างดุษฎีครับ
ด้วยความเคารพท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย
คุณ susansaraly กล่าวว่า
"แต่ยังมีข้อกังขาเพียงเล็กน้อยที่ทำให้การยอมรับ มิใช่อย่างดุษฎีครับ"
คำว่า "อย่างดุษฎี" นี่แปลว่าอะไรหรือครับ?
ผมไม่เข้าใจว่ายอมรับอย่างไรที่เรียกว่า "ยอมรับอย่างดุษฎี"
ผมนึกว่าคำว่า "ดุษฎี" เป็นชื่อปริญญามากกว่านะครับ
เบือคุณข้างบนผมจัง ตามดูมาหลายครั้ง มักชอบ ยุแหย่ หรือทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้ พอบ้างก็ดีนะครับ
จริง ๆ ประเด็นที่ปริเยศเขียนมา ไม่ใช่ประเด็นใหม่อะไรเลย เพราะมีหลายคนพยายามนำเสนอประเด็นนี้มาตั้งแต่ เริ่มมีขบวนการขับไล่ทักษิณแล้ว ว่า แม้ตัวทักษิณออกไป ก็ใช่ว่าเรื่องจะจบ ถ้าอยากให้เรื่องวุ่นวายทั้งหลายแหล่จบ ต้องเริ่มต้นล้างใหม่ทั้งระบบ ไม่ใช่ที่ตัวใครคนใดคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ การเอาตัวทักษิณออกไป หรือ ตีโจทย์ให้กว้างกว่านั้น คือ การตรวจสอบทักษิณ เพื่อตีแผ่เม็ดทั้งหลายที่เคยหมกไว้ให้ได้ มันแยกไม่ออกเสียแล้วกับการจะลงมือแก้ปัญหาทั้งระบบ
จริงอย่างคุณข้างบน ของข้างบนผมว่า คือ ถ้าทักษิณ ยังอยู่ หรือยังไม่ได้รับการตรวจสอบ (เกี่ยวกัน เพราะถ้าตรวจสอบดี ๆ ก็จะรู้ว่าทักษิณเป็นยังไง) การขุดรากถอนโคนปัญหาในระบบ ก็ทำยาก...ดังนั้น อย่ามัวมองแบบแยกส่วนกันอยู่ใย
อยากแก้ทั้งระบบ ก็ต้องมองทั้งระบบสิ แล้วทักษิณก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยที่ต้องจับมาแก้ไข จะมามัวนั่งปฏิเสธกันอยู่ทำไม ว่า ที่ผ่านมา ทักษิณ ไม่ใช่ปัจจัยเร่งความเลวร้ายของระบบที่คุณอยากแก้ ?
"หลักการ" น่ะ มีไว้น่ะดีแล้ว จะได้ไว้ยั้ง ๆ ไอ้พวกไม่เคยมีหลักการบ้าง
แต่ไอ้ที่ใช้อยู่ตอนนี้ ไม่ค่อยแน่ใจว่า "หลักกู" หรือ "หลักการ" (ฮา)
บุญชิต น่ะ น่าเบื่อมานานแล้ว เพราะชอบอ้างจังว่า ทักษิณไป ก็ใช่ว่าจะดี แล้วฉวยโอกาสด่าคนไล่ทักษิณ ...ไม่เคยบอกเลยว่า ทักษิณอยู่ มันยิ่งจะทำให้แย่ลงไปอีก...แปลกมะ...ท่านผู้ช้ม...
ตามดูอยู่ ใคร ๆ เขาก็รู้ว่า คุณน่ะเชียร์ทักษิณ :P ไม่เนียน ไม่เนียน
ถึงคุณพี่ ศรัทธา
ต้องขอโทษด้วยที่พิมพ์ผิดพลาดไปอย่างนั้น
ต้องใช้คำว่า โดยดุษฎี ใช่มั้ยครับ หรือจะต้องใช้อย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักภาษาไทยครับ ผมต้องการเล่นสำบัดสำนวนมากเกินไปจนทำให้อ่านแล้วเพี้ยนๆต้องขออภัยด้วยครับ
ถ้าเห็นว่า โดยดุษฎี ยังไม่ถูกต้องโปรดชี้แนะสิ่งที่ถูกต้องด้วยครับด้วย
ปล.เรื่องเล็กๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ครับ จะทำอะไรก็ต้องใส่ใจในรายละเอียดด้วย เรื่องนี้ผมยอมรับครับ ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว จะส่งใครไปอธิบายเรื่องภาษี ก็อย่าลืมกระซิบไปด้วยว่า ช่วยอธิบาย หรือแถ เรื่องจริยธรรมไปหน่อยก็จะเป็นการดี
นี่เป็นตัวอย่างว่าทำอะไรก็ต้องใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย ว่ากันง่ายๆคือต้องพิถีพิถันหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดความผิดพลาดอย่างที่ไม่คาดคิดก็ได้
ถึง คุณ Susansaraly
สำหรับกรณีนี้ ผมคิดว่าเป็นแค่ความเข้าใจผิดในการใช้ภาษาไทยของคนไทยส่วนมากน่ะครับ
ในแง่การสื่อสาร ผมว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ก็ใช้ผิดแบบนี้ทั้งนั้น การใช้คำที่ผิดแต่คนส่วนใหญ่เข้าใจ จึงไม่น่าจะเป็นปัญหา
แต่ในแง่หลักภาษาไทย ผมเห็นว่าเป็นความผิดร้ายแรงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากว่าภาษาไทยเป็นภาษาหลักของเราเอง (อย่างน้อยๆ ก็ของผม ส่วนคนอื่นผมไม่อาจทราบได้)
ปัญหาที่ผมเห็น ไม่ใช่ การใช้คำว่า "อย่าง" หรือ "โดย" หรอกครับ แต่เป็นคำว่า "ดุษฎี" เองต่างหาก
คำที่ถูกต้อง จริงๆ ผมว่า น่าจะเป็นคำว่า "ดุษณี" มากกว่าครับ ต้องไม่ใช่ "ดุษฎี" อย่างเด็ดขาด
คำว่า "ดุษณี" นั้น ราชบัณฑิตยสถานให้คำนิยามไว้ในพจนานุกรมว่า "อาการนิ่งซึ่งแสดงถึงการยอมรับ"
ซึ่งหมายถึงการยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้ง หรือข้อถกเถียงนั่นแหละครับ
ผมจึงเห็นว่าคำนี้นี่น่าจะถูกต้องมากกว่าคำว่า "ดุษฎี" ที่นิยามไว้ว่า "ความชื่นชม, ความยินดี" เป็นไหนๆ
แต่ก็อย่างที่ว่าครับ ในแง่การสื่อสารที่คนส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยผิดอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะว่าผู้รับสารก็มีความเข้าใจที่บกพร่องตรงกับผู้สื่อเด๊ะๆ เลย
ไม่ทราบว่าพอจะถือเป็นคำชี้แนะได้ไหมเอ่ย?
**********************************
ถึง คุณคนข้างบนของคุณ Susansaraly ที่อยู่ข้างบนผม
แค่ผมถามคุณ Susansaraly ว่า
"คำว่า "อย่างดุษฎี" นี่แปลว่าอะไรหรือครับ?
ผมไม่เข้าใจว่ายอมรับอย่างไรที่เรียกว่า "ยอมรับอย่างดุษฎี"
ผมนึกว่าคำว่า "ดุษฎี" เป็นชื่อปริญญามากกว่านะครับ"
เช่นนี้
คุณไปใช้สมองส่วนไหนพิจารณาว่าเป็นการ "ยุแหย่ หรือทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้" หรือครับ?
แค่ผมสงสัย ผมก็ต้องถาม เก็บไว้ผมก็จะยิ่งไม่รู้น่ะซิ
ถ้าคุณ Susansaraly เค้าตอบได้ เค้าก็ตอบ ถ้าเค้าตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องตอบ แค่นั้นแหละครับ!
คุณจะคอยตามไป discredit ผมอยู่อย่างงี้ก็ไม่มีปัญหาครับ ผมไม่ถือสาอะไร
ถ้าคุณจะเบื่อก็ไม่เป็นไร ผมก็จะเป็นอย่างงี้ของผมหละครับ
ถ้าพฤติกรรมของผมมันหนักศีรษะคุณนัก ผมก็ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
ศรัทธา จอมมั่ว หนักหัวผมด้วย
ขออภัย อ. ปึ๋ง เจ้าของ blog นะ
ถึง คุณ anonymous
Anonymous said...
"ศรัทธา จอมมั่ว หนักหัวผมด้วย"
ครับ....... ก็ดีครับ กระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว!
คุ้มแล้วครับ!
เรียนเชิญทั้งสองคนแบกผมไว้บนศีรษะต่อไปเรื่อยๆ นะครับ
ผมเดินอยู่บนดินแบบคนธรรมดาๆ ไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะมีคนสมัครใจเอาศีรษะมารองรับบาทาของผมแบบนี้
ก็ดีครับ!
ไม่รู้ว่าทำไมคุณ Susansaraly ที่ผมเขียนถึงโดยตรง เค้ากลับไม่รู้สึกหนักแบบที่คุณสองคนกำลังรู้สึกกันนะ....... แปลกดี!
ผมคงไม่ต้องขออภัยแล้วหละ แต่ต้องขอขอบพระคุณมากกว่า ที่ทั้งสองคนกรุณาก้มศีรษะลงมาให้ผมเช่นนี้
ทำได้ดีแล้วครับ ขอให้รักษาความดีนี้ต่อไปดุจเกลือรักษาความเค็มนะครับ!
ป.ล. ผมก็พร้อมจะรักษาความประพฤติที่หนักศีรษะของคนที่อยากให้มันหนักต่อไปอยู่แล้วครับ....... ด้วยความยินดีซะด้วยซ้ำไป!
ถึงคุณพี่ ศรัทธา
ขอบคุณมากครับ วันนี้เพื่อความแน่ใจก็ไปเช็คพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตมาด้วย เพราะเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองสื่อความหมายถูกหรือไม่ อย่างไร เพราะคำว่าดุษฎี ดุษณี มีคนใช้สลับไปมากันมาก
ด้วยคำว่า ดุษฎีนั้น มิได้ใช้แปลเฉพาะชื่อระดับชั้นปริญญาเท่านั้น แต่ย่อมหมายรวมถึง ความยินดี ความชื่นชม
ยอมรับโดยดุษฎี ย่อมหมายถึง ยอมรับอย่างยินดีจะยอมรับ ชื่นชมในสิ่งที่ตนยอมรับ
อย่างดุษฎีเป็นการใช้คำที่แปร่งๆของผมเอง
ส่วนดุษณี คำแปลอย่างที่พี่ศรัทธาได้กล่าวไว้แล้ว
ดังนั้นประเด็นที่ผมจะใช้ ผมคิดว่าคงไม่ผิดพลาด เพราะผมยังไม่สื่อว่าจะยอมรับอย่างนิ่งๆ ซึ่งโดยปกติ ถ้าผมนิ่งที่แสดงการยอมรับ ผมคงไม่ออกมาตั้งคำถาม ยังคงนิ่งแล้วก็อ่านๆ แล้วจำใส่หัวไว้เยี่ยงผู้ผ่านไปผ่านมา
ดังนั้น คำว่ายอมรับโดยดุษฎี ยังดูจะใกล้เคียงกับสภาพการณ์ของผมขณะนี้มากที่สุด
แต่อย่างไรเสีย ดุษณีก็มิได้ผิดถ้าจะกล่าวว่ายอมรับอย่างดุษณี แต่คงต้องใช้กับคนที่แสดงอาการนิ่งที่แสดงถึงการยอมรับ
ขอบคุณพี่ศรัทธาอีกครั้งที่ทำให้ผมฉุกใจถึงความแตกต่างของยอมรับโดยดุษฎี และยอมรับอย่างดุษณีครับ
หวังว่าจะแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก
และช่วยกันคิดพิจารณาอย่างมีสติ ตัดอีโก้ตัวเองออกไปให้มากที่สุด ถ้าใครผิดพลาดก็ติติงกันนะครับ ผมเชื่อว่าการได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นใน blog ที่มีผู้มีความรู้หลายๆท่านจะผลักดัน และจุดประกายให้เกิดการพัฒนาความคิดได้มากๆ
เก่งจังล่ะ คุณกล้าเนี่ย ผมตามอ่านเหมือนกัน ผมว่าคุณแม่งโคตรมั่วสุดๆเลย
บุญชิตเองนั่นแหล่ะที่ควรจะเลิกเข้ามาแสดงความคิดเห้นที่ไม่มีสาระทางวิชาการเสียที
ถ้าคุณ Susansaraly ตั้งใจจะให้หมายถึง "ความชื่นชม, ความยินดี" ก็ย่อมไม่ผิดหรอกครับ แต่เป็นความผิดพลาดของผมเองที่เข้าใจสิ่งที่คุณ Susansaraly จะสื่อออกมาคลาดเคลื่อนไป
ผมเคยเห็นหลายๆ คนใช้คำว่า "ยอมรับโดยดุษฎี" ทั่วไปแพร่หลายในแบบผิดๆ (ปรากฏแม้กระทั่งในผลงานทางวิชาการ) หลายๆ คนไม่ทราบด้วยซ้ำว่า "ดุษฎี" แปลว่าอะไร แค่เห็นคนอื่นใช้ว่า "ยอมรับโดยดุษฎี" ก็ใช้ตามๆ เขามาเพราะนึกว่าเป็นคำที่ถูกต้องที่นำมาใช้กับคำว่า "ยอมรับ" จนผมจัดเป็น common mistake ไปแล้ว
ด้วยประสบการณ์เช่นนี้เอง ผมจึงเผลอคิดเหมาเอาเองว่าคุณ Susansaraly ก็คงใช้คำผิดเช่นเดียวกับคนอื่น
ผมต้องขออภัยคุณ Susansaraly สำหรับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวของผมด้วยครับ
อนึ่ง หากว่า post ก่อนๆ ของผมทำให้คุณ Susansaraly รู้สึกว่าเป็นการ "ยุแหย่" หรือว่า "ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้" นี่ ผมก็ต้องขออภัยคุณ Susansaraly ไว้อีกครั้งหนึ่งนะครับ เนื่องจากว่าคุณเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจาก post ของผมเลย
ส่วนคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร แต่กลับมารู้สึกหนักศีรษะมันซะให้ได้ ผมก็ไม่ได้ติดค้างอะไรนอกไปจากคำขอบคุณแล้วหละ
แต่เท่าที่ผมสังเกต ผมรู้สึกว่าคุณ Susansaraly จะเข้าใจสารและเจตนาของผมได้ถูกต้องเลยครับ
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
ป.ล. ขอบใจ อ. ปึ๋ง ผู้เอื้อเฟื้อพื้นที่นะคร้าบ ไว้กลับมาถึงผมจะขอได้เป็นเกียรติพาไปเลี้ยงเครื่องดื่มซักที!
ถึงพี่ศรัทธา
เป็นเรื่องเข้าใจผิดในเรื่องการใช้ภาษาเท่านั้นครับ ในความเป็นจริงอ่านตอนแรกก็คิดว่าพี่ศรัทธาจะติดไอ้คำว่า อย่าง หรือ โดย ดุษฎี ผมก็คิดว่าพี่จะจับจุกจิกไปหน่อย รู้สึกฉุนไปบ้างเล็กน้อย
แต่พอมารู้ว่าสิ่งที่พี่ติ ติตรงที่มันคลาดเคลื่อนคือคำว่าดุษณี กับดุษฎี ผมก็พอจะเข้าใจว่าพี่คิดยังไงถึงได้ติติงการแสดงความเห็นของผมในช่วงประโยคนั้น
ผมเข้าใจว่าคนที่โพสต์ต่อๆเช่นคุณ เจมมี่ คุณ annonymous คงเข้าใจผิดคิดว่าพี่ศรัทธาติงผมด้วยสาเหตุการใช้คำว่า โดย หรือ อย่างดุษฎี เช่นกันครับ ถ้าเป็นเรื่องคำหลักอย่าง ดุษณี หรือดุษฎี เขาคงไม่รู้สึกแปลกๆครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่กำกวมกันในหลักภาษาไทยของเราครับ
ขอบคุณมากครับที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ความจริงเรียกผมว่าน้องก็ได้ถ้าไม่รังเกียจ เพราะผมยังเป็นนักศึกษากฎหมายตัวน้อยๆ กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ยังไม่ได้เรียนเลยครับ ถ้าเรียนมาบ้างก็คงได้ถก วิจารณ์อย่างถูกต้อง แต่ไม่ต้องมาถามกันเรื่องหลักการในกระแสวิกฤตเช่นนี้ หากเรียนมาบ้าง รู้มาบ้างคงไม่มาถามพวกพี่ๆให้เสียเวลาเป็นแน่ครับ
ถึงน้อง Susansaraly นะครับ
หากวิญญูชนผู้ใดก็ตามอ่าน post ของผมอย่างพินิจพิจารณาเสียหน่อยจะเห็น comment ตอนท้ายของผมที่ว่า
ผมนึกว่าคำว่า "ดุษฎี" เป็นชื่อปริญญามากกว่านะครับ
ซึ่งนั่นก็น่าจะเพียงพอทำให้วิญญูชนผู้นั้นเข้าใจได้แล้วว่า ผมกำลัง comment คำว่า "ดุษฎี" อยู่ หาใช่ "อย่าง" แต่อย่างใด
การตั้งข้อสังเกตของน้องเกี่ยวกับผู้ให้ความเห็นอื่นๆ ก็น่าชื่นชมอย่างยิ่งครับ
อย่างไรก็ดี ผมกลับยังมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องด้วยเท่าใดนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ คุณ "ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม" (anonymous) ซึ่งได้ post เป็นความเห็นที่ 18 ว่า "ศรัทธา จอมมั่ว หนักหัวผมด้วย" นั้น เขาได้ post หลังจากผมได้ตอบข้อสงสัยของน้องเรื่อง "ดุษฎี" และ "ดุษณี" ไว้ในความเห็นที่ 17 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ผมจึงอดคิดไม่ได้ว่า นั่นคือความคิดเห็นจากผู้ประสงค์ดีที่เคารพและเทิดทูนผมมาก ถึงขนาดที่ยอมให้อวัยวะเบื้องต่ำของผมไปสถิตย์เหนือศีรษะของตนเองน่ะซิครับ
อืม...เรียนคุณศรัทธา ทำยังไงคุณก็ยังน่าเบื่อเช่นเดิมครับ ขออภัยพูดตรง ๆ เพราะคุณไม่ยอมรับอะไรเลย คือ เอาแต่เขียนบอกว่าตัวเอง คิดยังไง ? แต่ไม่พยายามมองว่า คนอื่นเขาคิดยังไงเลย ?
ผมเป็นคนหนึ่งครับ ที่ไม่ได้รู้สึกหนักส่วนไหนเลย กับอะไรของคุณ เพราะข้อความเห็นลักษณะที่คุณใช้ไม่มีค่าให้ต้องเก็บมาหนัก แค่รู้สึกรำคาญ ๆ เท่านั้น ก็เลยเขียนไปสั้น ๆ ด้วย...เฮ้ย..กลับเสียงดังหนักกว่าเก่า..ไหงเป็นงั้น
แต่สรุปอีกทีว่า อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่อง หรืออย่าจุกจิกมากเกินไปเลย
เอาง่าย ๆ นะ ขนาดตัวคุณเองยังประสงค์ หรือยากให้คนอื่น เค้าเข้าใจเจตนา และสารที่คุณต้องการแสดง มากกว่าจะมาใส่ใจในเรื่องภาษา หรือแค่ตัวหนังสือเลย...
แล้วคุณจะมัวมานั่งจุกจิกอะไรกับตัวหนังสือที่คุณ susansalary (เนี่ยผมตั้งใจเขียนสลับ คุณ susansaraly ทราบไหมครับว่า ผมหมายถึงคุณ ?) เขาอาจเข้าใจผิดไปบ้าง ทำไมเล่า ?....ในเมื่อ สารที่คุณ susansaraly ต้องการสื่อ มันเข้าใจได้ ....อ้า...ผมคนหนึ่งแหละ ที่เข้าใจ..ผม.ถึงได้รู้สึกว่า ความเห็นของคุณมันไม่เข้าแก๊ปไง คือ นึกภาพออกไหม กำลังอ่านความเห็นเกี่ยวกับบล็อกมันส์ ๆ อยู่ เอ้า...มาไงวะ แหย่นี่ว่า กวนเหรอวะ ยุนะเนี่ย ? ....เข้าใจ "สาร" ผมไหมครับ ? คุณศรัทธา....
โอ๊ะ ๆ แต่ จะเข้าใจหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาของผมแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องแสดงความเลือดร้อน ด้วยการเขียนภาษาแสดงอารมณ์ประเภท "แล้วมันหนักส่วนไหน" กับผมนะครับ...(ฮ่า ฮ่า)
ถึง คุณแจมมี่
ไม่ต้องขออภัยอะไรผมทั้งนั้นครับที่พูดตรงๆ....... ผมชอบ! ผมไม่ถือสา
ผมจะเขียน comment ของผมยังไงมันเรื่องของผม ถ้าคุณรำคาญก็ไม่ต้องอ่าน
ผมไม่ได้บังคับให้คุณอ่าน และคาดว่าคงไม่มีใครบังคับคุณอีกเช่นกัน (หรือว่ามีครับ?)
คุณจะบอกว่าน่าเบื่อมันก็เรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของผมนี่นะ
"สาร" ของผม ผมส่งถึงคุณ Susansaraly ไม่ได้ส่งถึงคุณหรอกครับ
คุณจะไม่มาอ่าน ผมก็ไม่ว่าอะไรคุณหรอก
และก็อย่ามาหวังว่า comment ของคุณจะมาเปลี่ยนข้อความคิดของผมได้เลยนะ
คุณจะเบื่อก็เบื่อไปเหอะครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องเป็นห่วงซะหน่อย!....... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!
comment ของคุณก็ไม่ได้มีค่าพอจะให้ผมเก็บมาสนใจเหมือนกันครับ....... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!
ผมจะแสดงความเลือดร้อนหรือไม่ ด้วยภาษายังไง มันก็เรื่องของผมอีกนั่นเองครับ....... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ด้วยคน...บัวใต้ตมจริง ๆ นายศรัทธาเอ้ย
ขำออก กับ นายศรัทธา
มั่วนิ่ม หยุมหยิม ใจตุ้ด ฮา
ถึงน้อง Susansaraly นะคะ
Gîl síla na lû govaded.
Suilaid, Susansaraly!
"Quatre" ëstelendil, eneth nîn.
Im gelir ceni lín.
Manen nalyë?
Gen hannon, Susansaraly.
Heniach nin?
Goheno nin pedich Edhellen!
Garo arad vaer, Susansaraly.
No in elenath hîlar nan hâd gîn.
Namárië!
เห็นใครบ้าง เมื่อ 9 มิ.ย.49 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
ผมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ชองชาติไทย 9 มิ.ย.49 ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าแม้ว่าอากาศจะร้อน บางคนอาจมารอตลอดคืนเพื่อถวายความจงรักภักดีแด่พ่อหลวงของเรา แม้จะเป็นเพียงธุลีอันน้อยนิดแต่เราก้อแสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลกทั้งมวล
และได้เห็นพระองค์ท่านแย้มพระสรวงแม้เพียงเท่านี้ก้อหาที่สุดมิได้สำหรับพระสกนิกรชาวไทยที่ได้เห็นพระองค์ท่านมีพระเกษมสำราญ นี่คือสิ่งที่เราเทิดทูลไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม และเราที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นคงไม่มีวันลืม
เพียงแต่...คนที่เป็นแกนนำและร้องว่าเราจะสู้เพื่อในหลวง...นักการเมืองที่บอกเราจะรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตยิ์เป็นประมุข... ผมพยามยามมองทั้งจากสื่อต่าง ๆ ก้อไม่เห็น...เมื่อถึงคราวที่เราจะร่วมแสดงพลังเพื่อพระองค์ท่านเขาเหล่านั้น.......หายไปไหน
ขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับบทความ
www1027
christian louboutin outlet
ugg boots
pandora outlet
canada goose
ray ban sunglasses
valentino shoes
coach outlet online
dsquared2
canada goose outlet
off white clothing
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก