Chiangmai : Alone but Alive
ผมเดินทางมาเชียงใหม่ครั้งแรกเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว จำได้แม่นว่ามันเป็นวันก่อนคริสต์มาส ๑ วัน ปี ๒๕๔๓ ครานั้นผมมาเป็นหมู่คณะลิงทะโมน (หรือใครบางคนจะเรียกว่า “เสือ” สุดแท้แต่”) เป้าหมายร่วมมีเพียงประการเดียว คือ มายลสาวเชียงใหม่ที่ใครๆต่างร่ำลือว่า “ของเขาดีจริง”
ตอนนั้น เราไปกัน ๖ นาย รถ ๒ คัน ดื่มกินตลอดทาง (เว้นคนขับ) ทุกเย็น เราจะแต่งตัวหล่อ ออกจากนิวาสถานราว ๕ โมงเย็น กลับเข้ารังอีกทีเกือบตี ๕ บ้างก็มีสาว บ้างก็กลับมาแห้งเหี่ยว สุดแต่วาสนาของแต่ละคนและแต่ละวัน
สนุกดีครับ ตามประสาวัยคึกคะนอง
มาครั้งนี้... ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผมเดินทางมาคนเดียว ก็ได้รสชาติไปอีกแบบ
ตอนนี้ผมนั่งอยู่ริมน้ำปิง พร้อมกับบรั่นดี อาหาร และคอมพิวเตอร์ มีเสียงเพลงเบาๆขับกล่อม
ผมตั้งใจจะมาทำภารกิจบางอย่าง แต่คิดว่าภารกิจนั้นน่าจะล้มเหลว ถึงแม้ไม่ล้มเหลววันนี้ ผมก็คาดว่าวันหน้ามันคงล้มเหลวอยู่ดี
เหตุผลของการล้มเหลวก็เป็นเหตุผลที่ไม่มีใครอาจจะเข้าใจได้
การเดินทางมาแอ่วเชียงใหม่ของผมคนเดียวครั้งนี้ ทำให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง นั่งขบคิดอะไรหลายๆอย่าง จนได้ข้อสรุปว่า บางครั้งเราก็ต้องยอมแพ้ในบางสนามแข่งขัน เพื่อลงไปสู้ในสนามใหม่ที่เราชำนาญมากกว่า
ชีวิตของผมบางทีก็อาจเป็นเหมือนนักเทนนิส ที่ถนัดคอร์ตหญ้ามากกว่าคอร์ตดิน
การยอมแพ้ไม่น่าจะเป็นเครื่องหมายลดคุณค่าของเรา แต่อาจเป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิตต่อไป
แม้ผมจะเที่ยวคนเดียว แต่ผมก็ค้นพบว่าผมมีเพื่อนอยู่เยอะแยะไปหมด เพื่อนร่วมทาง เพื่อนมนุษย์ ตลอดจนจิตวิญญาณของผมที่น่าจะเป็นเพื่อนแท้ที่อยู่กับผมทุกสถานการณ์
ใครมีเวลาว่าง ผมขอเชิญชวน มาพักผ่อนสมอง มานั่งอยู่กับตนเอง ที่เชียงใหม่ ไม่ต้องรอเวลา รอโอกาส รอเพื่อน หรือรอคนรักหรอกครับ เดินทางคนเดียวก็สนุกไปอีกแบบ
แล้วจะรู้ว่า Alone but Alive
เป็นอย่างไร
ตอนนั้น เราไปกัน ๖ นาย รถ ๒ คัน ดื่มกินตลอดทาง (เว้นคนขับ) ทุกเย็น เราจะแต่งตัวหล่อ ออกจากนิวาสถานราว ๕ โมงเย็น กลับเข้ารังอีกทีเกือบตี ๕ บ้างก็มีสาว บ้างก็กลับมาแห้งเหี่ยว สุดแต่วาสนาของแต่ละคนและแต่ละวัน
สนุกดีครับ ตามประสาวัยคึกคะนอง
มาครั้งนี้... ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผมเดินทางมาคนเดียว ก็ได้รสชาติไปอีกแบบ
ตอนนี้ผมนั่งอยู่ริมน้ำปิง พร้อมกับบรั่นดี อาหาร และคอมพิวเตอร์ มีเสียงเพลงเบาๆขับกล่อม
ผมตั้งใจจะมาทำภารกิจบางอย่าง แต่คิดว่าภารกิจนั้นน่าจะล้มเหลว ถึงแม้ไม่ล้มเหลววันนี้ ผมก็คาดว่าวันหน้ามันคงล้มเหลวอยู่ดี
เหตุผลของการล้มเหลวก็เป็นเหตุผลที่ไม่มีใครอาจจะเข้าใจได้
การเดินทางมาแอ่วเชียงใหม่ของผมคนเดียวครั้งนี้ ทำให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง นั่งขบคิดอะไรหลายๆอย่าง จนได้ข้อสรุปว่า บางครั้งเราก็ต้องยอมแพ้ในบางสนามแข่งขัน เพื่อลงไปสู้ในสนามใหม่ที่เราชำนาญมากกว่า
ชีวิตของผมบางทีก็อาจเป็นเหมือนนักเทนนิส ที่ถนัดคอร์ตหญ้ามากกว่าคอร์ตดิน
การยอมแพ้ไม่น่าจะเป็นเครื่องหมายลดคุณค่าของเรา แต่อาจเป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิตต่อไป
แม้ผมจะเที่ยวคนเดียว แต่ผมก็ค้นพบว่าผมมีเพื่อนอยู่เยอะแยะไปหมด เพื่อนร่วมทาง เพื่อนมนุษย์ ตลอดจนจิตวิญญาณของผมที่น่าจะเป็นเพื่อนแท้ที่อยู่กับผมทุกสถานการณ์
ใครมีเวลาว่าง ผมขอเชิญชวน มาพักผ่อนสมอง มานั่งอยู่กับตนเอง ที่เชียงใหม่ ไม่ต้องรอเวลา รอโอกาส รอเพื่อน หรือรอคนรักหรอกครับ เดินทางคนเดียวก็สนุกไปอีกแบบ
แล้วจะรู้ว่า Alone but Alive
เป็นอย่างไร