เมื่อผมเจอคนมือเปื้อนเลือด
ท่ามกล่างสถานการณ์วิกฤตตามชานเมืองใหญ่ๆในฝรั่งเศสที่คนฝรั่งเศสที่อพยพมาจากประเทศอื่นก่อความไม่สงบมากว่า ๑๐ วัน ผมได้ประสบเหตุการณ์ระทึกใจเหตุการณ์หนึ่ง
เปล่าครับ ผมไม่ได้เจอการก่อจราจล เผารถ เผาบ้าน หรือทำลายทรัพย์สินสาธารณะหรอก
แต่ผมเจอชายหนุ่มมือเปื้อนเลือด
(เอาเข้าจริงเหตุการณ์จราจลตามชานเมืองใหญ่ครั้งนี้ จะว่าร้ายแรงก็จริง แต่จะว่าไม่ร้ายแรงก็จริงอีก ผมอยู่ที่นี่ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ออกข่าวตลอด แต่เชื่อมั้ยครับ คนฝรั่งเศสบางคนไม่สนใจ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำ คือตัวสถานการณ์มันรุนแรง แต่มันไม่ได้กระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วเมืองจนทำมาหากินไม่ได้ หากเกิดเฉพาะที่เท่านั้น เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้คติว่า ข่าวสารที่สื่อออกไปทั่วโลกนั้นมักจะร้ายแรงกว่าความเป็นจริงเสมอๆ ล่าสุดเห็นว่าบางประเทศออกเตือนไม่ให้เดินทางมาเที่ยวฝรั่งเศสแล้ว ทำนองเดียวกับหวัดนกของบ้านเราที่พวกเราก็อยู่กันอย่างปกติสุขแต่คนฝรั่งเศสกลัวจนออกนอกหน้า ฉันใดฉันนั้น คนทางเมืองไทยก็เป็นห่วงผมกับเหตุจราจลเหมือนกัน ไว้คึกๆจะเขียนเล่าสถานการณ์นี้ให้อ่านกัน)
มาว่ากันต่อกับเรื่องที่ผมเจอ
วันนี้ หลังจากผมทำความสะอาดบ้าน จัดห้องเป็นระเบียบสวยงามแล้ว ผมก็ออกไปจ่ายตลาดเพื่อเตรียมทำอาหารเลี้ยงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นผู้ชาย ผมคงไม่เชิญมากินข้าวเย็นที่บ้านอย่างแน่แท้ (ฮา)
เมนูที่ผมจัดให้สาวยุ่น คือ ผัดกระเพราหมูผสมไก่ (แต่กระเพราไม่มี ใช้โหระพาแทน) กับ ต้มยำกุ้ง (เช่นเคย กุ้งแพง ผมเลยใช้แบบรวมมิตรทะเลแช่แข็ง) อันนี้เป็นจานหลัก มีเครื่องดื่มเป็นไวน์แดง Côte du Rhône
เพื่อสร้างความดัดจริตให้สมกับที่อยู่ฝรั่งเศส ผมสรรหาออเดิร์ฟหรือที่ฝรั่งเศสเรียกว่า Entrée เป็นปอเปี๊ยะ บวกด้วยอะเปเรตีฟเป็น Muscadet (แรดมั้ยครับท่านผู้ชม)
เธอเดินทางมาถึงบ้านผมตอน ๒ ทุ่ม (ที่นี่กินข้าวเย็นช้า แต่คงไม่ช้าไปกว่าสเปนที่ปาเข้าไปเกือบ ๔ ทุ่ม)
เรากินกันไป คุยกันไป จนเกือบเที่ยงคืน ผมเลยอาสาไปส่งเธอสมกับเป็นสุภาพบุรุษชายไทย
ผมส่งเธอถึงที่บ้านด้วยดี โชคดีที่เวลาขณะนั้นยังพอทันที่จะขึ้นรถ Tram รอบสุดท้ายกลับบ้านผม
มีนายตรวจขึ้นมา หญิงวัยกลางคนกับสาววัยรุ่นตระหนกเล็กน้อย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหล่อนไม่ยอมตอกตั๋วรถ พูดง่ายๆ คือ ลักไก่ขึ้นรถฟรีนั่นเอง
ด้วยความที่ผมขึ้นรถ Tram รอบสุดท้ายเป็นประจำ ผมจึงหันไปบอกหล่อนว่า “ไม่มีปัญหาครับ นายตรวจรอบสุดท้ายนี่มาเพื่อรักษาความปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้มาตรวจตั๋ว” หญิงวัยกลางคนถามผมกลับมาว่า “แล้วเธอตอกตั๋วหรือเปล่า” ผมตอบกลับไปด้วยความอิ่มเอมใจว่า “อ่อ ผมมีตั๋วเดือนครับ”
ในใจคิดว่า ถึงกูเป็นคนต่างชาติมาอยู่บ้านมรึง แต่กูก็ไม่โกงนะเว้ย
รถ Tram วิ่งไปเรื่อยๆ ทุกอย่างดูปกติดีจนกระทั่งชายวัยรุ่นคนหนึ่งมานั่งตรงข้ามผม ศีรษะโกนเลี่ยน ปลายคิ้วมีห่วงเหล็กพันธนาการไว้ เช่นเดียวกับใบหูทั้งสองข้าง
จมูกผมไวพอดูพอที่จะรู้ได้ว่าเขาต้องดื่มมาไม่น้อยเป็นแน่
เขาถือถุงใบใหญ่ข้างในมีเสื้อหนึ่งตัว และจากการที่เขาคุ้ยหาอะไรบางอย่างในถุงทำให้ผมเห็นว่าลึกลงไปในนั้นมีเศษผ้าอีกชิ้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
มือขวาของซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตตลอดเวลา แต่มือซ้ายกลับปล่อยวางอย่างอิสระ
แม้มือขวาของเขาจะซ่อนไว้ในกระเป๋า แต่บางครามันก็โผล่ออกมา ผมสังเกตเห็นว่ามือนั้นเปื้อนสี สีนั้นออกแดงๆ ผมตั้งสมมติฐานในเบื้องต้นสองข้อ หนึ่ง หมอนี่อาจเป็นช่างทาสี (เพราะชุดที่เขาสวมใส่ก็มอมแมมพอดู) เสร็จงานตรงไปกินเหล้าแล้วพึ่งกลับบ้าน สอง หมอนี่อาจเป็นวัยรุ่นที่ดื่มจนเมาแล้วท้องหิวก่อนกลับบ้านเลยหาซื้อเคบับกินแต่ดันราดซอสอย่างเมามันจนเลอะเทอะ
ตลอดทางหมอดูมีอาการลุกลี้ลุกลน
ผ่านไปได้ ๔-๕ ป้าย เขาก้มลงไปคุ้ยหาของในถุงใบนั้น คุ้ยไปคุ้ยมา ผมเลยเหลือบไปเห็นชัดๆกับตา ด้านในเสื้อตัวนั้นเต็มไปด้วยเลือด สีแดงแจ๋อย่างนั้นคงไม่ใช่สีทาบ้านหรือซอสแน่ๆ ไอ้เศษผ้าที่อยู่ลึกสุดก็สีแดงฉานพอกัน
ผมรีบหันออกไปมองนอกหน้าต่างทันที เพราะกลัวเขารู้ตัวว่าผมเห็นของไม่พึงประสงค์ในถุงใบนั้น
หลังจากการคุ้ยหา เขาไม่พบสิ่งที่เขาต้องการ ท่าทางหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นเอง เขารีบกระโดดลงจากรถทันที
ในใจผมพยายามคิดว่า คงเป็นวัยรุ่นชกต่อยกันมากระมัง แต่คิดไปคิดมา ก็น่าสงสัยกับอาการแปลกๆของเขาอยู่
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปนึกภาพมือของเขา ความเชื่อของผมที่ว่าเขาชกต่อยมาคงไม่จริง เพราะมือนั้นเปื้อนเลือดแบบกระจายเต็มมือ แม้ว่าสีของเลือดจะจางลงก็ตาม
ผมลองละทิ้งความสนใจเรื่องของชายหนุ่มด้วยการหันไปคุยกับหญิงสองคนที่ไม่ยอมตอกตั๋ว
แต่ผมก็ดันไปเห็นรอยเลือดที่หยดบนพื้นบริเวณที่นั่งของชายวัยรุ่นคนนั้นอีก รอยเลือดนี้เป็นลิ่มๆ หยดๆ แดงๆ สดๆ คราวนี้จะอย่างไรก็ต้องเป็นเลือดแน่นอน
หลังจากการสนทนาด้วยความรวดเร็ว ผมและหญิงสองคนนั้นจึงตัดสินใจไปบอกนายตรวจว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติ (ทีแรกหญิงวัยรุ่นไม่อยากให้ไปยุ่ง ธุระไม่ใช่) ผมเล่ารายละเอียดให้นายตรวจฟัง นายตรวจจึงรีบลงป้ายถัดไปเพื่อวิ่งไล่ตาม นายตรวจอีกคนวิทยุไปหาตำรวจ นาง(สาว)ตรวจอีก ๒ คนก็มายืนคุยบริเวณรอยเลือด
ผมยืนยันไปว่าผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยก็น่าจะลองตรวจสอบดู
นาง(สาว)ตรวจขอเบอร์โทรศัพท์ผมไป เพราะอาจจำเป็นต้องเรียกมาสอบถามเพิ่มเติมหรือเป็นพยานในวันถัดไป
ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาว่าผมคงเดาผิดและมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เพราะผมขี้เกียจไปวุ่นวายกับราชการฝรั่งเศส ก็ภาษาผมห่วยบรม และอย่างน้อยก็จะได้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
แต่ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด ผมก็พร้อมให้ความร่วมมือ อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าไม่เสียแรงที่อ่านการ์ตูนโคนันมานาน
จาการวิเคราะห์ร่วมกันระหว่างผม หญิงสองคน นายและนาง(สาว)ตรวจ และผู้โดยสารที่มาแจมตอนหลังอีก ๒-๓ คน เราได้ข้อสรุปตรงกันว่าเหตุการณ์นี้น่าจะไม่ปกติ
ไม่รู้พรุ่งนี้ผมต้องไปเป็นพลเมืองดีหรือเปล่า?
เปล่าครับ ผมไม่ได้เจอการก่อจราจล เผารถ เผาบ้าน หรือทำลายทรัพย์สินสาธารณะหรอก
แต่ผมเจอชายหนุ่มมือเปื้อนเลือด
(เอาเข้าจริงเหตุการณ์จราจลตามชานเมืองใหญ่ครั้งนี้ จะว่าร้ายแรงก็จริง แต่จะว่าไม่ร้ายแรงก็จริงอีก ผมอยู่ที่นี่ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ออกข่าวตลอด แต่เชื่อมั้ยครับ คนฝรั่งเศสบางคนไม่สนใจ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำ คือตัวสถานการณ์มันรุนแรง แต่มันไม่ได้กระจายไปทั่วประเทศหรือทั่วเมืองจนทำมาหากินไม่ได้ หากเกิดเฉพาะที่เท่านั้น เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้คติว่า ข่าวสารที่สื่อออกไปทั่วโลกนั้นมักจะร้ายแรงกว่าความเป็นจริงเสมอๆ ล่าสุดเห็นว่าบางประเทศออกเตือนไม่ให้เดินทางมาเที่ยวฝรั่งเศสแล้ว ทำนองเดียวกับหวัดนกของบ้านเราที่พวกเราก็อยู่กันอย่างปกติสุขแต่คนฝรั่งเศสกลัวจนออกนอกหน้า ฉันใดฉันนั้น คนทางเมืองไทยก็เป็นห่วงผมกับเหตุจราจลเหมือนกัน ไว้คึกๆจะเขียนเล่าสถานการณ์นี้ให้อ่านกัน)
มาว่ากันต่อกับเรื่องที่ผมเจอ
วันนี้ หลังจากผมทำความสะอาดบ้าน จัดห้องเป็นระเบียบสวยงามแล้ว ผมก็ออกไปจ่ายตลาดเพื่อเตรียมทำอาหารเลี้ยงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นผู้ชาย ผมคงไม่เชิญมากินข้าวเย็นที่บ้านอย่างแน่แท้ (ฮา)
เมนูที่ผมจัดให้สาวยุ่น คือ ผัดกระเพราหมูผสมไก่ (แต่กระเพราไม่มี ใช้โหระพาแทน) กับ ต้มยำกุ้ง (เช่นเคย กุ้งแพง ผมเลยใช้แบบรวมมิตรทะเลแช่แข็ง) อันนี้เป็นจานหลัก มีเครื่องดื่มเป็นไวน์แดง Côte du Rhône
เพื่อสร้างความดัดจริตให้สมกับที่อยู่ฝรั่งเศส ผมสรรหาออเดิร์ฟหรือที่ฝรั่งเศสเรียกว่า Entrée เป็นปอเปี๊ยะ บวกด้วยอะเปเรตีฟเป็น Muscadet (แรดมั้ยครับท่านผู้ชม)
เธอเดินทางมาถึงบ้านผมตอน ๒ ทุ่ม (ที่นี่กินข้าวเย็นช้า แต่คงไม่ช้าไปกว่าสเปนที่ปาเข้าไปเกือบ ๔ ทุ่ม)
เรากินกันไป คุยกันไป จนเกือบเที่ยงคืน ผมเลยอาสาไปส่งเธอสมกับเป็นสุภาพบุรุษชายไทย
ผมส่งเธอถึงที่บ้านด้วยดี โชคดีที่เวลาขณะนั้นยังพอทันที่จะขึ้นรถ Tram รอบสุดท้ายกลับบ้านผม
มีนายตรวจขึ้นมา หญิงวัยกลางคนกับสาววัยรุ่นตระหนกเล็กน้อย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหล่อนไม่ยอมตอกตั๋วรถ พูดง่ายๆ คือ ลักไก่ขึ้นรถฟรีนั่นเอง
ด้วยความที่ผมขึ้นรถ Tram รอบสุดท้ายเป็นประจำ ผมจึงหันไปบอกหล่อนว่า “ไม่มีปัญหาครับ นายตรวจรอบสุดท้ายนี่มาเพื่อรักษาความปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้มาตรวจตั๋ว” หญิงวัยกลางคนถามผมกลับมาว่า “แล้วเธอตอกตั๋วหรือเปล่า” ผมตอบกลับไปด้วยความอิ่มเอมใจว่า “อ่อ ผมมีตั๋วเดือนครับ”
ในใจคิดว่า ถึงกูเป็นคนต่างชาติมาอยู่บ้านมรึง แต่กูก็ไม่โกงนะเว้ย
รถ Tram วิ่งไปเรื่อยๆ ทุกอย่างดูปกติดีจนกระทั่งชายวัยรุ่นคนหนึ่งมานั่งตรงข้ามผม ศีรษะโกนเลี่ยน ปลายคิ้วมีห่วงเหล็กพันธนาการไว้ เช่นเดียวกับใบหูทั้งสองข้าง
จมูกผมไวพอดูพอที่จะรู้ได้ว่าเขาต้องดื่มมาไม่น้อยเป็นแน่
เขาถือถุงใบใหญ่ข้างในมีเสื้อหนึ่งตัว และจากการที่เขาคุ้ยหาอะไรบางอย่างในถุงทำให้ผมเห็นว่าลึกลงไปในนั้นมีเศษผ้าอีกชิ้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
มือขวาของซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตตลอดเวลา แต่มือซ้ายกลับปล่อยวางอย่างอิสระ
แม้มือขวาของเขาจะซ่อนไว้ในกระเป๋า แต่บางครามันก็โผล่ออกมา ผมสังเกตเห็นว่ามือนั้นเปื้อนสี สีนั้นออกแดงๆ ผมตั้งสมมติฐานในเบื้องต้นสองข้อ หนึ่ง หมอนี่อาจเป็นช่างทาสี (เพราะชุดที่เขาสวมใส่ก็มอมแมมพอดู) เสร็จงานตรงไปกินเหล้าแล้วพึ่งกลับบ้าน สอง หมอนี่อาจเป็นวัยรุ่นที่ดื่มจนเมาแล้วท้องหิวก่อนกลับบ้านเลยหาซื้อเคบับกินแต่ดันราดซอสอย่างเมามันจนเลอะเทอะ
ตลอดทางหมอดูมีอาการลุกลี้ลุกลน
ผ่านไปได้ ๔-๕ ป้าย เขาก้มลงไปคุ้ยหาของในถุงใบนั้น คุ้ยไปคุ้ยมา ผมเลยเหลือบไปเห็นชัดๆกับตา ด้านในเสื้อตัวนั้นเต็มไปด้วยเลือด สีแดงแจ๋อย่างนั้นคงไม่ใช่สีทาบ้านหรือซอสแน่ๆ ไอ้เศษผ้าที่อยู่ลึกสุดก็สีแดงฉานพอกัน
ผมรีบหันออกไปมองนอกหน้าต่างทันที เพราะกลัวเขารู้ตัวว่าผมเห็นของไม่พึงประสงค์ในถุงใบนั้น
หลังจากการคุ้ยหา เขาไม่พบสิ่งที่เขาต้องการ ท่าทางหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นเอง เขารีบกระโดดลงจากรถทันที
ในใจผมพยายามคิดว่า คงเป็นวัยรุ่นชกต่อยกันมากระมัง แต่คิดไปคิดมา ก็น่าสงสัยกับอาการแปลกๆของเขาอยู่
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปนึกภาพมือของเขา ความเชื่อของผมที่ว่าเขาชกต่อยมาคงไม่จริง เพราะมือนั้นเปื้อนเลือดแบบกระจายเต็มมือ แม้ว่าสีของเลือดจะจางลงก็ตาม
ผมลองละทิ้งความสนใจเรื่องของชายหนุ่มด้วยการหันไปคุยกับหญิงสองคนที่ไม่ยอมตอกตั๋ว
แต่ผมก็ดันไปเห็นรอยเลือดที่หยดบนพื้นบริเวณที่นั่งของชายวัยรุ่นคนนั้นอีก รอยเลือดนี้เป็นลิ่มๆ หยดๆ แดงๆ สดๆ คราวนี้จะอย่างไรก็ต้องเป็นเลือดแน่นอน
หลังจากการสนทนาด้วยความรวดเร็ว ผมและหญิงสองคนนั้นจึงตัดสินใจไปบอกนายตรวจว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติ (ทีแรกหญิงวัยรุ่นไม่อยากให้ไปยุ่ง ธุระไม่ใช่) ผมเล่ารายละเอียดให้นายตรวจฟัง นายตรวจจึงรีบลงป้ายถัดไปเพื่อวิ่งไล่ตาม นายตรวจอีกคนวิทยุไปหาตำรวจ นาง(สาว)ตรวจอีก ๒ คนก็มายืนคุยบริเวณรอยเลือด
ผมยืนยันไปว่าผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยก็น่าจะลองตรวจสอบดู
นาง(สาว)ตรวจขอเบอร์โทรศัพท์ผมไป เพราะอาจจำเป็นต้องเรียกมาสอบถามเพิ่มเติมหรือเป็นพยานในวันถัดไป
ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาว่าผมคงเดาผิดและมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เพราะผมขี้เกียจไปวุ่นวายกับราชการฝรั่งเศส ก็ภาษาผมห่วยบรม และอย่างน้อยก็จะได้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
แต่ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด ผมก็พร้อมให้ความร่วมมือ อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าไม่เสียแรงที่อ่านการ์ตูนโคนันมานาน
จาการวิเคราะห์ร่วมกันระหว่างผม หญิงสองคน นายและนาง(สาว)ตรวจ และผู้โดยสารที่มาแจมตอนหลังอีก ๒-๓ คน เราได้ข้อสรุปตรงกันว่าเหตุการณ์นี้น่าจะไม่ปกติ
ไม่รู้พรุ่งนี้ผมต้องไปเป็นพลเมืองดีหรือเปล่า?
4 ความคิดเห็น:
ทดสอบ
ระตัวละกัน เดี๋ยวพี่ไม่มีคนกินเหล้าด้วย
รักษาตัวด้วยนะพี่
บุญรักษานะคะ
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก