เสรีภาพในการเลือกดื่มสุราหลากประเภท
มิตรรักบล็อกเกอร์ที่เป็นนักท่องราตรี – ทั้งขาประจำและขาจร - เคยสังเกตหรือไม่ว่า ตามร้านเหล้าหรือสถานบันเทิงยามราตรีในมหานครแห่งความสุขได้กระทำอนันตริยกรรมต่อพลพรรคนักดื่มอยู่เป็นอาจิณ
พลพรรคนักดื่มในที่นี้ หมายความถึง บรรดาผู้นิยมชมชอบการเสพสุราในลักษณะที่เป็นสุรา ชมชอบรสชาติของสุราหลากสีหลากเผ่าพันธุ์ หาใช่ชมชอบเพราะมันเป็นน้ำดื่มก่อความเมาและขาดสติไม่ อีกนัยหนึ่ง เขาเหล่านั้นมองสุราเสมือนเป็นอาหารชนิดหนึ่ง
เรียกได้ว่า การลิ้มรสสุราจำต้องมีศิลปทางอาหาร (Gastronomie) ประกอบด้วย มิใช่สักแต่ ชน... หมด... เมา... อ้วก
อนันตริยกรรมที่ผมกล่าว คือ การปิดกั้นเสรีภาพในการเลือกดื่มสุราที่หลากหลาย
ร้านเหล้าทั้งหลายมักรับเหล้ามาขายแบบผูกขาดไว้เพียงไม่กี่ยี่ห้อ แบ่งสรรไปตามเกรด เหล้าเกรดหนึ่งมีทางเลือกให้ผู้บริโภคไม่เกินสองยี่ห้อ
บ่อยครั้งที่เราพบเห็น ...
ต่ำสุด คือ แสงโสม (บางร้านอาจอัพเกรดตนเองให้หรู ด้วยการไม่สั่งแสงโสมมาขาย หารู้ไม่ว่า เศรษฐีบางคนอาจพิสมัยแสงโสมก็เป็นได้ โดยเฉพาะพวกฝรั่งหัวทองอยากลองเหล้าไทยแท้)
ขยับเกรดมาที่วิสกี้บ่ม ๕ ปี นำโดย นายร้อยเป่าปี่ “๑๐๐ ไพเพอร์” ของเครือชีวาส เมื่อก่อนยังมี บลู อีเกิ้ลส์ หรือ สเปย์ รอแยล มาสู้บ้าง แต่ผมกลับไปสำรวจภาคสนามครั้งก่อน พบว่าน้อยร้านนักที่จะมี บลู อีเกิ้ลส์ หรือ สเปย์ รอแยล ปัจจุบันค่ายแบล็ค เลเบิ้ล ส่งเหล้าบ่ม ๕ ปีตัวใหม่ ไอ้เขากวาง “เบนมอร์” เข้ามาสู้กับ ๑๐๐ ไพเพอร์
เกรดสุดท้ายที่ร้านจะสรรหามาให้ดื่ม คือ ระดับพรีเมียม ได้แก่ ไอ้กาดำ “แบล็ค เลเบิ้ล”และ แม่ชี “ชีวาส”
กล่าวอย่างรวบรัด ในสถานบันเทิง นักดื่มเมืองไทยมีสิทธิดื่มเหล้ายี่ห้อดังต่อไปนี้เท่านั้น
เหล้าบ่ม ๕ ปี ๑๐๐ ไพเพอร์ และ เบนมอร์
ระดับกลาง เร้ด เลเบิ้ล และซันทอรี่ เร้ด อาจมีบัลเลนไทน์มาแทรกบ้าง
พรีเมียม แบล็ค เลเบิ้ล และ ชีวาส (เดี๋ยวนี้ชีวาสก็เหลืออยู่ไม่กี่ร้านแล้ว)
มิพักต้องกล่าวถึง การจำกัดสิทธิให้ท่านได้ดื่มแค่ วิสกี้ เท่านั้น อยากสะเออะกินบรั่นดี ก็เชิญกลับไปกินที่บ้าน
คิดแล้วก็น่าเศร้าใจสำหรับนักดื่มที่ไม่ได้มองสุราเป็นแค่น้ำเมาจริงๆ
วันหนึ่ง เขาอยากรำลึกความหลังครั้งเป็นนักศึกษาเบี้ยน้อยหอยน้อยด้วยการดื่มแสงโสม จะได้หรือไม่?
วันหน้า เขาถูกหวยก้อนใหญ่ อยากล่อบลู เลเบิ้ล กรีน เลบิ้ล โกลด์ เลเบิ้ล จะได้หรือไม่?
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ มีสองประการ
ประการแรก บริษัทเหล้า ทำการตลาดยุคใหม่ ด้วยการซื้อร้านเหล้ายกร้าน แล้วบังคับให้ขายแต่ยี่ห้อของตน ผมเคยไปหลังสวน ร้านเหล้าร้านหนึ่ง มีเหล้าให้ท่านเลือกเพียง ๒ ยี่ห้อ คือ ๑๐๐ ไพเพอร์ และ ชีวาส ซึ่งทั้งสองยี่ห้อนี่เป็นของบริษัทเดียวกัน แบบนี้ ผมถือว่าบริษัทเหล้า ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว และสถานบันเทิง รวมหัวกันปิดกั้นทางเลือกของผู้บริโภคขนานแท้
อีกประการหนึ่ง เห็นจะมาจากรสนิยมการดื่มเหล้าของคนไทย ที่ไม่ใส่ใจเรื่องรสชาติ ขอให้เมาเป็นพอ เมื่อผู้บริโภคอยากโชว์ฐานะ ก็กินแบล็ค เมื่อผู้บริโภครายได้น้อยลง ก็ขอเป็นเร้ด คนจรหมอนหมิ่น ก็ต้อง ๑๐๐ ไพเพอร์ และ เบนมอร์ หรือไม่ก็กินยี่ห้ออะไรก็ได้ตามแต่ความสวยงามของเด็กเชียร์เหล้า เช่นนี้แล้ว เกิดร้านเหล้าสั่งยี่ห้ออื่นมาสงสัยคงเจ๊งเป็นแน่
ไม่น่าแปลกใจที่อาชีพเด็กเชียร์เบียร์-เหล้าจึงเฟื่องฟู ก็ผู้บริโภคไม่ได้สนใจเหล้าที่รสชาติเอาเสียเลย ไม่มีเจตจำนงเสรีในการเลือกดื่ม แต่กลับไปผูกติดกับความจิ้มลิ้มของเด็กเชียร์ (ล่าสุด ผมพบว่ามีเด็กเชียร์เครื่องดื่มแก้แฮงค์แล้วด้วย)
วงการเบียร์ก็เช่นกัน ตามสถานบันเทิง ท่านจะพบเห็นแต่ ไอ้เขียว ดาวแดง ไฮเนเก้น ผมซึ่งเป็นคนพิสมัยรสขมของพี่สิงหา ช่างอึดอัดใจยิ่งนักยามไปตระเวนราตรี แล้วมันเหมือนจะฮั้วกันอย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าสถานบันเทิง ต้องไอ้เขียว ถ้าร้านอาหาร ต้องพี่สิงหา ถ้าร้านหมูกะทะ ต้องช้างกระทืบโรง กับน้องใหม่ เสือไทเกอร์
เดชะบุญ มอลลี่ ร้านประจำผม ยังมีพี่สิงหาไปขายอยู่
วัฒนธรรมการดื่มของคนไทยอีกข้อหนึ่งที่ทำเอาผมโดนสถานบันเทิงเคืองหลายหน คือ การกินเหล้าผสมมิกเซอร์
เราสามารถพบเห็นอย่างดาษดื่นกับภาพสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มดื่มเหล้าอย่างบ้าพลังด้วยการผสมกับโค้ก (เหล้าเท่านิ้วครึ่งข้อ ที่เหลือโค้กล้วน) เมื่อสาดลงคอไปแล้ว ก็ไม่ต่างกับการดื่มโค้กดับกระหาย เพียงแต่โค้กนี้มีแอลกอฮอล์อยู่หน่อยเท่านั้นเอง
จะว่าไป น่าจะผลิตโค้กออกขายไปเลย เป็นรุ่นใหม่ ผสมแอลกอฮอลด้วย
ดื่มไปเพื่อให้เมา ผสมโค้กให้หวาน เพราะไม่ชอบรสเหล้า แต่ต้องดื่มเพราะอยากเมา
ผมถือว่าพฤติกรรมดื่มเหล้าเช่นนี้ได้ทำลายคุณค่าของเหล้าลงไปให้เหลือเป็นเพียงเครื่องดื่มสร้างความเมาและขาดสติเท่านั้น
สถานบันเทิงจับจริตของนักเที่ยวเมืองไทยได้ดี จึงลดราคาเหล้าให้ผู้บริโภคพอสู้ไหว แล้วมาโขกเอากะค่ามิกเซอร์ น้ำเปล่า โซดา โค้ก ต้นทุนขวดละไม่น่าเกิน ๕ บาท พี่ท่านเอามาขายในร้านราคาตั้งแต่ ๓๐ ถึง ๖๐ ตามแต่ย่านของสถานบันเทิง
ผมเป็นคนดื่มเหล้าแบบใส่น้ำแข็ง ๒ ก้อน ไม่ผสมอย่างอื่น พฤติกรรมอย่างนี้ จะไม่ให้ร้านเหล้าเคืองได้อย่างไร
ครั้งหนึ่ง ผมมีเหล้าฝากที่มอลลี่ วันนั้นเขียนงานมาก แล้วปวดหัว อยากไปคลายเครียด เลยแว้บไปนั่งดื่มชิล ชิล คนเดียว ผมสั่งน้ำแข็งไป ๒ ถัง น้ำเปล่า ๒ ขวด รวมแล้ว ๑๒๐ บาท ผมไม่หน้าด้านพอ จึงต้องสั่งกับแกล้มมานั่งกินอีกสองอย่าง ทั้งๆที่อิ่มแปล้จนท้องจะแตก
ไม่แน่ ถ้าผมไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ร้านเหล้าอาจกาหัวไม่ให้ผมเข้าร้านเค้าก็เป็นได้
.................
ผมอยากเห็นพัฒนาการของนักดื่มบ้านเราขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น ออกสู่โลกกว้างว่า เหล้ามีให้ท่านเลือกบริโภคหลากหลาย เหล้าใส วิสกี้ บรั่นดี เบียร์ ไวน์ จิน ปาสตีส์ สารพัดประเภท หาได้มีแค่ วิสกี้ เบียร์ RTD และค็อกเทล ดังที่สถานบันเทิง “กึ่ง” บังคับให้ท่านเลือกกินแค่นี้
แต่เอาเข้าจริง ของพรรค์นี้ มันก็ขึ้นกับความชอบและรสนิยมส่วนบุคคลอยู่ดี ผมคงไปบังคับใครไม่ได้
จากการท่องอยู่ในยุทธจักรสุรามาได้ ๘ ปี ผมสรุปได้ว่า
ถ้าคำนวณกันที่ปริมาณ คนไทยบริโภคแอลกอออล์มากติดอันดับต้นๆของโลก แต่ถ้าใช้มาตรวัดจากการกินเหล้าเป็น กินเหล้าอย่างมีศิลปะ กินเหล้าให้หลากหลายนั้น หรือความรู้ด้านเหล้านั้น เห็นทีจะรั้งท้าย
เพลง ปรัชญา หนังสือ ภาพยนตร์ ก็มีแบบแนว “ทางเลือก” กันแล้ว
เมื่อไรหนอจะมีร้านเหล้าทางเลือกบ้าง
พลพรรคนักดื่มในที่นี้ หมายความถึง บรรดาผู้นิยมชมชอบการเสพสุราในลักษณะที่เป็นสุรา ชมชอบรสชาติของสุราหลากสีหลากเผ่าพันธุ์ หาใช่ชมชอบเพราะมันเป็นน้ำดื่มก่อความเมาและขาดสติไม่ อีกนัยหนึ่ง เขาเหล่านั้นมองสุราเสมือนเป็นอาหารชนิดหนึ่ง
เรียกได้ว่า การลิ้มรสสุราจำต้องมีศิลปทางอาหาร (Gastronomie) ประกอบด้วย มิใช่สักแต่ ชน... หมด... เมา... อ้วก
อนันตริยกรรมที่ผมกล่าว คือ การปิดกั้นเสรีภาพในการเลือกดื่มสุราที่หลากหลาย
ร้านเหล้าทั้งหลายมักรับเหล้ามาขายแบบผูกขาดไว้เพียงไม่กี่ยี่ห้อ แบ่งสรรไปตามเกรด เหล้าเกรดหนึ่งมีทางเลือกให้ผู้บริโภคไม่เกินสองยี่ห้อ
บ่อยครั้งที่เราพบเห็น ...
ต่ำสุด คือ แสงโสม (บางร้านอาจอัพเกรดตนเองให้หรู ด้วยการไม่สั่งแสงโสมมาขาย หารู้ไม่ว่า เศรษฐีบางคนอาจพิสมัยแสงโสมก็เป็นได้ โดยเฉพาะพวกฝรั่งหัวทองอยากลองเหล้าไทยแท้)
ขยับเกรดมาที่วิสกี้บ่ม ๕ ปี นำโดย นายร้อยเป่าปี่ “๑๐๐ ไพเพอร์” ของเครือชีวาส เมื่อก่อนยังมี บลู อีเกิ้ลส์ หรือ สเปย์ รอแยล มาสู้บ้าง แต่ผมกลับไปสำรวจภาคสนามครั้งก่อน พบว่าน้อยร้านนักที่จะมี บลู อีเกิ้ลส์ หรือ สเปย์ รอแยล ปัจจุบันค่ายแบล็ค เลเบิ้ล ส่งเหล้าบ่ม ๕ ปีตัวใหม่ ไอ้เขากวาง “เบนมอร์” เข้ามาสู้กับ ๑๐๐ ไพเพอร์
เกรดสุดท้ายที่ร้านจะสรรหามาให้ดื่ม คือ ระดับพรีเมียม ได้แก่ ไอ้กาดำ “แบล็ค เลเบิ้ล”และ แม่ชี “ชีวาส”
กล่าวอย่างรวบรัด ในสถานบันเทิง นักดื่มเมืองไทยมีสิทธิดื่มเหล้ายี่ห้อดังต่อไปนี้เท่านั้น
เหล้าบ่ม ๕ ปี ๑๐๐ ไพเพอร์ และ เบนมอร์
ระดับกลาง เร้ด เลเบิ้ล และซันทอรี่ เร้ด อาจมีบัลเลนไทน์มาแทรกบ้าง
พรีเมียม แบล็ค เลเบิ้ล และ ชีวาส (เดี๋ยวนี้ชีวาสก็เหลืออยู่ไม่กี่ร้านแล้ว)
มิพักต้องกล่าวถึง การจำกัดสิทธิให้ท่านได้ดื่มแค่ วิสกี้ เท่านั้น อยากสะเออะกินบรั่นดี ก็เชิญกลับไปกินที่บ้าน
คิดแล้วก็น่าเศร้าใจสำหรับนักดื่มที่ไม่ได้มองสุราเป็นแค่น้ำเมาจริงๆ
วันหนึ่ง เขาอยากรำลึกความหลังครั้งเป็นนักศึกษาเบี้ยน้อยหอยน้อยด้วยการดื่มแสงโสม จะได้หรือไม่?
วันหน้า เขาถูกหวยก้อนใหญ่ อยากล่อบลู เลเบิ้ล กรีน เลบิ้ล โกลด์ เลเบิ้ล จะได้หรือไม่?
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ มีสองประการ
ประการแรก บริษัทเหล้า ทำการตลาดยุคใหม่ ด้วยการซื้อร้านเหล้ายกร้าน แล้วบังคับให้ขายแต่ยี่ห้อของตน ผมเคยไปหลังสวน ร้านเหล้าร้านหนึ่ง มีเหล้าให้ท่านเลือกเพียง ๒ ยี่ห้อ คือ ๑๐๐ ไพเพอร์ และ ชีวาส ซึ่งทั้งสองยี่ห้อนี่เป็นของบริษัทเดียวกัน แบบนี้ ผมถือว่าบริษัทเหล้า ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว และสถานบันเทิง รวมหัวกันปิดกั้นทางเลือกของผู้บริโภคขนานแท้
อีกประการหนึ่ง เห็นจะมาจากรสนิยมการดื่มเหล้าของคนไทย ที่ไม่ใส่ใจเรื่องรสชาติ ขอให้เมาเป็นพอ เมื่อผู้บริโภคอยากโชว์ฐานะ ก็กินแบล็ค เมื่อผู้บริโภครายได้น้อยลง ก็ขอเป็นเร้ด คนจรหมอนหมิ่น ก็ต้อง ๑๐๐ ไพเพอร์ และ เบนมอร์ หรือไม่ก็กินยี่ห้ออะไรก็ได้ตามแต่ความสวยงามของเด็กเชียร์เหล้า เช่นนี้แล้ว เกิดร้านเหล้าสั่งยี่ห้ออื่นมาสงสัยคงเจ๊งเป็นแน่
ไม่น่าแปลกใจที่อาชีพเด็กเชียร์เบียร์-เหล้าจึงเฟื่องฟู ก็ผู้บริโภคไม่ได้สนใจเหล้าที่รสชาติเอาเสียเลย ไม่มีเจตจำนงเสรีในการเลือกดื่ม แต่กลับไปผูกติดกับความจิ้มลิ้มของเด็กเชียร์ (ล่าสุด ผมพบว่ามีเด็กเชียร์เครื่องดื่มแก้แฮงค์แล้วด้วย)
วงการเบียร์ก็เช่นกัน ตามสถานบันเทิง ท่านจะพบเห็นแต่ ไอ้เขียว ดาวแดง ไฮเนเก้น ผมซึ่งเป็นคนพิสมัยรสขมของพี่สิงหา ช่างอึดอัดใจยิ่งนักยามไปตระเวนราตรี แล้วมันเหมือนจะฮั้วกันอย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าสถานบันเทิง ต้องไอ้เขียว ถ้าร้านอาหาร ต้องพี่สิงหา ถ้าร้านหมูกะทะ ต้องช้างกระทืบโรง กับน้องใหม่ เสือไทเกอร์
เดชะบุญ มอลลี่ ร้านประจำผม ยังมีพี่สิงหาไปขายอยู่
วัฒนธรรมการดื่มของคนไทยอีกข้อหนึ่งที่ทำเอาผมโดนสถานบันเทิงเคืองหลายหน คือ การกินเหล้าผสมมิกเซอร์
เราสามารถพบเห็นอย่างดาษดื่นกับภาพสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มดื่มเหล้าอย่างบ้าพลังด้วยการผสมกับโค้ก (เหล้าเท่านิ้วครึ่งข้อ ที่เหลือโค้กล้วน) เมื่อสาดลงคอไปแล้ว ก็ไม่ต่างกับการดื่มโค้กดับกระหาย เพียงแต่โค้กนี้มีแอลกอฮอล์อยู่หน่อยเท่านั้นเอง
จะว่าไป น่าจะผลิตโค้กออกขายไปเลย เป็นรุ่นใหม่ ผสมแอลกอฮอลด้วย
ดื่มไปเพื่อให้เมา ผสมโค้กให้หวาน เพราะไม่ชอบรสเหล้า แต่ต้องดื่มเพราะอยากเมา
ผมถือว่าพฤติกรรมดื่มเหล้าเช่นนี้ได้ทำลายคุณค่าของเหล้าลงไปให้เหลือเป็นเพียงเครื่องดื่มสร้างความเมาและขาดสติเท่านั้น
สถานบันเทิงจับจริตของนักเที่ยวเมืองไทยได้ดี จึงลดราคาเหล้าให้ผู้บริโภคพอสู้ไหว แล้วมาโขกเอากะค่ามิกเซอร์ น้ำเปล่า โซดา โค้ก ต้นทุนขวดละไม่น่าเกิน ๕ บาท พี่ท่านเอามาขายในร้านราคาตั้งแต่ ๓๐ ถึง ๖๐ ตามแต่ย่านของสถานบันเทิง
ผมเป็นคนดื่มเหล้าแบบใส่น้ำแข็ง ๒ ก้อน ไม่ผสมอย่างอื่น พฤติกรรมอย่างนี้ จะไม่ให้ร้านเหล้าเคืองได้อย่างไร
ครั้งหนึ่ง ผมมีเหล้าฝากที่มอลลี่ วันนั้นเขียนงานมาก แล้วปวดหัว อยากไปคลายเครียด เลยแว้บไปนั่งดื่มชิล ชิล คนเดียว ผมสั่งน้ำแข็งไป ๒ ถัง น้ำเปล่า ๒ ขวด รวมแล้ว ๑๒๐ บาท ผมไม่หน้าด้านพอ จึงต้องสั่งกับแกล้มมานั่งกินอีกสองอย่าง ทั้งๆที่อิ่มแปล้จนท้องจะแตก
ไม่แน่ ถ้าผมไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ร้านเหล้าอาจกาหัวไม่ให้ผมเข้าร้านเค้าก็เป็นได้
.................
ผมอยากเห็นพัฒนาการของนักดื่มบ้านเราขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น ออกสู่โลกกว้างว่า เหล้ามีให้ท่านเลือกบริโภคหลากหลาย เหล้าใส วิสกี้ บรั่นดี เบียร์ ไวน์ จิน ปาสตีส์ สารพัดประเภท หาได้มีแค่ วิสกี้ เบียร์ RTD และค็อกเทล ดังที่สถานบันเทิง “กึ่ง” บังคับให้ท่านเลือกกินแค่นี้
แต่เอาเข้าจริง ของพรรค์นี้ มันก็ขึ้นกับความชอบและรสนิยมส่วนบุคคลอยู่ดี ผมคงไปบังคับใครไม่ได้
จากการท่องอยู่ในยุทธจักรสุรามาได้ ๘ ปี ผมสรุปได้ว่า
ถ้าคำนวณกันที่ปริมาณ คนไทยบริโภคแอลกอออล์มากติดอันดับต้นๆของโลก แต่ถ้าใช้มาตรวัดจากการกินเหล้าเป็น กินเหล้าอย่างมีศิลปะ กินเหล้าให้หลากหลายนั้น หรือความรู้ด้านเหล้านั้น เห็นทีจะรั้งท้าย
เพลง ปรัชญา หนังสือ ภาพยนตร์ ก็มีแบบแนว “ทางเลือก” กันแล้ว
เมื่อไรหนอจะมีร้านเหล้าทางเลือกบ้าง
7 ความคิดเห็น:
เป็นหลักฐานของการ "เอาดีในการดื่ม" อย่างแท้จริง
ข้าน้อยขอคาราวะ หนึ่งโอ่ง
เอื้อกกกกกกก
ดื่มด้วยกรับ
อย่างกินเหล้าแนวๆ เดี๋ยวพาไปกินบ้านพี่
เอาแบบติดเตาเอง
ต้ม เอง ชงเอง กินเอง
อันโกวเล้ง กล่าวไว้ รสสุราหาได้อร่อยไปกว่าบรรยากาศในวงเหล้าไม่
เหตุฉะนี้ เมื่อท่านน้องกล่าวถึงสุรา พาลพาท่านพี่เปรี้ยวปากอยากดื่มขึ้นมาในบัดดล
จึงขอลาจร ไปดริง บัดเดี๋ยวนี้
พี่ก็เชื่อในความหลากหลาย
เวลาเห็นเมนูเครื่องดื่มร้านไหน
มีเครื่องดื่มให้เลือกมากมายแล้วจะถูกใจเป็นพิเศษ
เคยถูกใจ หนุ่มคนนึงเพราะกรรมวิธีการ
กินข้าวกับเขานั้น เริ่มตั้งแต่เหล้าก่อนอาหาร
อาหารและไวน์ระหว่างมื้อ และสุดท้ายด้วยเหล้าหลังอาหาร (อย่างกรัปป้า )
นอกจากนี้ก็ยังเชื่อในสุนทรียรสของอาหาร เครื่องดื่ม
และการสนทนาบนโต๊ะอาหาร สามสิ่งนี้ถ้าผสมกลมกลืนกลืนกันอย่างถูกสัดส่วน หลายครั้งพี่พบว่าสวรรค์บนดินมีจริงๆ
ส่วนเรื่องร้านเหล้าทางเลือกนั้น
เฮ็มล็อค รอท่านอยู่
ได้ยินเสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกับแก้วสีอำพันไหม
พี่ได้ยินแล้วล่ะ
ลืมๆ
จนบัดนี้ก็ยังชอบแสงทิพย์ (ที่ไม่มีแล้ว)
มากกว่าแสงโสม (เพระสากคอกว่า )
และยังชอบเบียร์ภูเก็ต
ซึ่งเคยมีขายที่ร้านท่าพระจันทร์ และตอนนี้ก็ไม่มีขายอีกแล้วเช่นกัน
เราน่าจะรณรงค์ให้รัฐสนใจเรื่อง ความหลากหลายของสุรา ให้เท่ากับที่เอ็นจีโอ รณรงค์เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพเนอะ
พี่แป๊ด
ถ้าผมจำไม่ผิด ร้านบัดดี้ที่ตรอกข้าวสาร เค้าสั่งเบียร์ภูเก็ตมาขายนะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกับที่พี่เคยกินมาก่อนหรือเปล่า
ส่วนแสงทิพย์ ผมทันกินตอนอยู่ ปี ๑ พอขึ้นปี ๒ เสี่ยเจริญก็ส่งแสงโสมออกมาแทน แต่ตอนนั้นยังพอฟลุคๆเจอแสงทิพย์มั่ง เพราะบางร้านยังมีสต๊อคค้างอยู่ แต่ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว
สมัยเรียนป.ตรี บางทีผมกะเพื่อนๆทรัพย์จางอย่างแรง ก็ต้องลดไปกินหงส์ทอง ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นมังกรทองไปแล้ว
จำได้ว่าไปเกาะเสม็ด ก็จะแวะร้านเหล้าขายส่งที่ฝั่งระยองก่อน เพื่อซื้อหงส์ไปลังนึง แบกข้ามน้ำข้ามทะเลไปกินกันที่เกาะ
ตอนนั้นญี่ปุ่น ๓ คนมาแจม เลยให้เค้าลอง ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นอุจจาระแตกอุจจาระแตนไปหนึ่งนาย
สมัยไม่มีตังค์นี่ ใครทิ้งสุราเรียราด กินทิ้งกินขว้าง นี่จะโดนประณามหยามเหยียด หรืออาจถูกบัพพาชนียกรรมได้
ไปกินเหล้าที่หาด ก็ขนสุราไปกองๆไว้ ปรากฏว่าทรายมันก็กลบๆ สุราไว้ขวดนึง พอมารู้ตัว หาไม่เจอ ก็เสียอกเสียใจกันใหญ่ นึกแล้วก็ขำดี
ครั้งนึงไปรับน้องกันที่เพชรบุรี กินมาราธอนกันยันสว่าง สุราเกิดหมด ผมและเพื่อนอีกคนในฐานะน้องเล็ก ต้องออกไปหาซื้อเหล้า ตอนนั้นราวๆ 7-8 โมงเช้า
ไม่น่าเชื่อเลยครับ เราหาเหล้ายี่ห้ออื่นไม่ได้เลย มีแต่แม่โขงกะเหล้าขาว
นึกในใจว่าคนเมืองเพชรนี่คงกินเหล้าดุ ล่อแต่แม่โขงอย่างเดียว
สุดท้ายเลยจำใจซื้อแม่โขงกลับไป
เจ็บใจกว่าคือ พี่ๆร่วมวงหนีไปนอนกันหมด กลายเป็นผมกะเพื่อนกินกันสองคน แต่ต่อได้อีกนิดเดียวก้ไม่ไหวละ
เหล้าอะไรก็พอสู้ได้หมดแหละครับ แต่ผมยอมแพ้แม่โขงจริงๆ
ขอคาราวะครับท่าน เยี่ยมจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก