ไม่เข้าใจ – โปรดจับตา
พระราชดำรัสวันนี้ บางช่วงก็พอเดาๆได้บ้างว่าหมายถึงอะไร แต่ก็อีกนั่นแหละ ทุกฝ่ายก็ตีความเข้าข้างตนเองหมด ก็ในเมื่อพระราชดำรัสศักดิ์สิทธิ์ออกปานนั้น ใครๆก็อยากให้เข้าทางตนเอง เลยไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่เข้าใจถูก
ได้แต่หวังว่า หลังจากพระราชดำรัสนี้แล้ว จะไม่เกิดปรากฏการณ์แต่ละกลุ่ม “ผูกขาดความเป็นเจ้าของพระราชดำรัส” ว่าพระราชดำรัสนี้เป็นคุณแก่ฝ่ายตนเอง และหวังอีกเช่นกันว่า จะไม่เกิดปรากฏการณ์ “สภาวะแตะต้องมิได้ของพระราชดำรัส”
มีข้อสังเกตให้เก็บไปคิดกันต่อ (ถ้าเกรงภัย ไม่ต้องคิดดังก็ได้)
๑. หมายกำหนดการศาลปกครองสูงสุดเข้าเฝ้าฯถวายเสื้อครุย ทำไมถึงประจวบเหมาะเช่นนี้?
๒. เนื้อความในพระราชดำรัส ชัดเจนหรือไม่? ถ้าชัดเจน หมายถึงอะไร? ถ้าไม่ชัดเจน ทำไมไม่ชัดเจน แล้วไม่ชัดเจน จะเกิดปัญหาตามมาอีกหรือเปล่า ใครจะเป็นคนบอกได้ในท้ายที่สุด?
๓. “ข้าพเจ้าเองก็ในใจมีคำตัดสินอยู่ แต่บอกท่านไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ที่จะบอก ท่านเองก็ไม่มีสิทธิ์ แต่ท่านต้องมีการตัดสินอยู่ในใจว่าที่เขา เพื่อนของศาลรัฐธรรมนูญเขาจะตัดสินถูกหรือไม่ถูก ต้องมีอยู่ในใจ
แต่ว่า เขาจะตัดสินอย่างไรก็ตาม เดือดร้อนทั้งนั้น เสียหายทั้งนั้นคำตัดสินของเขาจะเดือดร้อน และเสียหายสำหรับท่านเองทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เดือดร้อน แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าเดือดร้อน ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าเขาทำถูกหรือไม่ถูก แต่รู้ในใจว่า เขาจะตัดสินอย่างไรก็ตาม รู้ในใจว่าเขาทำถูกหรือผิด ส่วนใหญ่ก็นึกว่าคงต้องทำผิดแน่ เมื่อเขารู้สึกว่าถ้าเขาทำผิดเรามีหน้าที่ที่จะวิจารณ์ในใจ แต่ละท่านต้องวิจารณ์ว่า ที่เพื่อนศาลอื่นทำถูกหรือผิดต้องมี ต้องวิจารณ์ อย่างน้อยในใจของท่าน หรือนอกจากนั้นก็ มีความเห็นบ้างเพราะถ้าหากว่าเขาตัดสินมาอย่างไร จะเสื่อมเสียกับบ้านเมืองทั้งนั้น จะตัดสินทางไหนก็ตาม ก็เป็นคำตัดสินที่จะผิด ผิดพลาดทั้งนั้น ฉะนั้นจะต้องมีการวิจารณ์ แต่ท่านวิจารณ์เป็นทางการไม่ได้ท่านต้องวิจารณ์เป็นส่วนตัว อาจจะไม่เปล่งออกมา”
พระราชดำรัสท่อนนี้ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ศาลปกครองไม่เกี่ยวเรื่องยุบพรรคก็จริง แต่ก็ไปกระซิบบอกศาลรัฐธรรมนูญเสียหน่อย ไหนๆประธานศาลปกครองสูงสุดก็เป็นหนึ่งในองค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว อย่างนั้นหรือ?
๔. คุณเห็นด้วยหรือไม่กับ Intervention ทางตุลาการ? ภายใน ๑ ปี มีปรากฏการณ์ทำนองนี้สองครั้งแล้ว เมษาปีที่แล้วหนหนึ่ง (เพิกถอนเลือกตั้ง) พฤษภาปีนี้ อีกรอบ (ยุบพรรค) ก่อนหน้านั้น แทบไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ Intervention ทางตุลาการเลย (ผมคิดว่าสองครั้งนี้น่าจะเป็นสองครั้งแรกเลยทีเดียว) Intervention ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นไปในทางตรง เช่น เรียกคู่กรณีมาสงบศึก เป็นต้น หรือนี่เป็นรูปแบบใหม่ของการ Intervention การเมือง โดยยืมมืออำนาจตุลาการ?
........
มีเรื่องเล่าให้ฟังเล่นๆ
สหราชอาณาจักร พระราชินีอลิซาเบธไม่สามารถออกมากล่าวสุนทรพจน์ได้พร่ำเพรื่อ ในทางปฏิบัติสุนทรพจน์ที่ออกสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ มีปีละครั้ง คือ คริสต์มาส และต้องให้คณะรัฐมนตรีตรวจดูก่อนด้วย นอกจากนี้พระราชินีอลิซาเบ็ธจะกล่าวสุนทรพจน์โดยอ่านตามโพย ไม่ได้พูดสดๆโดยไม่มีสคริปต์
ในเบลเยียม รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ไม่มีกรณีใดที่พระราชดำรัสและพระราชหัตถเลขาจะหลุดพ้นไปจากการตรวจสอบของรัฐมนตรี
......
นับแต่นี้ การเมืองไทยน่าจับตาทุกฝีก้าว โปรดอย่ากระพริบตา
ประชามติรัฐธรรมนูญจะมีหรือไม่มี
แล้วจะมีรัฐประหารอีกรอบเพื่อล้างไพ่ใหม่หมด แบบถอยคนละก้าว หรือไม่
ผมเดาเอาเองว่า ไม่เกินปลายปีนี้ ปัญหาน่าจะจบ
แต่จบที่ว่า...
เกรงว่าจะจบแบบแนวเป่านกหวีดแบบเดิมๆ
เป่าแล้ว ประชาชนก็เป็นไพร่แบบเดิม
ได้แต่หวังว่า หลังจากพระราชดำรัสนี้แล้ว จะไม่เกิดปรากฏการณ์แต่ละกลุ่ม “ผูกขาดความเป็นเจ้าของพระราชดำรัส” ว่าพระราชดำรัสนี้เป็นคุณแก่ฝ่ายตนเอง และหวังอีกเช่นกันว่า จะไม่เกิดปรากฏการณ์ “สภาวะแตะต้องมิได้ของพระราชดำรัส”
มีข้อสังเกตให้เก็บไปคิดกันต่อ (ถ้าเกรงภัย ไม่ต้องคิดดังก็ได้)
๑. หมายกำหนดการศาลปกครองสูงสุดเข้าเฝ้าฯถวายเสื้อครุย ทำไมถึงประจวบเหมาะเช่นนี้?
๒. เนื้อความในพระราชดำรัส ชัดเจนหรือไม่? ถ้าชัดเจน หมายถึงอะไร? ถ้าไม่ชัดเจน ทำไมไม่ชัดเจน แล้วไม่ชัดเจน จะเกิดปัญหาตามมาอีกหรือเปล่า ใครจะเป็นคนบอกได้ในท้ายที่สุด?
๓. “ข้าพเจ้าเองก็ในใจมีคำตัดสินอยู่ แต่บอกท่านไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ที่จะบอก ท่านเองก็ไม่มีสิทธิ์ แต่ท่านต้องมีการตัดสินอยู่ในใจว่าที่เขา เพื่อนของศาลรัฐธรรมนูญเขาจะตัดสินถูกหรือไม่ถูก ต้องมีอยู่ในใจ
แต่ว่า เขาจะตัดสินอย่างไรก็ตาม เดือดร้อนทั้งนั้น เสียหายทั้งนั้นคำตัดสินของเขาจะเดือดร้อน และเสียหายสำหรับท่านเองทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เดือดร้อน แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าเดือดร้อน ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าเขาทำถูกหรือไม่ถูก แต่รู้ในใจว่า เขาจะตัดสินอย่างไรก็ตาม รู้ในใจว่าเขาทำถูกหรือผิด ส่วนใหญ่ก็นึกว่าคงต้องทำผิดแน่ เมื่อเขารู้สึกว่าถ้าเขาทำผิดเรามีหน้าที่ที่จะวิจารณ์ในใจ แต่ละท่านต้องวิจารณ์ว่า ที่เพื่อนศาลอื่นทำถูกหรือผิดต้องมี ต้องวิจารณ์ อย่างน้อยในใจของท่าน หรือนอกจากนั้นก็ มีความเห็นบ้างเพราะถ้าหากว่าเขาตัดสินมาอย่างไร จะเสื่อมเสียกับบ้านเมืองทั้งนั้น จะตัดสินทางไหนก็ตาม ก็เป็นคำตัดสินที่จะผิด ผิดพลาดทั้งนั้น ฉะนั้นจะต้องมีการวิจารณ์ แต่ท่านวิจารณ์เป็นทางการไม่ได้ท่านต้องวิจารณ์เป็นส่วนตัว อาจจะไม่เปล่งออกมา”
พระราชดำรัสท่อนนี้ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ศาลปกครองไม่เกี่ยวเรื่องยุบพรรคก็จริง แต่ก็ไปกระซิบบอกศาลรัฐธรรมนูญเสียหน่อย ไหนๆประธานศาลปกครองสูงสุดก็เป็นหนึ่งในองค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว อย่างนั้นหรือ?
๔. คุณเห็นด้วยหรือไม่กับ Intervention ทางตุลาการ? ภายใน ๑ ปี มีปรากฏการณ์ทำนองนี้สองครั้งแล้ว เมษาปีที่แล้วหนหนึ่ง (เพิกถอนเลือกตั้ง) พฤษภาปีนี้ อีกรอบ (ยุบพรรค) ก่อนหน้านั้น แทบไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ Intervention ทางตุลาการเลย (ผมคิดว่าสองครั้งนี้น่าจะเป็นสองครั้งแรกเลยทีเดียว) Intervention ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นไปในทางตรง เช่น เรียกคู่กรณีมาสงบศึก เป็นต้น หรือนี่เป็นรูปแบบใหม่ของการ Intervention การเมือง โดยยืมมืออำนาจตุลาการ?
........
มีเรื่องเล่าให้ฟังเล่นๆ
สหราชอาณาจักร พระราชินีอลิซาเบธไม่สามารถออกมากล่าวสุนทรพจน์ได้พร่ำเพรื่อ ในทางปฏิบัติสุนทรพจน์ที่ออกสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ มีปีละครั้ง คือ คริสต์มาส และต้องให้คณะรัฐมนตรีตรวจดูก่อนด้วย นอกจากนี้พระราชินีอลิซาเบ็ธจะกล่าวสุนทรพจน์โดยอ่านตามโพย ไม่ได้พูดสดๆโดยไม่มีสคริปต์
ในเบลเยียม รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ไม่มีกรณีใดที่พระราชดำรัสและพระราชหัตถเลขาจะหลุดพ้นไปจากการตรวจสอบของรัฐมนตรี
......
นับแต่นี้ การเมืองไทยน่าจับตาทุกฝีก้าว โปรดอย่ากระพริบตา
ประชามติรัฐธรรมนูญจะมีหรือไม่มี
แล้วจะมีรัฐประหารอีกรอบเพื่อล้างไพ่ใหม่หมด แบบถอยคนละก้าว หรือไม่
ผมเดาเอาเองว่า ไม่เกินปลายปีนี้ ปัญหาน่าจะจบ
แต่จบที่ว่า...
เกรงว่าจะจบแบบแนวเป่านกหวีดแบบเดิมๆ
เป่าแล้ว ประชาชนก็เป็นไพร่แบบเดิม