วันศุกร์, ตุลาคม 13, 2549

เนติบริกร?

ถ้ายังจำกันได้...

ผมเคยเขียนเรื่องเนติบริกรเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

http://etatdedroit.blogspot.com/2006/05/blog-post.html

เราเรียก วิษณุ บวรศักดิ์ โภคิน มีชัย ว่าเนติบริกร เพราะไปรับใช้รัฐบาลทักษิณ

หากเนติบริกร คือ ผู้ที่ไปเขียนกฎหมาย หาช่องทางกฎหมาย หาเหลี่ยมคูทางกฎหมาย เพื่อรับใช้เป้าหมายของตน

ไม่เพียงแต่ วิษณุ บวรศักดิ์ โภคิน มีชัย เท่านั้นที่เป็นเนติบริกร

หากนักกฎหมายอีกขั้วหนึ่ง ที่ไปช่วยพันธมิตรฯ ที่พยายามเอาทักษิณออกไป ก็ต้องเป็นเนติบริกรเช่นเดียวกัน

มีนักกฎหมายท้วงติงผมมาว่า ไม่ถูกต้อง เพราะ นัยของเนติบริกร คือ ความเลว

เมื่อ วิษณุ บวรศักดิ์ โภคิน มีชัย ไปรับใช้รัฐบาลทักษิณ ซึ่งถือว่าเลว ก็ต้องเป็นเนติบริกร

หากใครไปรับใช้คนดี เป้าหมายดี ไม่อาจเรียกได้ว่าเขาเป็นเนติบริกร

ผมคิดว่า อะไรดี อะไรเลว มันอัตวิสัย

ไปถามวิษณุ บวรศักดิ์ ตอนเข้าไปรับใช้สมัยชาติชาย มาถึงทักษิณ เขาอาจคิดว่าเขาไปรับใช้สิ่งดีๆอยู่ก็ได้

ก็ไม่ต่างอะไรกับนักกฎหมายที่ไปช่วย คปค เพราะคิดว่ากำลังทำคุณอนันต์ให้แก่บ้านเมืองอยู่

เห็นเมื่อก่อนว่าพวกเนติบริกรทักษิณเต็มไปหมด เรื่อง พรก ฉุกเฉินเอย เรื่องแทรกแซงสื่อเอย เรื่องแทรกแซงองค์กรอิสระเอย เรื่องจำกัดสิทธิเสรีภาพเอย

เอาแบบนี้แล้วกัน ผมขอความกรุณา นักกฎหมายที่ไปช่วย คปค ทั้งหลาย ช่วยพิสูจน์ได้ไหมครับว่าไม่ได้เป็นเนติบริกรนัยเลว (แบบที่พวกคุณเคยด่าเนติบริกรทักษิณ) ด้วยการไปบอกรัฐบาลให้เลิกกฎอัยการศึก ยกเลิกการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ยกเลิกประกาศ คปค ฉบับ ๒๗ ที่เอาโทษแบนทางการเมือง ๕ ปี มาใช้ย้อนหลัง ยกเลิกการแทรกแซงองค์กรอิสระด้วยการตั้งคนที่ไม่เป็นกลางเข้าไป ฯลฯ

หากเรารู้สึกคำว่า "เนติบริกร" เป็นสิ่งชั่วร้าย ฟังแล้วดูทุเรศ ผมเสนอว่าให้ยกเลิกคำนี้ไป จะได้ไม่ต้องมาเถียงกันอีก

(แต่ส่วนตัว ผมไม่เห็นว่าคำว่า "เนติบริกร" เป็นคำที่เลว)

อาจคิดคำใหม่ๆมาใช้กัน อย่างเช่น นักกฎหมาย คปค, เนติ คปค, เนติบริกรใน "ระบอบ ปชต อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ เนติสี่เสา เป็นต้น

อนึ่ง ผมไม่ได้บอกว่าใครเลว ใครดี ผมไม่บังอาจไปบอกว่าขั้วเนติบริกรทักษิณเป็นคนเลวหรือดี หรือ ขั้วนักกฎหมาย คปค เป็นคนเลวหรือดี เรื่องของเรื่อง ผมแค่ออกมาเรียกร้อง "ตรรกะ" ในหมู่นักกฎหมายเท่านั้นเองว่า "ตรรกะ" ที่ใช้ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่อะไรที่เป็น "แนว" ของฉันต้องดีหมด ถูกหมด อะไรที่เป็นของ "อีกฝ่าย" ต้องเป็นความเลว ความชั่ว

กล่าวให้ถึงที่สุด อย่าใช้มาตรวัดทาง "ศีลธรรม" (ซึ่งอัตวิสัยมากๆ) มาจับว่าใครเป็นเนติบริกรเลย ใครรับใช้ทักษิณเป็นเนติบริกรที่เลว ใครรับใช้ คปค เป็นเนติบริกรที่ดี

และ ขอความกรุณาอย่าบริภาษว่าผมโง่ ผมไร้เดียงสา ไอ้บ้านี่ ไม่รู้เรื่อง นักกฎหมายกลุ่มนี้ เขาเสียสละกำลังไปช่วยบ้านเมือง (วิษณุ บวรศักดิ์ มีชัย โภคิน ก็อาจคิดแบบนี้เหมือนกันว่าไปช่วยบ้านเมือง) เพราะ ผมไม่เห็นทิศทางเลยว่า "แก๊งค์บารมี" นี้จะทำให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน และแม้ผมไม่ได้เป็นลูกชาวนา (ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกครับที่ความเป็นลูกชาวนา จะทำให้เราเข้าใจลูกชาวนาอย่างลึกซึ้ง) แต่ผมก็เห็นว่า การปกครองโดยแก๊งค์บารมีไม่ได้ทำให้ "ชาวนา" หรือ "ลูกหลานชาวนา " ลืมตาอ้าปากขึ้น

นอกเสียจาก คุณสารภาพชัดๆว่า คุณศรัทธาในระบอบการปกครองของแก๊งค์บารมี หรือ เรียกเพราะๆว่า อภิชนาธิปไตย เมื่อนั้นผมจะยอมรับ เพราะรสนิยมเราไม่ตรงกันเสียแล้ว

45 ความคิดเห็น:

Blogger crazycloud กล่าวว่า...

หากนักกฎหมายพูดว่า ดี เลว เป็นอัตวิสัย แล้วละก้อ ผมคิดว่า ปัญหาบ้านเมืองคงตามมาอีกเยอะ เพราะ กฎหมายต้องยืนอยู่ข้างความดีงามร่วมกัน

แก็ง เนติบริกร คือ พวกเลว คุณไม่เข้าใจได้อย่างไร คุณไม่เคยศึกษาผลงานความลวของพวกเขาที่ ตรากฎหมายขายชาติ ขายแผ่นดิน ย่ำยีคนเล็กคนน้อยรึไง จึงไดพล่อยความคิดออกมาเช่นนี้

ในขณะที่ ตรรกะประชาธิไตยอันตีบตันของพวกคุณ ก็ดูจะอ่อนด้อย ปรีดี พนมยงค์ กล่าวไว้ ว่า "ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงการปกครองมิได้มุ่งหมายให้เปลี่ยนจากระบบที่มีเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์ ความมุ่งหมายของข้าพเจ้า คือ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุขราษฎร"

ดังนั้น คุณลองกลับทบทวน ประชาธิปไตยของคุณให้ดี

ส่วนประเด็นสนับสนุน คปค.นั้น นักกฎหมายที่ทำงานไม่มีใครเห็นด้วยกับการรัฐประหารแบบเต็มๆหรอกครับ แต่สำหรับปัญญาชน ผู้ไม่เข้าใจการบำบดทุกข์ นอกจากสำเร็จความใคร่ของตนเองไปวันๆแล้ว ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าจะเกิดการนองเลือด อย่าน้อยผมคนนึงที่ไม่ยอมตาย เพื่ออุดมการณ์อันอ่อนปวกเเปยก สรรพแต่ว่าพูด พร่ำเพ้อ

ดังนั้น เนติบริกร จึงหมายถึง ไอ้พวกนักกฎหมาย ชั่ว

สำหรับ ผม กู ข้าพเจ้า ขอบอกว่า หัวใจของผม คือ การบริการประชาชน

ไม่ได้บริการอำนาจชั่ว

ไม่ได้บริการตรรกะประชาธิปไตย แบบเพ้อเจ้อ โดยไม่ดูหยาดเหงื่อ

แล้ว การที่ผมเป็นลูกชาวนา นั้น ขอบอกว่าทำให้ชีวิตผมเรียนรู้ความทุกข์ยากตามธรรมชาติ ไม่ใช่ไอ้ตี๋เด็กกรุง ลำเลิกคุณฟ้า คุณแผ่นดิน เติบใหญ่ได้ขั้น ทำกำเริบเสิบสานกับในหลวง

ผมสู้เต็มที่ เพื่อเอาไอ้แม้ว ทรราชย์ออกให้ได้ แบบถอนรากถอนโคน แล้วจะยืนเท้าเอวดูน้ำหน้า ไอ้พวกหนอนตำรา ดูซิว่า มันจะทำงานให้คุ้มเงินภาษีประชาชนไหม

ผมทำแล้ว สู้แล้ว เพื่อประชาชน ชีวิตนี้ถึงตายก็ไม่เสียดาย

ผมเข้าใจในสามก๊ก อย่างแจ่มแจ้ง ก็ตอนนี้แหละ ว่า บัณฑิตหน้าขาว หนอนตำรา คือใคร

8:35 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอผมเสนอหน่อยแล้วกันนะครับปึ๋ง

เนื่องจากผมพยายามเปิดหาในพจนานุกรมแล้ว แต่ไม่พบคำว่า "เนติบริกร" ดังกล่าว
ผมจึงอยากจะนิยามคำจำกัดความของคำนี้ขึ้นมาเองซะหน่อย

ผมอยากนิยามคำว่า "เนติบริกร" ให้ง่ายๆ เข้าว่า (อาจจะเป็นเพราะความมักง่ายส่วนตัว) เพื่อให้ผู้อ่าน ผู้ฟัง หรือผู้ได้ประสบพบเห็นคำนี้ เข้าใจง่ายๆ ด้วย เลยคิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุดนั้น ไม่น่าจะต้องเอาประเด็น "ความดี" หรือ "ความชั่ว" มาเกี่ยวข้อง แค่นิยามไปตามรูปศัพท์เฉยๆ

จาการสังเกตแบบผิวเผิน ผมพบว่านี่เป็นการสมาสคำในภาษาบาลี สันสกฤต จำนวน 2 คำ คือคำว่า "เนติ" และ "บริกร"
เผอิญพจนานุกรมที่อยู่ใกล้มือผมที่สุด ไม่ใช่ฉบับล่าสุดของราชบัณฑิตยสถานซะด้วย และตอนนี้ "เครือข่ายพจนานุกรมออนไลน์" ก็เจ๊งอีกตะหาก ผมก็เลยต้องใช้พจนานุกรมฉบับเก่า และความเข้าใจโดยส่วนตัวของผม มาช่วยนิยามไปพลางก่อน

"เนติ" ตามพจนานุกรมฉบับนี้ หมายความว่า แบบแผน ขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎหมาย วิธีปกครอง
"บริกร" (คำนี้แหละที่ผมเปิดในพจนานุกรมฉบับนี้ไม่เจอ) ตามความเข้าใจของผมหมายความว่า ผู้ทำงานบริการเพื่อค่าตอบแทนเป็นอามิส สินจ้าง

ดังนั้น ผมจึงเข้าใจว่า "เนติบริกร" หมายถึง "ผู้ให้บริการทางกฎหมายเพื่อค่าตอบแทนเป็นอามิส สินจ้าง"
ไม่น่าจะเกี่ยวกับ "ความดี" หรือ "ความชั่ว" เท่าใดนัก เพราะทั้งสองคำก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกไปในทาง "ดี" หรือ "เลว"
ผมไม่เคยรู้สึกว่าผู้ที่ทำอาชีพ "บริกร" เป็นคนร้าย หรือต่ำต้อยตรงไหน เค้าก็มาช่วยผมให้ไม่ต้องยกอาหารมากินเอง และยังคอยเติมน้ำ หรือชงสุราให้ผมซะด้วย (ถึงจะมีบางที่ที่ให้บริการไม่ประทับใจผมนักก็ตาม)
ก็เป็นอาชีพที่สุจริตอย่างนึงหละนะ ไม่ใช่โจรที่ไปปล้นฆ่าเค้าเมื่อไหร่
หากจะบอกว่า "เนติบริกร" มีนัยของความเลวอยู่ในคำ ผมว่ามันออกจะไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบอาชีพ "บริกร" เท่าใดนัก

หากผมได้ยินคำว่า "เนติบริกร" แล้ว ผมจะเข้าใจในทันทีเลยว่าผู้นั้นประกอบอาชีพให้บริการทางกฎหมายเพื่อเงินเป็นค่าตอบแทน แน่นอนว่าทนายความอย่างผม ก็ต้องจัดเป็น "เนติบริกร" เหมือนกัน
แต่อาจจะมีบ้างบางคดี ที่ผมไม่ได้ทำเพื่อหวังอามิส สินจ้าง ในคดีอย่างนั้น จะมาเรียกผมว่า "เนติบริกร" ไม่ได้แล้วนา ผมไม่ได้ให้บริการด้านกฎหมายโดยหวังค่าตอบแทนซักหน่อย

อย่างพี่โตที่ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมายเพื่อมหาชน เพื่อประเทศชาติ โดยไม่ได้หวังอามิสสินจ้างตอบแทน ยังไงๆ ผมก็ไม่มีทางเรียกพี่ว่า "เนติบริกร" แน่ๆ ครับ
แต่นักกฎหมายที่ให้บริการด้านกฎหมายโดยหวังเงินเป็นผลตอบแทน ไม่ว่าเค้าจะมีวัตถุประสงค์ "ดี" หรือ "เลว" ยังไงก็แล้วแต่ ผมว่าก็น่าจะพอเรียกว่า "เนติบริกร" ได้นะครับ

10:58 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

1. เทพ โพธิ์งาม
2. เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา
3. พัชราภา ไชยเชื้อ
4. อลิเซีย ซินเวอร์สโตน
5. มาโดกะ โอซาว่า

ห้าคนนี้ไม่ใช่เนติบริกรแน่นอน! ฟันธง!

11:26 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เนติบริกร คือ technician ของพวกอำนาจนิยม

เนติบริกร ใช้ technic ทางกฎหมายโดยมี "ประชาธิปไตย" ก็ตาม "นิติรัฐ"ก็ตาม บังหน้า

การนั่งในคณะกรรมการตรวจสอบ ที่มีอำนาจกว้างขวาง ไร้การตรวจสอบ หนึ่ง

การเสนอให้เลิกกฎหมายสัมปทานชินคอร์ปโดยรัฐโดยพลการ หนึ่ง

สองอย่างนี้ผมไม่เห็นว่าจะเป็น "ประชาธิปไตย" หรือ"นิติรัฐ"ตรงไหน

แต่จะเป็นเนติบริกรหรือเปล่า ก็ต้องคิดเอาว่า

สิ่งที่คุณทำอยู่มันเป็นอำนาจนิยมหรือเปล่า

(อย่าเพิ่งบอกว่าใช้อำนาจเพื่อบำบัดหรือบำรุงใครทั้งนั้น)

ถ้าสิ่งที่คุณทำอยู่มันเป็นอำนาจนิยม

1:21 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เฮ้ย!ปึ๋ง ลบข้อความซะเยอะเลยคราวนี้ ดุจริงนะมรึง
แต่คราวนี้เสียผู้หลักผู้ใหญ่ไปหลายคนจริงๆแฮะ เสียศรัทธาจริงๆ

2:46 หลังเที่ยง  
Blogger Etat de droit กล่าวว่า...

ผมเขียนตอนนี้ เพราะไปอ่านบทสัมภาษณ์ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ในประชาไท เลยเอามาเขียนต่อ

เห็นด้วยหลายท่อนมาก เช่น

“ใครๆ ก็เป็นเนติบริกรได้ ถ้าพร้อมจะเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร หรือทุกครั้งที่ผู้มีอำนาจต้องการ

ผมคิดว่าเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการโจมตีคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ของนักกฎหมายมหาชน ซึ่งนักกฎหมายมหาชนกลุ่มหนึ่งพยายามให้เหตุผลว่าคุณมีชัยเป็นเนติบริการที่เลวร้าย รับใช้ระบอบทักษิณ ร่างกฎหมายให้เผด็จการทหารหลายชุด ฯลฯ จึงไม่ควรให้คนอย่างนี้มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญหรือทำงานด้านกฎหมายให้คณะปฏิรูปการปกครอง

สำหรับนักกฎหมายเหล่านี้ ความเป็นเนติบริกรผูกพันกับใบหน้าของคุณมีชัย, คุณวิษณุ หรือคุณบวรศักดิ์

ขณะที่ผมกลับคิดว่าความเป็นเนติบริกรหมายความถึงสภาพที่นักกฎหมายมหาชนพร้อมที่จะเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร ร่างกฎหมายได้ทุกอย่างตามแต่ผู้มีอำนาจจะต้องการ"

เนติบริกรไม่ใช่ตัวบุคคล แต่คือสภาพทางความคิดที่สยบยอมต่อการรัฐประหาร ดิ้นรนเข้าหาผู้มีอำนาจ หรือไม่ก็วิพากษ์วิจารณ์เป็นพิธี เพื่อรักษาภาพความเป็นนักประชาธิปไตยของตัวเองเอาไว้ ทั้งที่ลึกๆ แล้วก็เชื่อว่าการเข้าไปคลุกวงในกับผู้มีอำนาจคือเป้าหมายขั้นสูงสุดของการทำหน้าที่นักกฎหมายมหาชน

นักกฎหมายมหาชนบางกลุ่มโจมตีเนติบริกรอาวุโสอย่างคุณมีชัย คนเหล่านี้พยายามสื่อสารไปยังคณะรัฐประหารว่าอย่าไปยุ่งกับคนเลวๆ แบบนี้ เรียกใช้คนดีๆ อย่างพวกผมดีกว่า และนี่คือการเกิดขึ้นของเนติบริกรรุ่นใหม่ซึ่งไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่คุณมีชัย และคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกต่อไป

ในที่สุด คำว่าเนติบริกรจะแปรสภาพเป็นการใส่ร้ายป้ายสีที่เนติบริกรรุ่นใหม่โจมตีเนติบริกรรุ่นเก่า เป้าหมายของการโจมตีนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากบอกว่าเอาพวกฉันเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญได้เป็นดี"

จุดประสงค์ของผม ไม่ได้ตั้งใจมาตำหนิคนที่เข้าไปช่วย คปค. แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ในเมื่อทำแบบเดียวๆกับที่เขาเคยทำมา ก็ไม่ควรไปตำหนิว่าเขาเลว

หากเชื่อมั่นว่าตนเองกำลังช่วยบ้านเมือง ก็ไม่มีปัญหา เอาใจช่วย แต่อย่าไปเบลมกับคนอื่นว่าเลว

เท่านั้นเอง...

ส่วนคอมเม้นท์ที่ถูกลบไป ผมไม่ได้เป็นคนลบนะครับ คนเขียนคอมเม้นท์เป็นผู้ลบเอง

5:01 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่มีอะไรในสมองจะเขียน ...เข้ามาอ่านครับ

11:27 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ใครคิดคำนี้เป็นคนแรก ? รู้มะ ? ผมถามไปงั้น เพราะไม่รู้ แต่แค่รู้สึกว่า ทุกคนที่เข้ามาพยายาม "นิยาม" หรือ "ให้ความหมาย" กับคำนี้ ต่างใช้ความรู้สึก และความเข้าใจของตัวเองล้วน ๆ แถมหลายคนมี "ธง" ไว้ก่อนแล้วว่าจะด่าใคร ก็เลยหาเหตุผลร้อยแปด มาเพื่อนิยามให้ตรงกับพฤติกรรมของไอ้คนที่ตัวเอง อยากด่า

บางคน พยายามอ้างอิง นิยามจากพจนานุกรมนู่นเลย ซึ่งมันไม่เห็นจะไปกันได้ที่ตรงไหน ? แถมออกจะหน่อมแน๊มไปหน่อย เพราะ นี่มันศัพท์ที่คิดขึ้นมาเฉพาะ เพื่ออธิบายพฤติกรรมเฉพาะ ไม่ใช่ศัพท์ทั่วไปที่จะไปหยิบไปจับมาผสมตามภาษาซื่อ

ฮะแฮ่ม...ผมไม่ได้มาให้คำนิยาม หรือไม่ได้มาเข้าข้างใคร แค่มาสะกิดให้ลองหันไปมองอีกมุมหนึ่ง

โดยส่วนตัว ผมคิดว่า จริงอยู่ที่ "ความดี" "ความเลว" ไม่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรง หรือ ฟันโชะชัด ๆ ลงไปได้ ว่า เนติบริกร หมายถึง "นักกฎหมายเลว"....แต่..อาจไม่ถูกก็ได้ ถ้าจะด่วนตัดสิ่งนี้ออกไปโดยเด็ดขาด

นัยยะแห่ง ความดี และ ความเลว น่าจะเคลือบแฝงไว้จาง ๆ ในคำศัพท์นี้ เพราะ คงไม่มีใครปฏิเสธได้นะครับว่า คำนี้ เป็น "คำด่า" (เพราะถ้าเป็นคำธรรมดา ๆ หรือ คำชม คนที่ถูกหาว่าเป็น เนติบริกร ก็คงไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ แถมนักกฎหมายทั้งหลาย คงอยากให้ใครชี้หน้าว่า ฉันเป็น)

อนึ่ง ในเมื่อสังคมไทย ๆ "คำด่า" มักถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อ ต่อว่า หรือ ประณาม "คนไม่ดี" "คนเลว" ซึ่งหมายถึง คนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปอย่างที่สังคมคาดหวัง

กอร์ปกับ ผมเดาใจคนคิดคำนี้ว่า เค้าคิดค้นมันขึ้นมา ก็เพื่อใช้ "ด่า" นักกฎหมายกลุ่มหนึ่ง ที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ไม่อยู่ในร่องในรอย หรือ ไม่อยู่ในกรอบ "ที่ควรจะเป็น" ของ นักกฎหมายดี (เป็นไงก็ยังไม่แน่ชัดนัก แต่ที่แน่ ๆ ต้องไม่รับใช้ผู้มีอำนาจ..มั้ง)

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรนี่นะ หากจะมีใครสักคน ตีความ "พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักกฎหมาย" ที่ถูกด่า กลุ่มนี้ว่า มันก็คือ พฤติกรรมของ "คนเลว" หรือ "คนไม่ดี" หรือ นักกฎหมายเลว ๆ คนหนึ่ง นั่นเอง (ตามแนวสังคมไทยเปี๊ยบ)

ส่วน..ไอ้การกระทำอะไรที่ ไม่ชัดเจนว่า ดี หรือไม่ดี, คนในสังคมเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย , ควร หรือไม่ควร, เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม...ประเภทก้ำ ๆ กึ่ง ๆ เช่น ไปช่วยร่างกฎหมาย ในยามที่จำเป็นต้องมีกฎหมาย ซึ่งจะร่างออกมาดีหรือไม่ ยังไม่แน่ชัด

ร่างแล้วคนยอมรับ ก็โอเค ไม่ถูกด่า แต่ถ้าร่างออกมารับใช้คนบางกลุ่ม ทำให้สังคมไม่โอเค ก็ควรต้องถูกด่า

อะ..ยาวไป เดี๋ยวจะงงกัน ผมรีบสรุปเลยดีกว่า ว่า

การที่ นักกฎหมายสักคน ควร หรือไม่ควร "ถูกด่า" ด้วยคำว่า "เนติบริกร" คนที่คิดคำนี้ขึ้นมา เค้าไม่น่าจะดูที่ "จุดเริ่ม" แต่เขาดูที่ "ผลลัพธ์" ที่ออกมา ต่างหาก

ถ้าร่าง หรือทำงานออกมา ปรากฎว่าดี รับใช้สังคม ตอบสนองคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มใคร หรือ กลุ่มผู้กุมอำนาจ...อย่างนี้ ...เราจะด่วนไป "ด่า" เขาทำไมล่ะว่า เป็น "เนติบริกร"...จริงมั๊ย ?

คำถาม ก็คือ ที่ มีชัย วิษณุ หรือ บวรศักด์ ถูกด่า ด้วยคำว่า เนติบริกร นั่น เขาถูกด่า ตั้งแต่ต้น ที่เริ่มเข้าไปเล่นการเมือง หรือไปทำงานกับผู้มีอำนาจ รึไงล่ะ ?

ถ้าตอบว่า "ใช่" ก็เท่ากับว่า นักกฎหมายไม่มีสิทธิผันตัวเองไปเล่นการเมือง หรือ ทำงานการเมืองเลยล่ะสิ เพราะถ้าไปเมื่อไหร่ ก็ต้อง "ถูกด่า"...ถูกรึ ?

ตรองดูให้ดี ๆ ครับว่า ที่สามคนนั้น ถูกด่า แท้จริงแล้ว มันก็เพราะ ไอ้สิ่งที่เขาเคย ๆ ร่าง หรือเคย ทำ ๆ กันไว้ ผลลัพธ์ มันออกมาในทำนองที่ว่า ร่างให้ประโยชน์กับคนบางกลุ่ม เอื้อประโยชน์ต่อคนที่เขาทำงานให้ ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม เมื่อสังคมเห็นว่าไม่ดี ไม่ควร มันก็เลย ต้องโดนด่า...

2:01 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นะ ตอบซะสุภาพเลย เหอเหอเหอ
ตอนนี้ห้ามโฆษณาแอลกอฮอลทุกชนิด (ลงแดงแน่มรึง)ห้ามโฆษณาในทีวี 24 ชม.รวมไปถึงการถ่ายทอดสดพุตบอล ห้ามโฆษณากลางแจ้ง บูธเบียร์(ต่อไปนี้คงเป็นบูธสีขาวๆดูไม่จืดแหงๆ)ธงประดับก็ไม่ได้ คัตเอาท์เลิกกัน สาวเชียร์เบียร์ก็ไม่ได้ (อ่ะจ๊ากกกก!!) .........

เฉยๆกับเนื้อหาคำสั่งนี้นี้นะ แต่ที่ไม่ชอบคือ อาการผู้ใหญ่สั่งผู้น้อยห้ามเถียงนี้ มันมาอีกแล้ว ก่อนออกกฏนี้ถามใครบางหรือยังหือ? แหมรัฐบาลรักษาการนี้ทำไมฟิตกันจัง? เค้าให้มาทำงาน"ประจำวัน"มิใช่รึ? ไม่ใช่มาทำในสิ่งที่ไม่มีในสัญญาประชาคม ก็ไม่มีสัญญาประชาคมอะดิ เพราะไม่ใช่รัฐบาลจากการเลือกตั้งซะหน่อย ท่านผู้เฒ่าทั้งหลาย รู้ฐานะซะหน่อยเถอะครับ

11:03 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ฮ่าฮ่าฮ่า ปึ๋ง นักร้องสาวที่เราคุยกันวันกลับนี้ ชื่อ
นัดดา วิยะกาจญ์ ว่ะ เฮียเค้าไม่ชอบให้มาเตะเนื้อต้องตัว จุ๊กกรู้..............

11:46 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แล้วอย่างนั้นคุณจะทำอย่างไรล่ะครับ ในเมื่อท่านอธิการบดีคุณเป็นตัวตั้งตัวตีคนหนึ่ง(อาจจะไม่ใช่ระดับสำคัญมาก) และคุณจะแสดงออกอะไรที่มากกว่าที่เขียนบ่นพึมพำในนี้ไหม คุณจะกล้าลาออกจากการเป็นอาจารย์เพื่อประท้วงไหมที่ อธิการบดีมีรสนิยมไม่ตรงกับคุณ ตั้งแต่เรื่องมาตรา 7แล้ว

ผมว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งของคนที่เรียกตัวเองปัญญาชนสาธารณะไทยที่พากันออกมาต่อต้านการรัฐประหารด้วยแค่การแสดงความเห็นแล้วคงจะนึกในใจว่า กูคุณธรรมสูงส่ง รักเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนสูงส่ง เป็นบุคคลล้ำเลิศและสูงส่งด้วยจริยธรรม คุณธรรม เมตตาธรรมทั้งปวง แต่สำหรับผม พวกนักวิชาการแหกปากพวกต่อต้านรัฐประหารพวกนี้ สู้ลุงที่ขับแท๊กซี่ไม่ได้ รายนี้สิแน่จริงไม่ต้องมาแสดงออกทางข้อเขียนยกหางตัวเองว่าฉันรักประชาธิปไตยเพื่อสร้างภาพลักษณ์หรือยกระดับคุณธรรมและจริยธรรมส่วนตัวด้วยวาจาหรือข้อเขียน แต่กระทำมันออกมาเลย ด้วยการสละชีวิต

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยแสดงออกว่าผมรักประชาธิปไตย ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยยกเอาคุณธรรม ศาสนา จริยธรรม หรือสิ่งดีๆ พระเป็นเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สูงส่งมายกหางตัวเองมากนัก เพราะคนจริงเขาวัดจากการกระทำ

ด้วยเหตุนี้ผมที่เป็นขวา เชื่อในตลาดเสรี นิยมในนโยบายเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทย(แต่ชิงชังทักษิณ)ชิงชังแนวทางคอมมิวนิสต์ จึงสามารถนับถือเสกสรร ประเสริฐกุล นับถือปรีดี และชนชั้นกลางตัวจริงที่ตายไปในเหตุการณ์14ตุลาและ พฤษภาทมิฬ รวมทั้งนับถือ นายศาสตรา โตอ่อน และคนอื่นๆที่แสดงออกมากกว่าลมปากและตัวอักษร

ถ้าไม่แน่จริงอย่างที่เขียน อย่าแสดงออกพร่ำเพรื่อครับ

7:45 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

the definition is very simple. เนติบริกร หมายถึง "นักกฎหมายเลว" That's it!!

9:17 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ความเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องที่เคารพ ... สำหรับตัวผมเอง ไม่เคยนิยามว่าดีหรือเลว เพราะโดยความหมายของคำ แต่ละคำของเนติบริกร มันไม่ได้แสดงถึงความ
ดีหรือความชั่ว โดยตัวของมันเอง มีแต่คนที่ให้คำนิยามกันไปเอง

นักกฎหมายก็มีหลายหน้าที่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือ เป็นเพียงนักวิชาการที่เสนอความเห็นของตนในมุมมองที่ตนเห็นและเชื่อโดยสุจริต ว่าเป็นเช่นนั้น

ใครเชื่ออย่างไร ก็ทำไป ไม่อาจว่าได้ หากเชื่อว่าตัวปัญหาคือ บุคคล แล้วขับไล่โดยใช้วิธีการใดก็ได้ ใครเล่าจะไปว่าได้ แต่ถ้าเราเห็นว่า หากเราได้รับการแต่งตั้งเข้าไปรับใช้คณะบุคคลที่เราเห็นว่าได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม เราก็จะต้องปฏิเสธ ไม่เข้าไปรับใช้ อันนี้จะว่ากันก็ไม่ถูก แต่ใครจะเข้าไปรับใช้ ... ก็ตามแต่ดุลพินิจเท่านั้น ก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนาเถิด

สุดท้าย ก็หวังว่าจะมียักษ์ใจดี ....เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย

9:32 หลังเที่ยง  
Blogger Oakyman กล่าวว่า...

คุณปริเยศมาแรงเชียว

ผมผู้อ่านบล็อกครับ
รอคอยคำตอบจากเจ้าของบล็อกครับ

แต่สงสัยว่าถึงอยากจะลาออก
แต่คงลาออกไม่ได้ เพราะน่าจะใช้ทุนรัฐบาลในการมาศึกษาต่ออยู่ใช่มั้ยครับ?

9:41 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณ Oakyman

ผมไม่ได้เขียนแรงอะไรหรอก ผมเขียนตรงๆเท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องตลกน่ะ ถ้าใครหยิบยกแค่มาบอกว่าใครก็ตามที่มีรสนิยมนิยมสนับสนุนการทำรัฐประหารไม่สอดคล้องกับรสนิยมตนเองด้วยนัยยะที่ดูถูกดูแคลนในจริยธรรมหรือคุณธรรมของคนผู้นั้น


ถ้าจะวัดกันอย่างนั้นจริงๆ
แล้ว การที่คนนิยมปรีดี ที่ก่อกบฏ(รัฐประหารที่ล้มเหลว)ในนามกบฏวังหลวงล่ะ คนพวกนั้นรสนิยมเป็นอย่างไร สอดคล้องกับท่านเจ้าของบล็อกหรือไม่

ในเมื่อไม่เห็นด้วยขนาดนี้ นอกจากเขียนบ่นพึมพำและลงนามในแถลงการณ์ที่ผมอ่านอย่างไงไม่เห็นว่าโทนการเขียนจะรุนแรงเหมือนความรู้สึกที่เขียนในนี้เลย จะลงมือทำอะไรเป็นรูปธรรมหรือไม่

ว่าไปแล้ว บรรทัดฐานของคุณธรรม ในประเทศนี้ส่วนหนึ่งก็แปลก ถ้าเรารู้จักกันและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ต่อให้คุณไปทำอะไรที่ผิดบรรทัดฐาน มาตรฐานหลักนิติรัฐของผม หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมจะไม่ตำหนิคุณ แต่ถ้าใครที่ผมไม่รู้จักไปละเมิดบรรทัดฐาน หรือคุณธรรมและหลักนิติรัฐ และผมไม่รู้จักมันเป็นการส่วนตัว ผมจะประณาม ด่าทอและคว่ำบาตร ไม่คบค้าสมาคมกับมัน

ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า มาตรการลงโทษเชิงสังคม(เป็นมาตรการที่ควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมได้ดีที่สุด)ของประเทศไทยจึงอ่อนด้อยมาก เพราะว่าเรามีจิตสำนึกที่รักตนเองและพวกพ้องมากกว่าส่วนรวม

แต่แปลกเราเป็นประเทศที่อ้างส่วนรวมมากกว่าประเทศที่อ้างสิทธิส่วนบุคคลและเรื่องส่วนตัวอย่างสหรัฐฯแต่คุณภาพประชากร คุณภาพนักวิชาการและคุณภาพของประเทศช่างแตกต่างกันลิบลับ

ดังนั้นนักนิติศาสตร์ที่รักความถูกต้อง รักระบอบประชาธิปไตย รักหลักการนิติรัฐ จึงอยู่รวมกับอธิการบดีมาตรา 7ได้อย่างกลมกลืน ว่าไปแล้วคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์อยู่ร่วมกับ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ได้อย่างกลมกลืนเช่นกัน

รสนิยมผมโดยส่วนตัวในทางเศรษฐกิจ แตกต่างกันอย่างมากกับคุณศาสตรา โตอ่อน แม้ว่ารากเหง้าผมกับคุณศาสตราจะมาจากชนชั้นชาวนาเหมือนกัน แต่โลกทัศน์เรื่องเศรษฐกิจเราแตกต่างกันลิบ และว่าไปแล้วการกระทำของคุณศาสตรา เองหลายต่อหลายครั้งกระทบกระเทือนผลประโยชน์ผมในตลาดหลักทรัพย์ด้วยซ้ำไป แต่เมื่อช่วงต้นปี เมื่อผมเห็นการกระทำของคุณศาสตราที่ออกมาต่อต้านทักษิณ ผมรู้สึกว่า เออ คนอย่างนี้แน่จริง ผมไม่รีรอที่ต่อสายโทรศัพท์ผมถึงเพื่อนสนิทผมคนหนึ่งที่รู้จักกับคุณศาสตรา เพื่อรับฝากข้อความจากผมไปถึงคุณศาสตรา ว่า "ผมนับถือเขา" ทั้งที่ผมกับเขาไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แนวทางสิ่งที่เขาทำ กระทบกระเทือนผลประโยชน์ผมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะศาลปกครองสูงสุดรับฟ้องคดีสัมปทาน 555

สังเกตไหม มีการถล่มทักษิณกันเป็น4-5ปีออกหนังสือด่าทักษิณกันไม่รู้กี่เล่มต่อกี่เล่ม แต่พอคนจริงอย่างสนธิมา ไม่ถึงหนึ่งปี ทุกอย่างเรียบร้อย

ประเทศเราที่ขาดแคลนจริงๆ คือ คนลงมือทำจริง

เอาล่ะในเมื่อ มีคนไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร เอาล่ะในเมื่อมีเนติบริกรชุดใหม่กำลังให้การสนับสนุนรัฐประหาร แล้วคุณจะมีมาตรการอะไรที่แสดงออกต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรม

ผมเองอาจจะพลาดไปหน่อย อันที่จริง ผมควรจะเข้ามาเขียนในทำนองว่า เจ้าของบล็อกเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง ท่ามกลางปัญญาชนสาธารณะที่ต่างพากันนิ่งเฉยต่อการรัฐประหาร บ้างพากันไปรับใช้ระบบที่ไม่มีหลักความชอบธรรมใดๆในระบอบประชาธิปไตยที่แย่กว่านั้นคือปัญญาชนสาธารณะจำนวนหนึ่งหรือจำนวนมากไม่เพียงแสดงออกเป็นการส่วนตัวว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารแต่กลับหาเหตุผลมากมายมารองรับความชอบธรรมของการกระทำดังกล่าว ทว่าเจ้าของบล็อกกลับแสดงออกถึงความสูงส่งทางจริยธรรมที่หาได้ยากด้วยการประกาศการคัดค้านความไม่ชอบธรรมของการรัฐประหารว่าเป็นการละเมิดนิติรัฐอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความกล้าหาญด้วยการลงนามในจดหมายเปิดผนึกไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ผมรู้สึกว่าประเทศไทยนี้มีความหวังเพราะมีนักวิชาการที่อยู่ข้างประชาชนและความถูกต้องจริงๆ เสมือนแสงสว่างที่เรืองรองท่ามกลางห้วงยามกลางคืนที่มิดมิดและ บลา บลา บลา

ผมเขียนอย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะผมทราบดีว่า คนจริงใน14ตุลา และ พฤษภาทมิฬ ส่วนมากเป็นชนชั้นกลางธรรมดานี่แหละ ไมได้รางวัลด้วยเสียงสรรเสริญเยินยอจากใครทีไหน เมื่อทนไม่ได้ เขาจะออกมาสู้เองและคงไม่ต้องบอกว่าคุณภาพของการสู้ด้วยชีวิต แตกต่างคุณภาพของสู้ด้วยการบ่นพึมพำแค่ไหน

ดังนั้น ลุงขับแท็กซี่ที่พลีชีพเพื่อประชาธิปไตยย่อมมีคุณค่าและความสูงส่งของหัวใจและจริยธรรมเหนือกว่าพวกนักวิชาการที่ปากอ้างแต่สิ่งสูงส่งทางคุณธรรม จริยธรรม หลักการนิติรัฐ เพื่อยกหางตัวเองแต่ไม่เคยแสดงออกซึ่งการกระทำใดๆที่คู่ควรกับหลักการจริยธรรม คุณธรรม หลักนิติรัฐที่เทิดทูนเลยสักเสี้ยวเดียว

3:48 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ลืมไป

ผมขอทิ้งท้ายเรื่องหนึ่ง เมื่อปีที่แล้ว อดีตอธิการบดีของHarvard นาย Lawrence Summers พูดจาในทำนองกีดกันทางเพศสตรีต่อสาธารณะ และต่อมาได้รับการประท้วงโดยอาจารย์ชั้นนำหลายท่านที่พากันลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการประท้วง นิสิตจำนวนมากพากันต่อต้านอธิการบดีของตนเอง รวมทั้งชุมชนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยดังกล่าว ในที่สุด นายLawrence Summers ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยไป

สำหรับบางคนที่อ่าน คงเป็นเรื่องตลก แค่เรื่องสิทธิสตรีเล็กๆน้อยๆ อาจารย์และนักศึกษาส่วนหนึ่งกลับพากันต่อต้านเป็นจริงจัง สำหรับประเทศไทยต้องเรื่องใหญ่ๆที่ใหญ่กว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น อธิการบดีคนนั้นสนับสนุนให้มนุษย์ต่างดาวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โลก ต้องเป็นเรื่องระดับจักรวาล แค่เรื่องสนับสนุนมาตรา7 เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ให้คำแนะนำคณะรัฐประหาร และ ฯลฯ ขำ ขำ ขำ ครับ ขอบอก

4:04 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขาจร

นึกแล้วเชียว นึกแล้วทีเดียวเจียว...
ดูมานานแล้วว่าเข้ามาสังเกตการณ์อยู่ เนืองๆ อยากรู้ว่าแต่ละขั้ว แต่ละบุคคล แต่ละบล็อกเกอร์ แต่ละท่าน จะมีความคิดความอ่านต่อโลก ต่อเหตุการณ์บ้านเมือง อย่างไร ? มีอะไรให้คนจรอย่างเราได้เอากลับบ้านไปทบทวนบ้าง ?
ผมคาดหวังกับบล็อกแกงค์มากไปไหม ?

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นสำหรับหัวข้อนี้

ภาษาไทยคำละวันขอเสนอคำว่า "เนติบริกร"
คำว่า "เนติบริกร" ไม่มีในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่..........
ปัญหาคือ มันเป็นศัพท์ใหม่เกินไป ถ้ามันเกิดเร็วซักหน่อย หรือ ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลทักษิณ ที่มี บวรศักดิ์ วิษณุ โภคิณ เป็นที่ปรึกษากฎหมาย คุณก็คงไม่ต้องมาวิวาทะกันผ่านโปรแกรมบ้าบอนี่

ผม นายหมู นายหมา ตาสา ตาสี นับถือทั้งนายศาสตรา และ etat de droit ในความเก่ง ไม่น้อยกว่ากันโดยอนุมานว่า คุณศาสตราก็มีความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจกับสิ่งที่เขาต่อสู้ เฮ็ดในสื่งที่เซื่อ เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด
คุณ etat de droit ก็มีความเชื่อในตรรกของวิชาการเหมือนกัน กรูเป็นนักศึกษาปริญญาเอกแล้ว เรียนมาแทบบ้า กูคิดไม่ถูกก็ไม่รู้จะว่าไง
ถ้าเป็นวิธีขบปัญหาของคุณเองอย่างบริสุทธิ์ใจในภาวะวิสัย ไม่มีอะไรเจือปน ไม่ว่ากัน

ถ้า "เนติบริกร" เป็น คำสามัญจริงๆ อย่างที่ etet de droit คิด ผมว่าคุณมานั่งจิบไวน์แล้วตกลงกันดีไหม ว่าคำนี้มันควรจะมี sence ไปในทางไหน
"ผมว่าแรงไปนะน้อง" "น้องว่าไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ อาจารย์ผมแม่งก็เนติบริกรหมด"
แล้วค่อยบัญญัติไป ดีกว่าจะมา ไซโคกันไปมา

ปัญหาคือ แต่ละคน "ผูกขาด" ความเชื่อมั่นที่ต่างกัน
มากไปเสียแล้ว ถ้ามันจะไปไกลถึงปัญหาอัตตวิสัย ดี-ชั่ว ผมว่าอันตรายนัก เพราะไม่มีอะไรเป็นอัตตวิสัยซักอย่าง แม้แต่ตัวผู้พูด

จบ

7:41 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เอ่อ....... หลังจากกลับไปเปิดดูแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ยังไม่มีนิยามคำว่า "บริกร" ไว้
ผมนึกว่านี่เป็นคำธรรมดาๆ ซะอีก

ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนดิดคำว่า "เนติบริกร" และมีวัตถุประสงค์จะให้มันเป็น "คำด่า" ตั้งแต่เมื่อไหร่
แน่นอนว่าเมื่อผู้บัญญัติไม่ได้นิยามไว้ให้ผมชัดๆ ผมก็ต้องตีความตามความเข้าใจของผมอยู่แล้ว (ก็จะให้ไปคาดคั้นจากใครก็ไม่รู้ได้ยังไงหละครับ?)

การที่ใช้คำโดยไม่ให้ความรู้สึกด้านบวก หรือลบในศัพท์ แถมไม่ได้นิยามไว้ให้ชัดๆ อีกตะหาก แล้วมันจะเป็น "คำด่า" หรือไม่นั้น มันน่าจะอยู่ที่อัตวิสัยของผู้รับฟังมากกว่า ว่าอยากจะรับฟังไปในแง่ใด

ง่ายๆ คือ ใครๆ อยากจะเอาคำว่า "เนติบริกร" มาเรียกผมก็ได้ ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนถูกด่าหรอก

9:33 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

รุนแรงจริงๆเลยท่านปริเยศ มิน่าเล่าไปกันได้กับพี่โต(ในฐานะน้องร่วมโต๊ะกะพี่โตผมก็ยังงงอยู่ว่าพี่โตแรงจัดกะเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่?)
มาถามถึงข้อเรียกร้องของท่านว่าให้เราต่อต้านกันอย่างเป็นจริงเป็นจังครับ..........
ท่านเจ้าของบล็อกเค้ายังชีพด้วยการเป็นอาจารย์ครับท่าน รายรับทางอื่นนั้นไม่มี การทำมาหากินที่สุจริตนี้ หวังว่าท่านปริเยศคงมิได้ดูถูกนะครับ หากลงเอยด้วยการลาออกแล้ว เจ้าของบล็อกอาจจะได้เป็นอาจารย์ที่อื่นก็ได้ แต่จะชดใช้ทุนที่ทางมหาวิทยาลัยส่งไปเล่าเรียนยังไงล่ะ??? ไม่ใช่บาทสองบาทแน่ๆ ท่านปริเยศอย่าบอกนะครับว่าเรื่องปากท้องไม่สำคัญ ท่านพี่โตขณะออกไปร่วมกิจกรรมกับพันธมิตรยังไงหลังเวทีก็ต้องทานข้าวดื่มน้ำ แล้วคนอื่นๆไม่ต้องทานข้าวดื่มน้ำหรือครับ??? ท่านเจ้าของบล็อกเองผมก็ไม่ทราบว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่บ้านด้วยหรือไม่ แต่การเรียกร้องให้เค้าไปทำอะไร”แรงๆ”ให้มันถูกรสนิยมของท่านปริเยศโดยที่เกิดผลเสียหายต่อชีวิต-อนาคตเจ้าของบล็อคหรือครอบครัวเค้า ท่านปริเยศรับรองอะไรได้หรือไม่??? เทียบดูกับผลที่จะได้รับหากท่านเจ้าของบล็อกลาออกแล้ว มันจะสะดุ้งสะเทือนอะไรกับธรรมศาสตร์ สถาบันที่มีคนอย่างเจ้าของบล็อกเป็นพันๆคน หากเจ้าของบล็อกยังไม่ใช่คนที่มีต้นทุนสังคมสูงการลาออกของอาจารย์เพียงคนเดียวมันจะคุ้มสิ่งที่เสียไปไหม? (หากเปลี่ยนเป็นอ.นิธิ ลาออกจากมช.มันอาจจะได้ผลในเชิงประท้วงได้ อันนี้เทียบเคียงนะครับ) เรียนขอความรับผิดชอบจากท่านปริเยศด้วย

ป๋าเปรมเวลาที่ไม่ยอมรับตำแหน่งคราวที่แล้วเกิดจากการเบื่อสุดขีดของประชาชน จนเกิดการที่นักวิชาการรวบรวมรายชื่อถวายแด่ในหลวง ไม่ใช่เกิดจากการขับรถพุ่งชนรถถัง ฉะนั้นผมจึงเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆนั้นเกิดจากการที่คนส่วนมากเห็นชอบด้วยกัน แล้วคนส่วนมาว่าตามหลักความจริงต้องทำมาหากิน หรือเพราะมีความจำกัดในความคิด....ไม่สิจะว่าจะเกิดจากมีคนชี้นำก็ไม่ถูก ดูอย่างแนวร่วมพันธมิตรที่ออกมาชุมนุมที่สวนลุมพินีได้เป็นแสนๆนั้น เกิดจากที่สนธิ ลิ้มทองกุล หรือพี่โต ขับรถชนประตูบ้านจันทร์ส่องหล้าหรือครับ? เปล่าเลย แต่เกิดจากการที่พวกเค้าเหล่านั้นออกแถลงการณ์เขียนบทความและการจายข่าวตามช่องทางและสื่อต่างๆที่พวกเค้ามีและเป็นไปได้ โดยที่ทั้งสนธิและพี่โตยังมีข้าวทานอยู่ทุกวันต่างหากล่ะ (ไม่มีข้าวทานแล้วจะเอาสมองที่ไหนไปคิดบทความ หมายถึงไม่มีรายได้ยังชีพจะอยู่ได้อย่างไร) โดยบทความเหล่านั้นชี้ให้เห็นความผิดของทักษิณและคณะ กระตุ้นให้คนตระหนัก เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และเหล่าผู้ชุมนุมก็ยอมรับในบทความหรือแนวคิดที่ผู้นำพันธมิตรชี้ช่องให้เห็นเป็นแรงพลักดันให้พวกเค้าเคลื่อนไหวชุมนุมอย่างที่เห็นกันอยู่ กลับมามองที่เจ้าของบล็อกบ้าง ในสายตาของผมหน้าที่ตรงนี้ของเค้าก็ไม่ได้บกพร่องตรงไหน เค้าต้องกลับไปรับผิดชอบการเรียนในระดับปริญญาเอกเป็นปีสุดท้าย นั้นก็เป็นหน้าที่ของเค้าที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน และเค้าก็เขียนบล็อกแสดงความเห็นออกมาสื่อสารกับเราให้อ่านกัน รวมไปถึงแถลงการณ์ร่วมกันสองฉบับกับอาจารย์อีกสามท่าน ก็เป็นไปตามครรลองที่ทำได้แล้วไม่ใช่หรือ? หน้าที่ของอาจารย์(หรือเจ้าของบล็อค)คือการชี้ช่องให้คนส่วนมากเข้าใจเหมือนกับที่พี่โตทำ แต่ต่างกันที่เจ้าของบล็อกไม่มีเวทีที่มีคนร่วมมือจัดให้เหมือนที่พี่โตมี ท่านเจ้าของบล็คไม่ได้มีทุนหนาเหมือนสนธิ ลิ้มทองกุลนะครับ จะได้จัดเวทีสามารถรวบรวมคนได้ขนาดนั้น หรือสามารถออกสิ่งตีพิมพ์ทำสำเนาซีดีสื่อสารในวงกว้างขนาดนี้ หรือการจ้างคนโพสตามเน็ทกระจายความเห็นของเค้าไปทั่ว ฉะนั้นผมจึงเห็นว่า เจ้าของบล็อกยังไม่ได้ปฎิบัติตกหล่นต่อหน้าที่ของตนเองแต่อย่างใด คนเราวิถีไม่เหมือนกันครับล้ำกันไม่ได้แล้วก็ตามแต่โอกาสจะอำนวยด้วย

ส่วนเรื่องคนจริง 14 ตุลาฯ ของท่านปริเยศน่ะครับ เราต้องพิจารณาถึงความแตกต่างของวันที่ 14 ตุลาฯในเวลานั้น กับวันนี้ ณ ปัจจุบัน วันที่ 14 ตุลาฯนั้นสังคมไม่มีทางออกแล้วครับ โดนปิดกั้นหมด ไม่เหลือช่องทางสื่อสารกันระหว่างรัฐ-ประชาชนแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วทุกคนจึงต้องลุกขึ้นสู้ด้วยความรุนแรง ส่วนวันนี้ช่องทางสื่อสารยังพอมีครับ อ.ใจ,มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนและเหล่าผู้ชุมนุมอื่นๆฯลฯ ยังพอ(เน้นที่”พอ”)จัดการชุมนุมกันได้ ไม่ได้โดยสอยทันทีเหมือน 14 ตุลาฯ ทางออกของปัญหานี้ หากแก้ได้ด้วยการทำความเข้าใจกันมันย่อมดีกว่าการเสียเลือดเนื้อใช่ไหมครับ? ถ้ายังพอสื่อสารกันได้ ผมเลือกการสื่อสารกันมากกว่าความรุนแรงครับ ฉะนั้นผมถึงไม่เห็นด้วยกับตาลุงแท็กซี่คนนั้น แต่ก็เคารพในการกระทำของเค้า ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามหรือเรียกร้องให้เค้าทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เฉพาะผมเห็นสมควรไม่ คนเราย่อมมีความเห็นต่างกัน การดูถูกคนที่ไม่ยอมทำตามความเห็นของเราไว้ก่อนจึงไม่สมควรอย่างยิ่งครับคุณปริเยศ อันนี้ผมขอประณามโดยตรงครับว่ามันไม่ถูก

ส่วนเหล่าคณาจารย์Harvard ที่ยกกันลาออกนั้น ถามหน่อยครับเป็นคณาจารย์หนุ่มหรือคณาจารย์แก่ที่มีเงินเก็บเงินบำนาญแล้ว หรือมีกองทุนสวัดิการเพื่ออาจารย์ตกงานรองรับหรือไม่ แล้วอาจารย์ที่ว่านั้นก็เป็นระดับชั้นนำทั้งนั้นที่สามารถหางานใหม่ได้ง่ายๆ ไม่เหมือนท่านเจ้าของบล็อกที่ยังไม่ถึงขั้นนั้น บอกแล้วว่าเรื่องปากท้องนะสำคัญไม่ใช่เรื่องขำๆ(หรือท่านปริเยศจะเถียงว่าไม่จริง) ผมว่ารายละเอียดเรื่องนี้ยังไม่พอที่จะนำมาเทียบเคียงได้นะครับ

12:09 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ผมเขียนด้านบน ผมอยากจะเรียกร้องหาการกระทำที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นเองครับ ที่ยกตัวอย่างลุงขับแท็กซี่ หรือ คณาจารย์และนิสิตจากมหาวิทยาลัยHarvard ขึ้นมา โดยเฉพาะตัวอย่างคณาจารย์และนิสิตจากมหาวิทยาลัยHarvardที่สู้เพื่อสิทธิสตรี เพื่อบอกว่าในวงวิชาการระดับโลกเขามีมาตรฐานหรือจริยธรรมของการพิทักษ์หรือแสดงออกซึ่งอุดมการณ์หรือหลักการส่วนตัวแค่ไหน

ผมเองไม่ทราบว่า ในความคิดของเจ้าของบล็อก เรื่องสิทธิสตรี กับเรื่องการละเมิดหลักนิติรัฐ การละเมิดหลักสิทธิ เสรีภาพ เรื่องไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน แล้วถ้าคิดว่าเรื่องการละเมิดหลักนิติรัฐ การละเมิดหลักสิทธิ เสรีภาพ เป็นหลักการที่สูงส่งของเจ้าของบล็อก ก็ช่วยแสดงออกอะไรให้เป็นรูปธรรมด้วย ก่อนที่จะไปใช้ตัวอักษรหรือข้อเขียนในเชิงดูถูกดูแคลนรสนิยมคนอื่น แต่ถ้าคิดว่าควรแสดงออกแบบนี้ หมายถึงการบ่นพึมพำผ่านบล็อกหรือเขียนจดหมายเปิดผนึกที่น่ารัก น่ารักต่อสาธารณะ ผมก็แค่คิดว่ามันแตกต่างจากรสนิยมส่วนตัวผมเท่านั้น ที่นิยมคนที่กระทำจริงๆจังๆแล้วดูการกระทำ ไม่ใช่ดูแค่การแสดงออกผ่านคำพูดและตัวอักษร เพราะถ้ายึดคำพูดและตัวอักษรเป็นสรณะ ผมรู้สึกว่าหลักการประชาธิปไตยของเจ้าของบล็อกก็ไม่ต่างอะไรกับทักษิณ เพราะทักษิณและคณะพรรคไทยรักไทยแสดงออกทางตัวอักษร แม้แต่จดหมายเปิดผนึกของทักษิณทั้งก่อนถูกรัฐประหารและหลังรัฐประหาร การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของพรรคไทยรักไทยว่ารักระบอบรัฐธรรมนูญอย่างนั่นอย่างนี้ แม้ถูกกดดันทางการเมืองอย่างหนัก ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าถ้าไม่มีการรัฐประหารจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ แม้กระทั่งคนใกล้ชิดอย่าง นพ.พรหมมินทร์ เมื่อถูกปล่อยตัวออกมา ยังสัมภาษณ์เลยว่าปกป้องรัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงวินาทีสุดท้าย ถ้าใช้บรรทัดฐานการแสดงออกผ่านตัวอักษรเป็นเกณฑ์หรือ ยึดคำพูดเป็นเกณฑ์ ผมคิดว่าทักษิณและพรรคไทยรักไทยรักระบอบประชาธิปไตยมากกว่าเจ้าของบล็อกเยอะครับ

สำหรับพี่กล้า ผมไม่อาจจะบอกได้หรอกครับว่าพี่กล้าควรมีการกระทำอะไรหรือแสดงออกอะไร เพราะสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับว่า หลักการและอุดมการณ์ที่พี่กล้ายึด มันสำคัญกับพี่แค่ไหน ถ้ามันสำคัญกับพี่มากๆทั้งในแง่ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือคุณค่าต่อสังคมโดยรวม แล้วพี่ให้คุณค่าแค่ประกาศเป็นตัวอักษรขึ้นมา แล้วจิบไวน์ นั่งทอดหุ่ย ถ้าพี่ทำแค่นั้น ผมเองต้องประเมินพี่ใหม่แค่นั้นเอง เพราะโดยส่วนตัวผมก็รับทราบประวัติพี่กล้า สมัยต่อต้านร.ส.ช. ตอนอยู่บดินทร์เดชา แล้วผมก็เลื่อมใสและนับถือ เพราะเห็นถึงการกระทำของพี่ ที่กล้าตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ไม่ใช่เพราะการประกาศในเชิงอักษรแต่เพียงลำพัง

สำหรับคุณศาสตรา ผมนับถือเขา เพราะเห็นเขาเป็นคนจริงที่กล้าออกมาสู้กับระบอบทักษิณไม่ว่าจะเป็นบนถนนหรือผ่านกระบวนการยุติธรรม ผมไม่เคยรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว ไม่เคยคุยหรือพบปะหน้าตากันเลย รู้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ปัญญาชนบล็อกเกอร์ทั้งหลาย ไม่ชอบขี้หน้าอย่างมาก ผมนับถือคนที่การกระทำมากกว่าลมปาก เพราะผมเห็นว่าปัญญาชนสาธารณะไทยนอกจากประกาศตนว่าสูงส่งด้วยคุณธรรม เลอเลิศด้วยความดีงาม บูชาสิทธิเสรีภาพ เทิดทูนหลักการนิติรัฐ และอยู่ข้างประชาชนผู้ยากไร้ ไม่เคยแสดงออกหรือมีข้อเสนออะไรเป็นรูปธรรม

ที่ว่ารูปธรรมมันสำคัญ เพราะมักจะมีข้ออ้างหรือข้อเสนอต่อสังคมในนามของผู้ยากไร้ ชาติ หรือสังคมไทย โดยที่ไม่สามารถระบุเลยว่าคนยากไร้คือใคร ชาติที่ว่าเป็นใคร หรือสังคมไทยที่ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะในนามของข้อเสนอดังกล่าว ผู้เสนอได้หน้าไปว่าตนเป็นคนดี เป็นคนน่ายกย่อง และร้ายไปกว่านั้น ในนามดังกล่าว ชนชั้นนำและชนชั้นกลางได้ผลประโยชน์ดังกล่าวไปแทบทุกที(ในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป ชนชั้นนำได้มากสุดและชนชั้นกลางได้รองลงมา) แล้วคนยากไร้ล่ะ ผลประโยชน์จริงๆเขาอยู่ตรงไหน

นี่แหละครับคือความสำคัญของรูปธรรมหรือการกระทำ ที่ผมเรียกร้องเสมอ ถ้าเจ้าของบล็อกรักหลักการนิติรัฐ จนถึงขั้นดูแคลนรสนิยมคนอื่น ช่วยแสดงออกถึงการกระทำที่เป็นรูปธรรมหน่อย นอกจากการประกาศผ่านตัวอักษร

4:36 หลังเที่ยง  
Blogger jittat กล่าวว่า...

อ่านของคุณปริเยศ แล้วถูกใจ

4:47 ก่อนเที่ยง  
Blogger jittat กล่าวว่า...

(อ้อ... แต่ตกไปนิด)
แต่คนที่ชอบเขียน ๆ ชอบแสดงความเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ผมว่าก็เขียน ๆ ไปเถอะครับ ผมชอบอ่าน

4:53 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

"ผมว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างหนึ่งของคนที่เรียกตัวเองปัญญาชนสาธารณะไทยที่พากันออกมาต่อต้านการรัฐประหารด้วยแค่การแสดงความเห็นแล้วคงจะนึกในใจว่า กูคุณธรรมสูงส่ง รักเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนสูงส่ง เป็นบุคคลล้ำเลิศและสูงส่งด้วยจริยธรรม คุณธรรม เมตตาธรรมทั้งปวง แต่สำหรับผม พวกนักวิชาการแหกปากพวกต่อต้านรัฐประหารพวกนี้ สู้ลุงที่ขับแท๊กซี่ไม่ได้ รายนี้สิแน่จริงไม่ต้องมาแสดงออกทางข้อเขียนยกหางตัวเองว่าฉันรักประชาธิปไตยเพื่อสร้างภาพลักษณ์หรือยกระดับคุณธรรมและจริยธรรมส่วนตัวด้วยวาจาหรือข้อเขียน แต่กระทำมันออกมาเลย ด้วยการสละชีวิต"

ถึงปริเยศ...กูก็ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แล้วกูต้องแสดงออก หรือต่อสู้ ฟาดฟันเอารัฐประหารกลับมาด้วยชีวิตหรือวะ เรื่องโง่ๆที่กูไม่คิดจะทำว่ะ

และในการไม่เห็นด้วยนั้น สมมติถ้าตัดเหตุผลของการไม่เห็นด้วยออก แล้วบอกแค่ว่ากูมีสิทธิที่จะคิด ที่จะแสดงความเห็น โดยกูจะไม่อ้างจริยธรรม คุณธรรม หรือภาพลักษณ์ที่ดีอะไรเลย แต่กูแค่ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ก็แค่นั้น

ถ้าในการไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารแล้วไม่ขับรถแท็กซี่ชนรถถัง หรือไม่แสดงการกระทำ เพื่อประกอบความเห็นดังกล่าว ถือว่าไม่แน่จริง ไม่ใช่คนจริง กูก็ไม่ขอเป็นคนจริงที่โง่ ควาย ปัญญาอ่อน อ่ะนะ (มึงมีความคิดได้แต่นี้เหรอวะ กระจอกฉิบหาย)

ว่าคนอื่นแสดงความเห็นยกหาง มึงเสือกแสดงความเห็นโชว์เขา

6:35 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

"ก่อนที่จะไปใช้ตัวอักษรหรือข้อเขียนในเชิงดูถูกดูแคลนรสนิยมคนอื่น"

ถึงปริเยศ...มึงไม่ได้ใช้อักษรหรือข้อเขียนในเชิงดูถูกดูแคลนรสนิยมคนอื่นเลย นี่ประชดนะ(จะรู้มั้ยเนี่ย)

กูเห็นว่า ความเห็นโง่ ๆ ของมึงที่มึงเขียน มันก็คล้ายกับการที่มึงไม่พอใจรสนิยมเจ้าของบล็อค อย่างนั้นมึงก็ไปต่อยเจ้าของบล็อคดิ (คล้ายกับการยกตัวอย่างแท็กซี่)จะมาแสดงออกด้วยการใช้ตัวอักษรหรือข้อเขียนในเชิงดูถูกดูแคลนรสนิยมคนอื่นทำไม แสดงออกด้วยการกระทำไง คนจริงไง แน่ไง

6:45 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

จริง ๆ แล้ว เห็นด้วยกับ คนจริงๆ ไม่จริง เรื่องของกู นะ แม้จะแรงไปหน่อย (ดูจากอารมณ์ของภาษา)

เพราะรู้สึกว่า การแสดงความคิดเห็นของปริเยศ ไม่เห็นจะต่างจากเจ้าของบล็อกตรงไหนว่ะ ? (ถ้าใช้ตรรกเดียวกับปริเยศ)

คือ ใช้คำที่ดูถูกรสนิยมคนอื่น เหมือนกัน ดูถูกเจ้าของบล็อก หรือนักวิชาการคนอื่น ที่ทำหน้าที่ อีกแบบหนึ่ง ที่เผอิญไม่ถูกกับรสนิยมของตัวเอง แบบที่ ไม่ได้ออกไปเป็นหัวหมู่ทลวงฟัน แบบใครบางคน ที่นายปริเยศ นับถือซะเหลือเกิน บอกว่า เป็นคนจริง และทำอะไรเป็น "รูปธรรม"

น่าจะเปลี่ยนข้อถกเถียงเรื่องความหมายของคำว่า "เนติบริกร" เป็น ความหมายของคำว่า "รูปธรรม" แทน เพราะ

ความหมายของคำว่า "รูปธรรม" ในสถานการณ์นี้ ของนายปริเยศ ดูแคบ และจำกัดจำเขี่ย ไปหน่อย คือ ต้องออกไปประท้วง อาบเหงื่อต่างน้ำ ใช้คำแรง ๆ หยาบ ๆ ด่าทอคนอื่น เหมือนเขาไม่ใช่คน ต้องเอามีดอีโต้ไปไล่ฟัน ต้องขับรถชนรถถัง ลาออก (กลายเป็นคนตกงานในสังคมไทย ๆ ที่โคตรไร้ค่า พูดอะไรคนก็ไม่ฟัง) เผาคณะ ฯ หรือไม่ก็เอามีดจี้อธิการ (ฮา)

สังคมหนึ่ง ๆ มันจะไปของมันได้ มันก็ต้องมีความหลากหลาย มีความต่าง (แต่ไม่ต้องแตก) แต่ละอาชีพก็ทำหน้าที่กันไป ไม่เห็นด้วยก็แสดงความคิดเห็นในมุมมอง หรือวิธีการของตัว มันจะได้เกิดการสะกิดเตือน เกิดการตรวจสอบ คานความคิดกัน ไม่ให้มันสุดโต่ง ตกเหว ตกหุบ ไปก่อน

นัก(ที่เรียกตัวเองว่า)วิชาการ เอง ก็มีหลายแบบ มีวิธีการต่าง ๆ กันไป สร้างความสะเทือนได้บ้าง แต่ได้มากบ้าง น้อยบ้าง ก็แล้วแต่คนมอง

คำถามสุดท้าย ของเราก็คือ แล้วนายเองล่ะ ปริเยศ ได้ทำอะไรที่เป็น "รูปธรรม" กับเขาบ้างหรือยัง ? นอกจาก "หมุนโทรศัพท์ไปบอกว่า นับถือ" กับ แสดงความคิดเห็นดูแคลนความคิด รสนิยม หรือ วิธีการของคนอื่นตามบล็อก หรือ เว็บบอร์ด...

ไม่ต้องอะไรนะ ขนาดจะเปิดบล็อกของตัวเองใหม่ เขียนอะไรแสดงออก ที่เป็นรูปธรรม มากกว่า ตามด่าคนอื่นในพื้นที่ของเขา...นายยังมิกล้าเลย :P จิงมะ ?

9:43 หลังเที่ยง  
Blogger Tier Etat กล่าวว่า...

ผมเห็นด้วยกับเจ้าของบล็อกนะ เอาเฉพาะประเด็นคำว่าเนติบริกรละกัน มันน่าจะเป็นภาษาทั่วไป ไม่ใช่ใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดความ "นักกฎหมายเลว" นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ นักกฎหมาย อยู่ยั้ง ยืนยง

การแสดงความเห็นทางกฎหมายและทางการเมืองนั้นจริงอยู่ที่ยืนอยูบนเสรีภาพในการแสดงออก อย่างไรก็ดีการที่ใช้คำรุนแรงมาตัดทอนความคิดคนอื่น หรือทำให้เขาต้องเสื่อมเสีย ผมเห็นว่าอันนี้เป็นการขาดวุฒิภาวะในการแสดงความเห็นนะ ก็ดีอยู่ที่มาวิวาทะกัน แต่ก็ควรห่ำหั่นอยู่บนตรรกะมากกว่ามาเชือดเฉือนกันด้วยความหยาบคาย

6:25 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณแจมมี่

ถ้าคุณเคยอ่านความเห็นของผมมาบ้าง คุณคงจะเคยอ่านความเห็นผมที่เรียกร้องให้นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ กลับมาทำงานวิจัย เยี่ยงมาตรฐานวงวิชาการตะวันตก คือต้องตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐาน แปลกไหมที่วงวิชาการเศรษฐศาสตร์แทบจะไม่เคยมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารมาตรฐานกว่า 50ปี???

สิ่งทีผมเรียกร้องมาตลอดคือการกระทำอย่างมืออาชีพ และตรงไปตรงมากับสิ่งที่ตนได้อ้างอิงตลอด

คุณศาสตรา เขาเชื่อว่าผลประโยชน์ของชนชั้นยากไร้ถูกคุกคาม เขาเห็นว่าประเทศกำลังชิบหายภายใต้รัฐบาลชุดที่แล้ว เขาออกไปสู้ ผมเองเห็นต่างจากเขาแต่ก็นับถือ ว่าเขาซื่อตรงกับสิ่งที่เขาเชื่อ

ในตอนนั้น ตรงกันข้ามถ้าคุณไปอ่านBlog เมื่อต้นปี มีแต่คนประณาม คุณศาสตราอย่างนั้นอย่างนี้ บ้างก็ยกหลักนิติรัฐขึ้นมา และอื่นๆ มาโจมตี

แล้ววันนี้ล่ะ วันที่หลักการนิติรัฐ ถูกฉีก อย่างน้อยคนที่อ้างมาตลอดอย่างเจ้าของบล็อกนี้แหละทำอย่างไร นอกจากคำประกาศไม่เห็นด้วยแบบน่ารัก น่ารัก แล้ว ยังประกาศหมิ่นรสนิยมคนที่สนับสนุนรัฐประหาร
แต่ถามว่ากล้าพออย่างคุณศาสตราที่ออกไปสู้ตามถนนกับสู้ผ่านกระบวนการศาลหรือเปล่า

ถ้าไม่กล้า ไม่แน่จริง ไม่เห็นต้องแสดงออกมาในทำนองเหยียดรสนิยมคนอื่น

ผมเองพยายามยกตัวอย่างในประเทศที่เจริญ อย่างมหาวิทยาลัยHarvard แค่ อธิการบดีมีรสนิยมความสามารถทางเพศที่แตกต่างกับอาจารย์และนิสิตส่วนหนึ่ง เขายังประท้วงด้วยการลาออก และต่อต้าน

เมื่อท่านเจ้าของบล็อก ประกาศในเชิงเหยียดรสนิยมคนอื่นด้านรัฐประหารและการสนับสนุนคณะรัฐประหารมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นทำอะไรเป็นรูปธรรมต่ออาจารย์บางท่านในคณะนิติศาสตร์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยของท่าน ที่มีรสนิยมตรงกันข้ามกับท่าน

ผมถึงคิดว่า ถ้าไม่แน่จริงอย่างที่เขียน ก็ไม่เห็นว่าจะต้องประกาศในเชิงเหยียดรสนิยมคนอื่น บ่อยๆ หรือกลัวไม่รู้ เป็นคนดี???


หวังว่ารสนิยมการเรียกร้องให้นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัยทำวิจัย คงไม่ถูกตีความว่าเป็นรสนิยมที่นิยมความรุนแรงนะครับ

ผมไม่เคยยกหางตัวเองว่าเป็นคนดี คนจริง หรือคนกล้า หรือคนที่บูชาในหลักการนิติรัฐ หรือยกหางตนเองด้วยสิ่งสูงส่งทั้งหลายทั้งปวงเหมือนกับปัญญาชนบล็อกเกอร์บางส่วนที่สิ้นคิดในสติปํญญาเรียกหาแต่ความดี คุณธรรม หรือสิ่งสูงส่งทั้งหลายรวมทั้งแสดงออกว่ามีจุดยืนอยู่กับผู้ยากไร้ แต่ไม่เคยทำห่าอะไรจริงๆ พวกนี้มีดาษดื่น ดูตาม Link ในบล็อกของเจ้าของบล็อกนี้ก็ได้

ดูเหมือนจะกลายเป็นประเพณีไปแล้ว ว่าปัญญาชนรุ่นใหม่ ต้องประกาศว่ารักความเป็นธรรม มีจุดยืนเคียงข้างผู้ยากไร้ รักความถูกต้องและคุณธรรม หลักการนิติรัฐ และสิ่งสูงส่งทั้งหลาย เหมือนนางงามไทยที่ต้องประกาศว่ารักเด็กยังไงยังงั้น

นี่ไงครับ ตอนนี้แหละที่เรียกร้องการกระทำของพวกท่านทั้งหลายที่ประกาศตนเสมอว่ามีจุดยืนและอุดมการณ์ ได้เวลาแสดงออกแล้ว

ผมปิดบล็อก เพราะผมต้องไปทำมาหากินครับ และไม่ได้คิดว่าตนเองจะเป็นผู้สูงส่งหรือมีพันธะอะไรที่จะต้องเขียนหรือเปิดบล็อก

8:24 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถึงปริเยศศะแม่ ได้อ่านคำสุภาพแฝงคำด่า ตำหนิ ติเตียน เหน็บแนมของปริเยศศะแม่แล้ว อ่านไปอ่านมาก็คิดว่า "เรื่องของมึงหละกัน" คือ มึงไร้สาระแล้ว

"สิ่งทีผมเรียกร้องมาตลอดคือการกระทำอย่างมืออาชีพ และตรงไปตรงมากับสิ่งที่ตนได้อ้างอิงตลอด"

ตรงไปตรงมามากเลยนะไอ้ตุ๊ด

ยังยืนยันนะ แนะนำว่าให้ไปต่อยเจ้าของบล็อคหละกัน หรือถ้าเอาอย่างเป็นรูปธรรมนะ มึงก็ไปจัดเวทีชุมนุม ขับไล่การโพส การแสดงความเห็น ของเจ้าของบล็อคที่ไม่ตรงกับรสนิยมกระเทยของมึง(ที่กูไม่เห็นว่ามันจะผิดตรงไหน)

ขอโทษทุกคนที่อ่านแล้วดูว่าหยาบคาย จะพิมพ์ให้มันสุภาพก็ได้ แต่กับข้อความที่ได้อ่านในสิ่งที่ปริเยศศะแม่เขียนแล้ว ก็ขอหละกัน"ครับ" (แอบสุภาพ แต่ไม่แฝงวาทะเชือดเฉือน หลอกด่าชาวบ้านไปวัน ๆ)ที่จะไม่ใช้วาจาสุภาพ เพราะสื่อสารกับปริเยศศะแม่ได้ยาก

"ผมถึงคิดว่า ถ้าไม่แน่จริงอย่างที่เขียน ก็ไม่เห็นว่าจะต้องประกาศในเชิงเหยียดรสนิยมคนอื่น บ่อยๆ หรือกลัวไม่รู้ เป็นคนดี???"

กูก็คิดว่า ถ้าไม่แน่จริงอย่างที่เขียน ก็ไม่เห็นว่าจะต้องเขียนในเชิงเหยียดรสนิยมคนอื่น (โดยแฝง คำวิจารณ์ทุเรศๆ) บ่อยๆ หรือกลัวไม่รู้ เป็นกระเทย

เรื่องของมึงดิ เรื่องของมึงหละกัน

เรื่องของกู มึงจะทำไม

เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเจ้าของบล็คผมจะได้เมล์เข้าไปแจ้งกับเจ้าของบล็คว่าผมคือใคร และจะได้หยุดแสดงความคิดเห็น ถ้าปริเยศแสดงความเห็นตรงไปตรงมา ไม่ใช่แสดงความเห็นแบบปริเยศศะแม่ แถมแอบมีเลียก้นด้วยอีกต่างหาก

9:07 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณปริเยศ

ผมรู้สึกว่า ถ้าคุณเขียนซ้ำ ๆ วน ๆ มันจะเมื่อยมือโดยใช่เหตุ ผมอ่านความเห็นเหล่านั้น (ซึ่งเขียนไปแล้วราวสองรอบ) ของคุณหมดแล้ว ถึงได้ตัดสินใจแสดงความคิดเห็นบ้าง (แน่นอน มีบางจุดที่เห็นด้วย แต่ก็มีบางจุดที่เห็นปรากฎการณ์ ว่าแต่เขา อีเหนาเป็นเอง เลยต้องเขียนสะกิดหน่อย)

การวนซ้ำของคุณอีกในครั้งนี้ นอกจากไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดได้ว่า การแสดงความคิดเห็นของคุณไม่ต่างจากเจ้าของบล็อก คือ ดูถูกรสนิยม และความคิดของคนอื่น ๆ (คราวนี้ ลามไปถึงบล็อกของคนอื่น ๆ เขา ที่เจ้าของบล็อกเชื่อมไว้อีกแหนะ) แล้ว

ยังทำให้รู้สึกว่า คุณช่างเป็นคนที่ "ดี แต่วิจารณ์ คนอื่น" และก็ใช้คำ เหมือนจะสุภาพ มาหลอกด่าคนอื่น ๆ ซะเสีย ๆ หาย ๆ ...แสดงให้เห็นว่า คุณเป็นคน "คับแคบ" มากจริง ๆ

"แคบ" ต่อความคิดเห็นต่าง "แคบ" ต่อคนที่ไม่เห็นด้วย หรือ มีรสนิยมเดียวกับคุณ คนไหนเห็นด้วย มีรสนิยมเดียวกัน ก็จะยกย่องเยินยอ

เรื่องบล็อกของ นายศาตรา ก่อนหน้านี้ผมเข้าไปอ่านตลอด กลับมีมุมมองต่างออกไป และถ้าคุณเองจะเปิดหู เปิดตามองให้ทะลุอีกหน่อย ไม่ได้ใส่แต่แว่นที่เคลือบรสนิยมตัวเองซะหนาเตอะ หรือตั้งใจอ่านความคิดเห็นของคนที่เข้าไปแสดงไว้จริง ๆ ในบล็อกนั้น คุณก็อาจได้พบว่า...คนที่ทำให้บล็อกนั้นร้าง บล็อกอื่นไม่คบ ไม่ใช่ไอ้พวกบล็อกแก๊งที่ไหนหรอก แต่คือ ตัวนายศาตรา เจ้าของบล็อก เองต่างหาก

เพราะเขา "คับแคบ" เสียยิ่งกว่า คนที่ไปนับถือเขาอย่างคุณ ซะอีก นายศาสตรา มีอุดมการณ์บางอย่าง จะแง่มุมไหนก็เถอะ ไม่มีใครว่า ทำหน้าที่ไป จะมีก็แต่ "วิธีการ" ที่มีคนเห็นต่างเข้าไปสะกิดเตือน หรือมีความเห็นแตกต่าง

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ คนมีอุดมการณ์ หรือมีความคิดเห็นต่างคนอื่น ๆ เขารู้สึกว่า นายศาตราเป็นคนไม่ดี หรือไม่มีอุดมการณ์ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า นายศาสตรา ไม่เคารพอุดมการณ์ และความคิดเห็น (ต่าง) ของคนอื่นเลย ต่างหาก

การเขียนตอบโต้ของนายศาสตรา ไม่ใช่แค่การ "ดูถูก" แต่เป็นการ "เหยียดหยาม" ด่าทอ เล่นพ่อล่อแม่คนที่มีความเห็นแตกต่าง หรือ ไม่ยกหางตัวเอง แล้วอย่างนี้ คนสติดี ๆ ที่ไหนถึงจะอยากเข้าไปแลกเปลี่ยนถกเถียง ที่ผลลัพธ์มีแต่ "คำด่า" ที่ไม่ประเทืองปัญญา แทนที่จะเป็น "เหตุผล" หรือแง่มุมต่าง (ของเขาเอง) ให้คนอ่านเก็บเอาไปขบคิดต่อ (แม้ตอนนี้นายศาสตรา จะเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิม ใช้เหตุผลขึ้น แต่ก็ออกจะสายไปเสียแล้ว เพราะ ธาตุแท้บางอย่าง เผยออกมาจนน่ากลัว)

จุดยืน ของผมยังเช่นเดิม (โอ๊ะ ใช่คำว่า จุดยืน นี่ไม่ต้องหาว่าผมดัดจริต หรือ สร้างภาพให้ตัวเองดูดี อีกนะ) คือ ความคิดเห็นต่าง (ที่ไม่ได้เอาแต่ด่าเลอะเทอะ) เป็นเรื่องดีเสมอ จะได้คอยตรวจสอบ ทัดทานกัน สังคมจะไปได้ดี ไม่สุดโต่ง ไม่ใช่ ทำยังไงให้ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด ทำเหมือนกันหมด แต่ คือ การทำยังไง ให้ทุกคนที่เห็นต่างกันเหล่านั้น ทำต่างกันเหล่านั้น อยู่กันได้อย่างมีความสุข

มีความสุขของผม ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ห้ามไม่ให้ทะเลาะกัน หรือ สามัคคีกัน (ถ้ารักพ่อ) เพราะไม่มีสังคมประชาธิปไตยห่าที่ไหน ห้ามไม่ให้คนทะเลาะ ถ้ามันอยากทะเลาะ หรือถกเถียง

แต่หมายถึง ต้องทะเลาะกันบนเหตุผล หาจุดด้อย จุดเด่น หาข้อดี ข้อเสีย แล้วปรับจูนเข้าหากันตามธรรมชาติ ไม่ใช่ เอาใครมานั่งทับปัญหา ซุกเสียงทะเลาะไว้ใต้พรม ที่วันดีคืนดี แม่งก็ต้องมีใครเสือกไปคุ้ยขึ้นมาทะเลาะกันอีก

ประเด็นสุดท้าย (ที่คุณเปรยไว้) ผมจะบอกให้ว่า คนที่ถามหา "ศีลธรรม" หรือ ผู้นำที่มีจริยธรรม ประเภทที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา พูดจาให้คลุมเคลือ แล้วให้ไปตีความกันเอาเองน่ะ คือ พวกไม่เอาประชาธิปไตย (ของจริง) อย่างพวกคุณต่างหาก เพราะผู้นำปุถุชน ทีไม่ใช่ (ถือตนว่าเป็น) เทพ ที่ไหนวะ จะดีไปหมด หาเลวไม่ได้เลย ?

ตรองดูใหม่ให้ดีเถิดปริเยศ...ว่าจุดสำคัญ และเป็นธงชัยหลักของการปกครอง และการอยู่ร่วมกันได้น่ะ คือ ระบบตรวจสอบได้จริงโดยคนหมู่มาก จะด้วยเครื่องมือ คือ กฎหมาย หรือ ห่าอะไรก็เถอะ ไม่ใช่ เอาแต่คาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ ร้องหา "คุณธรรมเฉพาะตัว และตลอดกาล" ที่แม่งหายากฉิบหาย ในตัวมนุษย์ธรรมดาที่เอาแต่ กิน ขี้ ปี้ นอน

12:00 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เบื้องหลังรัฐประหารอันเน่าเฟะ ถ้าเห็นก็เห็น ถ้าไม่เห็นก็ไม่เห็น อันนี้ช่วยไม่ได้
http://somsakcoup.blogspot.com/

5:29 หลังเที่ยง  
Blogger crazycloud กล่าวว่า...

มันส์ระเบิด
ช่วยด้วย บ้านผมน้ำท่วม

8:43 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

พี่โตเป็นอะไรไปครับ (-_-')

3:33 หลังเที่ยง  
Blogger Unknown กล่าวว่า...

โอ้โห ... ไม่ได้ผ่านเข้ามาแป๊บเดียว ลุกเป็นไฟไปแล้ว ...

ปล. ผมว่าบ้านเรามีปัญหาในการถกเถียงจริง ๆ

6:10 หลังเที่ยง  
Blogger crazycloud กล่าวว่า...

ปัญหาที่แท้จริง คือ อะไร

นักวิจารณ์ ในบล็อกนี้ส่วนใหญ่ ข้อมูลไม่พอ เมือข้อมูลไม่พอก็ไม่เข้าใจคนอื่น

ปัญหาข้อมูลไม่พอ ผมขอตอบคุณแจมมี่ให้ฟังนะ ว่าจุดเริ่มต้นแห่งความบ้าคลั่ง ของผมมาจากความมั่วของใครบางคนในบล็อกนี้ ผมเริ่มต้นด้วยความสุภาพ มาตลอด
แต่คนบางคนมีโมหะเข้ามาด่าทอผมก่อน คุณแจมมี่เองข้อมูลก็ไม่พอเลยมาพิพากษาผมซะอีก ผมไม่ขอใช้คำว่า โง่ แลวกัน แต่ใช้คำว่า ข้อมูลไม่พอ ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่ได้บ่งบอกว่า ดี หรือ เลว ฉลาด หรือ โง่ กรุณอย่าเข้าใจผิด แบบผมที่เข้าใจคำว่า "เนติบริกรของพวกคุณ" ผิดไป ฮา ฮา

เสียดายที่ผมลบบล็อกเก่าทิ้งไปแล้ว จะได้ให้ดูหลักฐาน

สำหรับความชิงชัง รังเกียจ เป็นเรื่องของพวกคุณ ที่ข้อมูลไม่พอ จึงไม่สามารถเข้าใจผมได้ ผมเชื่อว่าถ้าข้อมูลพอ เมื่อไร คุณจะรักผม

คุณดู จ่าจู๊ด สิ นั่นนะน้องกลุ่มผม แม้ว่าความเห็นผมจะต่างจากเขา แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเขาถึงถามบ่อยๆว่า "พี่โตเป็นอะไร" ลองไปคิดดูสักสามตลบ แต่ต้องหาข้อมูลให้พอก่อนนะ คุณ แจมมี่

คุณลองถาม คุณนิติรัฐ คุณพี่พล หรือใครหลายคนในบล็อกนี้ดู ว่าผมเป็นคนย่างไร

คุณนิติรัฐ ก็เพิ่งไปกระดกเหล้ากันมาไม่นาน

คุณพี่พล เจอหน้ากัน ผมก็เคาพรัก ยกมือไหว้เหมือนเดิม

ถ้าจะเกลียด ก็เกลียดกันในบล็อกแล้วกัน ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะความเกลียดดังกล่าว เกิดจากข้อมูลที่ไม่พอ

ผมมั่นใจว่า ถ้าข้อมูลพอเมื่อไร ไม่มีใครเกลียดผมหรอก

ฮา ฮา

8:55 ก่อนเที่ยง  
Blogger crazycloud กล่าวว่า...

คุณแจมมี่ ด่าผมแล้ว อย่าลืมด่า ตัวต้นเหตุด้วย ผมบอกให้ก็ได้ เขาผู้นั้น คือ นายบุญชิต ฟักมี เขาขอโทษผมไปแล้ว พร้อมกับลบชื่อผมออกจากบล็อก พร้อมกับตัดความสัมพันธ์ หลังจากนั้นผมถูกด่าอยู่คนเดียว

นอกจากนี้ผมจะเล่าความสกปรกของคนในบล็อกนี้ให้ฟัง

ผมเป็นคนด่ากันแบบตรงๆ คุณแจมมี่

แต่คุณเชื่อไหม ลับหลังคนพวกนี้ แทงกันเองจนยับ

ในบรรดาพวกบล็อกสามัคคี ผมไม่เคยเห็นใครไม่ด่าใครลับหลัง คนพวกนี้ ต่อหน้าในบล้อกทำพูดกันดี ลับหลังด่ากันเละ ผมจะบอกให้ โดยเฉพาะไอ้พวกตัวเก่งๆนักกฎหมายทั้งหลาย ลับหลังแทงกันเละ ไอ้พวกฝรั่งเศสนี่ตัวดี ลับหลังมันก็แทงกันเอง อย่าให้ผมออกชื่อ จับคู่กันครบเลยแล้วกัน

นอกจากนี้ลับหลังยังชอบด่ากันข้ามประเทศ เช่น คนฝรั่งเศสด่าคนอเมริกัน

และผมเชื่อว่า ไอ้พวกบล็อกสามานย์พวกนี้ ลับหลังมันก็ด่าผมเละเหมือนกัน และมีพวกขี้ฟ้องเอาไปฟ้องพวกอาจารย์ หน้าที่ผมนะหรือ หากระไดลงให้เวลาเจอหน้า เพราะพวกนี้ เจอผมแล้วมันกลัว เพราะมันมีชนัก

นี่หละครับ คุณแจมมี่ เหล่าพวกปากประชาธิปไตย ใจหมา ฮา ฮา คุณรู้ความจริงแล้วจะขนลุกยิ่งกว่ารู้จักความบ้าของผมซะอีก

คุณรู้จัก นักเล่นแร่แปรธาตุ มายากล ทางภาษาไหมล่ะ พวกนี้ นักการเมืองยังอาย

ผมคนจริง บ้าๆ บอๆ หยาบๆ คายๆ แต่ไม่ใช่หมา แน่นอน

มันส์ว่ะ

10:24 ก่อนเที่ยง  
Blogger logakoo กล่าวว่า...

อืมๆ โคตรมันส์เลยว่ะคราวนี้
ขอแสดงความเห็นบ้างนะครับแบบแนวผม อย่าว่ากันนะพี่ปึ๋ง
อั๊วว่านะไอ้จะมาหาความหมายแบบนี้แล้วมันได้อะไรขึ้นมาวะ
เนติบริกร คิดยังไงๆแม่งก็เป็นคำด่าว่ะ คือด่าไอ้พวกที่เอากฎหมายไปใช้ในทางเฮงซวย ไม่สนใจความถูกต้องตามศีลธรรมหรือความเหมาะสมเห้อะไรทั้งนั้นขอให้แม่งถูกกฎหมายเหอะ ไม่ว่าแม่งจะเป็นนักฎหมายภาคไหน
คำว่า เนติบริกร ไม่ต้องไปเปิดพวกพจนานุกรมก็น่าจะรู้ ยิ่งมันเป็นการสร้างคำขึ้นมาใหม่อย่างนี้นะมันจะหาเจอได้ไงวะ
ถ้าจำไม่ผิดคำว่าเชย แม่งก็ยังไม่มีในพจนานุกรมเลยมั้ง
(หรือว่ามีแล้ววะ ถ้ามีก็ขออภัยอย่าเสือกเอามาจับผิดกูล่ะ)
สงสัยว่ะถ้าอั๊ว ไปเจอหน้าลื้อแล้วชี้หน้า แล้วบอกว่า เหี้ย สัตว์ เนติบริกร มึงจะต่อยกูป่ะ กูว่ากูโดนแน่ๆเลยว่ะ
แล้วถ้ามึงจะต่อยกูนะกูบอกว่าอย่างนี้ดีป่ะ
เหี้ย เป็นแค่คำธรรมดาหมายถึงสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้นที่หาไก่ เป็ดแดกเป็นอาหาร
สัตว์ หมายถึงจำพวกของสิ่งมีชีวิตขนิดหนึ่งเองมึงก็เป็นสัตว์ กูก็เป็นสัตว์นะหรือไม่จริงวะ
เนติบริกร ความหมายแบบที่ท่านได้นิยามกันมา
......
......
.....
.....
....
ไม่รู้คนอื่นว่าไง แต่ถ้ามีคนมาทำเบื๊อกๆอย่างนั้นกะ กูต่อยมึงแน่นอน
เพราะถือว่ามึงด่า...
พอแล้วเมื่อยมือ
ขอโทษนะพี่ปึ๋งที่เข้ามาใช้ภาษาแบบผม

12:55 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

If you would like to get a great deal from this article then you
have to apply such strategies to your won weblog.
Here is my page - free ps3 games

12:28 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

fantastic points altogether, you simply won a emblem new reader.

What could you recommend about your post that you made some days ago?
Any positive?
Here is my website : click through the next site

5:19 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

What's Taking place i am new to this, I stumbled upon this I've discovered
It positively useful and it has helped me out loads. I hope to contribute & assist
different customers like its aided me. Great job.


My web-site Villa Schoensinn Karlsruhe

10:19 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Helpful info. Lucky me I discovered your web site by chance,
and I'm surprised why this accident did not took place in advance! I bookmarked it.

Here is my page BMW Z4 Windscreen

1:06 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Hi there, I enjoy reading through your post. I wanted to write a little
comment to support you.

Feel free to visit my web page ... music torrents sites

1:23 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

I'm really impressed with your writing skills and also with the layout on your blog. Is this a paid theme or did you modify it yourself? Anyway keep up the excellent quality writing, it is rare to see a nice blog like this one these days.

My site - zorporno.com

2:26 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

These are truly wonderful ideas in concerning blogging.
You have touched some good points here. Any way keep up wrinting.


my page - Bald Pussy Nymph Erika Has Funtime With Black Toy

6:42 หลังเที่ยง  
Blogger Unknown กล่าวว่า...

www0815
nike soldes
christian louboutin shoes
pandora
oakley sunglasses
christian louboutin shoes
ugg boots clearance
mulberry uk
fitflops sale
reebok
pandora jewelry

10:06 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

cheap jordans
yeezy
off white
hermes birkin
jordan 1

2:38 หลังเที่ยง  

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก