วันจันทร์, กรกฎาคม 18, 2548

คำนิยมแก่ปิ่น ปรเมศวร์

สวัสดีมิตรรักบล็อกเกอร์ทุกท่าน

ช่วงนี้งานยุ่งมากครับ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ทำให้ไม่มีเวลามาอัพเดทบล็อกของตัวเองเลย ไม่อยากให้บล็อกร้างนานเกินไป เลยขออนุญาตจากคุณปิ่น ปรเมศวร์ นำคำนิยมที่ผมเขียนให้แก่หนังสือเล่มใหม่ของเขามาลงไว้ในบล็อกของผมก่อน

สองเด้งครับ นอกจากจะป้องกันไม่ให้บล็อกของผมเฉาตายแล้ว ยังเป็นการช่วยโฆษณาหนังสือเล่มใหม่ให้ปิ่น ปรเมศวร์ล่วงหน้าก่อนอีกด้วย

ส่วนความเห็นที่ ratio scripta เพื่อนของผมมาโพสเพื่อเผาพฤติกรรมของผมไว้ ขอความกรุณาท่านผู้อ่านฟังหูไว้หูนะครับ พระพุทธเจ้าท่านยังสอนไว้ว่า อย่าเชื่อใครง่ายๆ

จะพยายามกลับมาอัพเดทบ่อยครั้งขึ้น

ไม่สัญญา ไม่สาบาน แต่จะตั้งใจครับ

.........

ผมเป็นคนมีเพื่อนฝูงมากพอควร การเริ่มต้นรู้จักคุ้นเคยจนนับได้ว่าเป็น “สหาย” ก็ต่างกันไปในแต่ละคน ทว่ามี “สหาย” อยู่คนหนึ่งที่ผมคิดว่าวิธีการรู้จักระหว่างผมและเขานั้นจำเป็นต้องขอบคุณเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

ความเดิมเริ่มจากผมต้องเดินทางมาเรียนต่อ ณ ฝรั่งเศส ก็มีเจ้าคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนทนี่แหละที่พอจะเป็นยาบรรเทาความเหงาของผมได้บ้างยามอยู่ไกลบ้าน ผมนั่งเฝ้าหน้าจออ่านนั่นอ่านนี่ไปเรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่ง รุ่นน้องที่เมืองไทยส่งลิงค์มาให้ผมผ่านทางเอ็มเอสเอ็น เป็นเว็บไซต์รวบรวมบทความทางเศรษฐศาสตร์และสาขาอื่นๆไว้ เรียงเป็นหมวดหมู่ตามชื่อคนเขียน

ผมเลื่อนเจ้าหนู (เม้าส์นะ ไม่ใช่ไอ้นั่น) ลงมาเรื่อยๆ จนไปพบลิงค์รวบรวมเว็บไซต์ของอาจารย์ ไม่รู้บุญทำกรรมแต่งกันแต่ชาติปางไหนหรือเป็นเพราะสายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาให้ผมได้มาเจอกับเขา ผมกดไปที่ชื่อ “ปกป้อง จันวิทย์” เป็นคนแรก

ณ ห้วงเวลานั้น ผมย้อนกลับไปนึกถึงชื่อที่อาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศเอ่ยถึงบ่อยครั้งในคอลัมน์ที่เขียนลงมติชน

ณ ห้วงเวลานั้น ผมย้อนกลับไปนึกถึงคอลัมน์ในกรุงเทพธุรกิจ และประชาชาติธุรกิจ

ณ ห้วงเวลานั้น ผมย้อนกลับไปนึกถึงแกนนำของคณะเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาคัดค้านการซื้อหุ้นจากสโมสรลิเวอร์พูล

ณ ห้วงเวลานั้น ผมย้อนกลับไปนึกถึงนักวิชาการคนหนึ่งที่วิพากษ์ระบอบทักษิณอย่างเอาการเอางาน

เช่นกัน ณ ห้วงเวลานั้น ผมย้อนกลับไปนึกถึงเสียงแว่วๆลอยมาตามลมที่เอ่ยถึงกิตติศัพท์ของเขาที่ผมได้ฟังมาเมื่อครั้งผมยังอยู่เมืองไทย

แต่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักประวัติของเขาแบบละเอียดจากเว็บไซต์ของเจ้าตัว

อึ้งครับ คนอะไรเก่งชิบหาย

จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ใส่เว็บไซต์นี้เข้าเป็น My favorites และคอยติดตามอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งผมพบความเปลี่ยนแปลงบนหน้าโฮมเพจของเขา มีลิงค์แปลกๆอันนึงเขียนว่า Pin Poramet’s blog

ลองจิ้มเข้าไปดู พาลนึกในใจว่า ใครหนอ... ปิ่น ปรเมศวร์?

ตอนแรกคิดว่าสงสัยต้องเป็นประเภทไดอารี่ชวนฝัน พร่ำพรรณนาถึงความรัก หรือมีบทกลอนอันรัญจวนใจมาให้ผมอ่านเลี่ยนๆขณะดื่มไวน์เป็นแน่

เอาเข้าจริงมันตรงกันข้ามเลยครับ พี่แกเล่นของหนัก ๔๕ ดีกรีทุกวัน

อ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปทุกวัน อย่านะครับอย่า อย่านึกว่าใช้นามว่าปิ่น ปรเมศวร์แล้วจะปกปิดรูปโฉมโนมพรรณตัวเองได้ ผมจำลีล่าสะบัดปากกาของเขาที่ยังคมคงเส้นคงวาเหมือนเคย

ตั้งแต่นั้นผมก็มี Pin Poramet’s blog เข้ามาเป็นสมาชิกรายใหม่ของ My favorites ในคอมพิวเตอร์ผม

เชื่อหรือไม่ว่ากิจวัตรที่ผมต้องทำทุกวันหลังตื่นนอน คือ การเข้าไปอ่านบล็อกและเว็บไซต์ของเขา

ไม่น่าเชื่อว่าผมติดงานของเขางอมแงมทั้งๆที่เขาเป็นผู้ชาย (ฮา)

อ่านงานของเขามากเข้า ผมก็อยากมีบล็อกเป็นของตนเอง จึงตัดสินใจเปิดบล็อกบ้าง แล้วก็บุกเข้าไปโพสในบล็อกของเขาเพื่อแนะนำตัวผม

ตั้งแต่นั้นมาเราก็เริ่มรู้จักกันอย่างเป็นทางการ

ที่น่าแปลก จนกระทั่งขณะนี้ที่ผมนั่งเขียนคำนิยมให้กับเขาอยู่ ผมยังไม่เคยเจอเขาแบบตัวเป็นๆเลย

ผมถึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าเทคโนโลยีทำให้มิตรภาพเกิดขึ้นและย่นย่อโลกของเราให้เล็กลง

.........

อย่างที่ผมเคยบอกกับสหายทางวิชาการของผมเสมอๆว่า นอกจากปิ่น ปรเมศวร์จะเป็นนักวิชาการรุ่นใหม่ไฟแรงแล้ว ผมว่าเขายังเป็นนักคิด นักเขียนคนสำคัญในบรรณพิภพอีกด้วย จะเป็นงานวิชาการแบบเปเปอร์ที่ไว้ขอตำแหน่งทางวิชาการ จะเป็นคอลัมน์หนังสือพิมพ์ หรือจะเป็นงานอ่านสบายๆในสไตล์บทบันทึกสั้นๆ ปิ่น ปรเมศวร์สามารถเขียนออกมาได้ดีในทุกแนว

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าปิ่น ปรเมศวร์จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม งานของเขามีพลังซ่อนอยู่ลึกๆและพร้อมที่จะจุดไฟให้กับผู้อ่าน ประจักษ์พยาน คือ บล็อกของผมที่เปิดขึ้นก็ด้วยอาศัยแรงบันดาลใจจากบล็อกของเขา

ผมคาดเดาเอาเองทั้งๆที่ยังไม่เคยเจอตัวว่า ปิ่น ปรเมศวร์น่าจะเป็นคนจุดประกายให้แก่ผู้อื่นได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ด้วยกัน อาจกล่าวได้ว่าถ้าเขาไม่มาเป็นนักวิชาการในรั้วท่าพระจันทร์แล้ว เขาน่าจะไปเป็นนักจัดตั้งมวลชนชั้นดีทีเดียว

บทพิสูจน์หนึ่ง คือ บล็อกอื่นๆที่ปิ่น ปรเมศวร์ทำลิงค์ไว้ ลองไปสำรวจเจ้าของบล็อกเหล่านั้นได้ ผมว่าเกินครึ่งน่าจะเปิดบล็อกเพราะแรงกระตุ้นของเขา

คงไม่เป็นการยกยอกันเกินไปนัก หากจะกล่าวว่าปิ่น ปรเมศวร์เป็นคนสร้างชุมชนบล็อกเกอร์ของพวกเรา

ผมบ่นเสมอว่าวงการกฎหมายไม่ค่อยมีใครที่ลงมาเขียนงานแบบอ่านสบายๆแต่แฝงด้วยสาระ ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่ากฎหมายเป็นเรื่องของคนหัวหมอ เรื่องของคนเล่นแร่แปรธาตุเอากับตัวอักษร จนเมื่อผมได้อ่านงานของปิ่น ปรเมศวร์เข้าก็เกิดแรงกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นมาเขียนงานแนว Pop – academics บ้าง

อีกประการหนึ่ง งานของปิ่น ปรเมศวร์ ทำให้ผมได้เปิดพรมแดนความรู้ใหม่ ได้พบกับความสวยงามทางวิชาการที่คนเห็นต่างกันก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ และพิสูจน์ว่าบางครั้งความขัดแย้งก็ทำให้เกิดภูมิปัญญาได้เช่นกัน

โดยส่วนตัว ผมทึ่งในความสามารถของปิ่น ปรเมศวร์ที่สามารถทำงานได้หลายประเภทในเวลาพร้อมๆกัน และงานที่ทำนั้นก็ออกมาดีด้วย

หมวกใบแรกของปิ่น ปรเมศวร์คือนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ สำนักท่าพระจันทร์ ในบทบาทนี้เขาทำได้ดีไม่มีที่ติ แม้ปิ่น ปรเมศวร์จะสมาทานกับเศรษฐศาสตร์กระแสรอง แต่เขาก็ไม่ได้ละเลยกับเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก หมวกอีกใบ คือ นักเขียน ผมพบว่าปิ่น ปรเมศวร์เขียนหนังสือได้คมคาย หาตัวจับยาก และน่าจะเป็นมือวางอันดับต้นๆในบรรณพิภพยุคนี้ หมวกใบที่สาม งานบรรณาธิการ ปิ่น ปรเมศวร์เป็นบรรณาธิการที่ขยันและเอาการเอางานเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าหนังสือเล่มที่เขารับเป็นบรรณาธิการนั้น คนเขียนจะต้องพบกับการกวดขันอย่างเอาจริงเอาจัง หมวกใบที่สี่ งานกระตุ้นเตือนสังคม เราจะพบข้อเขียนของเขาหลายชิ้นที่ร้องเตือนสังคมให้รับรู้ถึงอันตรายของระบอบทักษิณในยามที่นักวิชาการบางคนขลาดกลัวที่จะแสดงความเห็นออกมาดังๆ หมวกใบที่ห้า ปิ่น ปรเมศวร์เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา อีกไม่ถึงปีสำนักท่าพระจันทร์ก็จะได้ต้อนรับด็อกเตอร์หนุ่มกลับบ้าน

หมวกหลายใบที่เขาสวมใส่อยู่นี้ ปิ่น ปรเมศวร์ ทำได้อย่างครบถ้วน หมดจด และเอาจริงเอาจัง ยามใดที่ผมดูเขาแล้วย้อนกลับมาดูตนเอง ผมมักจะสงสัยเสมอว่า งานเขามากกว่าผมตั้งเยอะ ทำไมเขาทำได้ดี ในขณะที่ผมเอง งานแต่ละชิ้นกลับค่อยๆคลานไปอย่างเชื่องช้า

คงไม่เกินเลยไปนัก ถ้าผมจะบอกว่า ปิ่น ปรเมศวร์จัดเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษคนหนึ่ง

.........

เมื่อปิ่น ปรเมศวร์ติดต่อให้ผมเขียนคำนิยมให้แก่หนังสือที่รวมบล็อกในแต่ละตอนของเขา ผมตกปากรับคำเขาทันที แต่แล้วก็มานั่งวิตกว่า ผมจะเขียนคำนิยมออกมาได้ไม่ดีพอ มันเป็นการเขียนคำนิยมครั้งแรกในชีวิตของผม ประการหนึ่ง และเกรงว่าเนื้อหาในคำนิยมจะไม่แจ่มพอเมื่อเทียบกับงานของเขา อีกประการหนึ่ง

ผมใช้เวลาตรึกตรองอยู่นานว่าจะเขียนอะไรดี เดิมคิดว่าจะเขียนสั้นๆแบบคำนิยมทั่วๆไป แต่เมื่อนึกถึงเจ้าของผลงานแล้ว ผมจำต้องเปลี่ยนใจมาเขียนยาวและอาจเป็นคำนิยมที่ส่งมาให้ล่าช้าที่สุด

ผมก็เหมือนปิ่น ปรเมศวร์นั่นแหละ ยามใดจรดปากกาแล้วมักเพลินจนลืมดูหน้ากระดาษ

ไม่เพียงแค่การเขียนหนังสือยาวหลายหน้าเท่านั้นที่ผมเหมือนกับเขา หากเรายังมีรสนิยมที่สอดคล้องกันอีกหลายประการ

เขาและผมต่างพิสมัยในการเมือง
เขาและผมต่างนิยมการเสพหนังสือเป็นภักษาหาร
เขาและผมต่างไม่พิสมัยในระบอบทักษิณ
เขาและผมต่างชอบสาวผิวขาว
เขาและผมมักโดนเพศแม่รังแกหัวใจ
เขาและผมหลงมนต์เสน่ห์ของฟุตบอล แม้เราจะมีทีมรักต่างกัน
เขาและผมต่างชอบฟังเพลงของบอดี้สแลม

แต่ที่ต่างกัน คือ เขาก้าวไปไกล เร็ว และแรงกว่าผมยิ่งนัก

เชื่อผมเถิดว่าท่านผู้อ่านที่รักจะได้เสพอรรถรสกับงานของปิ่น ปรเมศวร์ ชนิดที่วางไม่ลงเหมือนกับที่ผมเป็นอยู่ และไม่จำเป็นต้องเดิมพันให้เสียเวลา ผมคิดว่าต้องมีผู้อ่านจำนวนหนึ่งไม่มากก็น้อยที่เกิดแรงบันดาลใจเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้

อย่างที่ผมย้ำเสมอ....

ไม่เพียงแต่ปิ่น ปรเมศวร์จะเป็นนักวิชาการที่ “เนื้อหา” แน่นแล้ว เขายังเป็นนักวิชาการที่ “จุดไฟ” ให้กับคนทั่วไปได้ดีอีกด้วย