ถึงพี่โต Crazy cloud
ตอนแรกคิดว่าจะส่งเป็นเมล์ไปหาเป็นการส่วนตัว แต่คิดไปคิดมาเห็นว่าตอบโต้กันในเวทีสาธารณะมาตลอด และมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องอีกมาก จึงตัดสินใจเขียนลงบล็อกตนเองดีกว่า
ก่อนจะเข้าไปสู่คำชี้แจง ผมอยากให้พี่เข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า ผมไม่ได้ปรารถนาให้มีการโต้กันไปมาเชิงทะเลาะแบบไม่จบไม่สิ้น แต่ต้องการชี้แจงให้พี่เข้าใจว่า การที่ผมเข้าไปตอบในบล็อกพี่ การโต้ตอบของพี่ในช่วง ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมา การเขียนบทความของผมเรื่องมาตรา ๗ และการไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางประการของกลุ่มผู้ชุมนุม ผมมีความคิดเห็นและวัตถุประสงค์เช่นไร ส่วนพี่จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ นั่นก็สุดแท้แต่พี่จะพิจารณา
การอ่านคำชี้แจงนี้ ผมขอให้พี่ข้ามพ้น “การโค่นทักษิณ” ไปก่อน แล้วจึงอ่านคำชี้แจงของผม ผมไม่ได้ชอบทักษิณ ผมด่าออกสาธารณะหลายครั้ง แสดงความไม่เห็นด้วยตามบทความหลายชิ้น แต่คำชี้แจงนี้ จะว่าไป ผมต้องการถกเถียงกับพี่แบบวิชาการล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าทักษิณเลว ทักษิณต้องออกไป แต่อย่างใด หากเกี่ยวกับ หลักการของมาตรา ๗ หลักประชาธิปไตย การให้เหตุผลของพี่บางข้อที่ผมไม่เห็นด้วย การตำหนิผู้อื่นของพี่ที่ผมไม่เห็นด้วย
อย่าลืมนะครับ ว่ากันที่เนื้อหาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับ ใครรักทักษิณ ใครเกลียดทักษิณ ไม่เกี่ยวกับ เด็กนอก เด็กใน ไม่เกี่ยวกับเซน ไม่เซน
๑. ถ้าย้อนกลับไป ผมเข้าไปตอบในบล็อกพี่ครั้งแรกว่า ผมได้ดูการปราศรัยของพี่ ก็เกิดนิยมในความกล้าหาญ แต่เห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอัตวินิจฉัยของผมเอง จากนั้นผมก็ไปตอบขยายความหลังวันที่ ๒๖ ก.พ. ผ่านไปว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัยกักขฬะของแกนนำบางคน ดังที่ผมยกมาแล้ว
๒. จุดยืนของผมมี ๒ ข้อ ข้อแรก ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัยของแกนนำบางคน ไม่เห็นด้วยกับนายกฯพระราชทาน จุดยืนข้อนี้ผมได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้ว จึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีก ข้อสอง ผมไม่เห็นด้วยที่พี่ไปตำหนิผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับพี่ ถ้าพี่ไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพี่ ผมว่าโอเค ก็เถียงกันด้วยเหตุด้วยผล แต่ไม่น่าจะไปตำหนิเขาในลักษณะที่ว่า เขาเป็นคนโง่ เขาเป็นคนขี้ขลาด เขาเป็นคนไม่รักชาติ เขาเก่งแต่ในตำรา ฯลฯ แรกๆผมก็คิดว่าอารมณ์พาไป หรือไม่มีเวลาชี้แจงแบบละเอียดๆ แต่มาคิดอีกที พี่ย้ำเสมอว่าพี่เป็นคนนิ่ง สงบ ประกอบกับพี่ยังคงแสดงความเห็นทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงคิดว่าพี่คงตำหนิแบบนั้นจริงๆ
๓. ผมไม่ติดใจกับประเด็นที่พี่ใช้คำหยาบ หรือปราศรัยโดยใช้คำหยาบ ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ดีตีนแดง ทุกวันนี้สนทนากับใครก็ติดคำว่า “แม่ง” “ไอ้เหี้ย” “ไอ้ห่า” ตลอด ข้อนี้ผมจึงเฉยๆ แต่ที่ผมว่าแกนนำบางคนนั้น มันไม่ใช่เรื่องคำหยาบ แต่มันเป็นวิธีคิดที่กักขฬะ เช่น นายอวยชัย วะทา พูดว่า “ใครโกงให้ลูกเป็นกะหรี่” เป็นต้น แบบนี้ไม่ใช่เรื่องคำหยาบแต่มันเป็นเรื่องวิธีการคิดของผู้พูด ทักษิณมันเลว มันชั่วก็ว่าไป ไม่ใช่ไปพูดแบบนี้
๔. ผมย้ำเสมอว่า เป้าหมายที่ดีต้องมีวิธีการที่ดีด้วย ข้อนี้พี่แย้งผมว่า “นั่นคือ เป้า อย่าติดยึดกับหนทาง” ผมเห็นดังนี้เลยคิดต่อไปว่า มันก็ตรรกะชุดเดียวกับเนติบริกรทั้งหลาย มันก็ตรรกะชุดเดียวกับทักษิณปราบยาบ้าด้วยการฆ่าตัดตอน แมคเคียวิลี่ คนที่พี่ยกมาตำหนิคนอื่นนั่นแหละ (จากบล็อกตอนล่าสุดของพี่ที่ว่า “บังเอิญ ผมเป็นคนไม่ดัดจริต จึงพูดภาษาหยาบ จนอ้ายมาเคลเวลลี่ พลกุล และลูกหาบ ทนไม่ไหวออกมาวิจารณ์”) เป็นเจ้าของ “ไปให้ถึงเป้าโดยไม่สนใจวิธีการ”
และถ้าผมจำไม่ผิด ในวงสนทนาที่ร้านบัดดี้ ถนนข้าวสาร พี่เคยบอกกับผมเองว่า เป้าหมายที่ดีต้องไปกับวิธีการที่ดี
๕. ข้อนี้ถามจุดยืนพี่เพื่อความแน่ใจ พี่เห็นด้วยกับนายกฯพระราชทาน ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด แล้วพี่เกิดยอมรับความคิดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ก่อนหรือหลังมีการถวายฎีกา ก่อนหรือหลังอธิการ มธ. ออกมา พี่คิดไว้นานแล้วหรือพึ่งคิดได้เพราะหาทางออกไม่เจออีกแล้ว
ถามให้กว้างไปอีก พี่เห็นด้วยกับวาทกรรม “พระราชอำนาจ” หรือไม่
๖. อันนี้ออกมาแสดงจุดยืนของตัวเอง เห็นพี่ว่าแบบเหมาเข่งไปหมดโดยไม่ระบุชื่อ ไม่รู้มีผมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็อย่าหาว่าผมกินปูนร้อนทองละกัน
ผมไม่สมาทานกับทุนนิยม ออกจะซ้ายๆด้วย ความข้อนี้พี่น่าจะรู้ดีจากการสนทนากันในหลายๆครั้ง
ผมไม่ได้กอดตำราฝรั่ง ผมตำหนิอยู่ในกรณีที่เอาของนอกมาใส่กฎหมายไทยโดยไม่พิจารณา ความข้อนี้พี่น่าจะรู้ดีจากการสนทนากันในหลายๆครั้ง
ผมไม่สามารถกลับไปร่วมรบด้วยได้ การที่พี่ต่อว่า “ทำไมกลับมาเที่ยวเล่น กินเหล้า กินไวน์ได้” ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการตำหนิแบบนี้ เพราะถึงแม้ผมอยู่เมืองไทยตอนนี้ผมก็ยังเห็นแบบเดิม และคงไม่ออกไปร่วมชุมนุม
ผมไม่ใช่ลูกอีช่างติ ไม่ใช่นักวิจารณ์ปากตะไกร สักแต่ด่า โดยไม่ไตร่ตรอง เห็นได้จากการวิวาทกันในครั้งนี้ ผมตอบในบล็อกน้อยมาก เพราะผมต้องใช้เวลาคิด อย่างครั้งนี้ก็คิดมาร่วมสัปดาห์ ผมไม่ใช่ประเภทที่ว่า ไม่เห็นด้วยปุ๊บสวนกลับปั๊บ หรืออ่านเจอคนที่มาตำหนิเราปุ๊บแล้วรีบจิ้มคีย์บอร์ดอัดกลับปั๊บ
๗. ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของตำราฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง การปกครองตนเอง เพิ่มอำนาจให้ประชาชน ไม่พึ่ง “อำนาจพิเศษ” ไม่ใช่เรื่องฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง หรือถ้าหากมันเป็นฝรั่งจริง แล้วเราเห็นว่ามันถูกต้อง ผมว่าก็ไม่น่าแปลกที่จะเอาฝรั่งมาใช้ แล้วไอ้ที่ว่า “แบบไทยๆ” คืออะไร หากว่าหมายถึง เอะอะก็ถวายอำนาจคืนๆ เห็นทีผมจะไม่เอาด้วย
การไม่ทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะไม่อยากทำ หรือทำไม่ได้ แล้วอ้างว่า “โอ๊ย ของนอกๆ ไม่เหมาะๆ” ผมว่าไม่น่าจะถูกต้อง จนอาจกลายเป็น “องุ่นเปรี้ยว” ไปด้วยซ้ำ เคยอ่านเจอนัก ก.ม.เปรียบเทียบคนหนึ่ง ชื่ออะไร จำไม่ได้ เขาบอกประมาณว่า คงเป็นเรื่องตลก หากคนเป็นมาลาเรียปฏิเสธยาควินินที่เอาเข้ามาจากบ้านอื่นเพื่อมาใช้รักษา ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังบ้านของเขาปลูกต้นควินินไม่ขึ้น
ธงชัย วินิจจะกูลกล่าวไว้ในงานของเขาชื่อ “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง ๑๔ ตุลา” (งานชิ้นนี้ผมถือว่าเยี่ยมที่สุด ใครสนใจทิ้งเมล์ไว้ได้ จะส่งไปให้ หรือเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/document/tongchai.pdf
หรือไปซื้อตามร้านหนังสือก็ได้ )
“การที่ระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยเป็นแนวคิดและประสบการณ์ที่เริ่มมาจากสังคมอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่เหตุผลเพื่อปฏิเสธประชาธิปไตย เพราะถ้าใช้เหตุผลนี้ เราคงต้องปฏิเสธพระมนูศาสตร์ ทศพิธราชธรรมด้วย... เราไม่สามารถกล่าวด้วยซ้ำไปว่าประชาธิปไตยเป็นของนอก ไม่มีประสบการณ์สั่งสมมาในสังคมไทย หากเรานับจาก ๒๔๗๕ เป็นต้นมา สังคมไทยมีประสบการณ์มาแล้ว ๗๓ ปี และเริ่มลงหลักปักฐานมั่นคงขึ้นใน ๓๐ ปีที่ผ่านมา... หากเชื่อว่าหลักการสิทธิมนุษยชนเป็นของดีสำหรับสังคมไทย ต่อให้ไม่มีรากฐานในจารีตวัฒนธรรมไทย ย่อมสมควรลงแรงต่อสู้จนกว่าจะปลูกขึ้น...”
๘. ผมถามพี่ด้วยใจจริงเลยว่า “พี่ว่ามาตรา ๗ มันใช้ได้หรือ?”
เราก็เรียนกันมาทั้งคู่ อ้างอาจารย์สักคนก็ได้ เผื่อผมจะมีเครดิตไม่พอในสายตาพี่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปรมาจารย์ของเราทั้งสองคน ได้สอนพวกเราว่า หลักการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญต้องตีความให้บทบัญญัติมีผล ต้องตีความให้กลไกต่างๆมันทำงาน ต้องเกิดช่องว่างทางกฎหมายรัฐธรรมนูญจริงๆจึงจะนำประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาใช้ตามมาตรา ๗
แล้วการอ้างมาตรา ๗ ในตอนนี้มันจะสอดคล้องกับหลักการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญหรือ?
วรเจตน์ยังสอนพวกเราอีกด้วยว่า องค์กรตามรัฐธรรมนูญทุกองค์กรมีอำนาจการใช้และตีความรัฐธรรมนูญทั้งนั้น เมื่อมีปัญหามาถึงตนเอง ก็ต้องวินิจฉัยไปตามที่ตนเห็น ไม่ใช่เฉพาะแต่ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจตีความ กรณีนี้ ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย หรือถึงมีปัญหาจริง (ปัญหาอะไร ช่วยชี้ให้กระจ่างด้วย ไม่ใช่ปัญหาว่าจะโค่นทักษิณนะ อันนั้นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหากฎหมาย) แล้วลูกบอลปัญหาลูกนี้ จะส่งไปให้ใครใช้อำนาจเพื่อตีความล่ะ ใครจะเป็นคนบอกว่าตอนนี้ “ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับ” จึงต้อง“วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แน่นอน ไม่ใช่ผม ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่อธิการ มธ. ไม่ใช่สนธิ ไม่ใช่ ๑๐๐ คนถวายฎีกา
วรเจตน์ย้ำเสมอว่า การตีความกฎหมายไม่ใช่ตีความแล้วอ้างว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์แต่อย่างเดียว เช่นกัน จะตีความโดยยึดลายลักษณ์อักษรอย่างเดียวก็ไม่ได้ หากแต่ต้องควบคู่กันไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวอักษรเป็นด่านแรกที่แสดงให้เราเห็นว่ากฎหมายว่าเช่นไร การตีความโดยอ้างเจตนารมณ์ทั้งๆที่เจตนารมณ์ที่ยกขึ้นอ้างมันเลยตัวอักษรอย่างเห็นได้ชัด ย่อมทำไม่ได้
แต่ถ้าพี่บอกว่า “มันใช้มาตรา ๗ ไม่ได้หรอก แต่มันจำเป็นว่ะ” ผมก็เคารพในวิถีของพี่ แล้วจะไม่ถกเถียงกันเรื่องมาตรา ๗ อีกต่อไป
๙. ข้อนี้ขอเตือนกันตรงๆในฐานะกัลยาณมิตร พี่ไม่น่าจะไปอัดคนอื่นในลักษณะนี้เลย
“ปกป้อง จันท์วิทย์ หากผมไม่มีชื่อเสียงก็คงไม่เข้ามา ตาไม่เหลียว ใช่มะ เรามันกระจอกจะตายนาย นายทำเวบนายให้ดังเถอะ เรามันแค่มดปลวกไม่อาจเทียบราชันบล็อกเกอร์อย่างท่าน คนอย่างผมมันก็อย่างนี้แหละกว่าจะได้อะไรมันยาก หากระคายใจ ก็อย่าโกรธกันแล้วผิดไหม ถ้าผมจะดัง เพื่อให้คนหันมาสนใจความคิด และปัญญาผมบ้าง ท่านพี่กล้า มีชื่อแล้วนิ บุญชิต So COOL ผมติดตามทางผู้จัดการตลอด และแอบอยากรู้จักมานานปกป้อง ก็โด่งดัง BLOG BLOG ผมอ่านทุกหน้าสามรอบนิติรัฐ ก็สุดยอดเป็นคนรุ่นใหม่ที่ปราดเปรื่องมากราติโอ้ ก็เยี่ยมยุทธ ทั้งเหตุผล และจริยธรรมแล้วไงวะ ท่านจะให้เมฆบ้าลอยขึ้นฟ้ามิได้หรือ”
หรือ อีกหลายครั้งที่พี่ว่ารวมๆแบบไม่เจาะจง เช่น
“เหตุดังนี้ พวกบัณฑิต มิรู้อิโหน่อิเหน่ จึงถูกคมดาบฟาดฟันจนเกิดริ้วแผล ด้วยความพยายามเสนอหน้า เข้ามาโดนดาบเอง บางคนด่าพ่อจาบจ้วงบุพการี น่าละอาย”
“จำใส่กระโลหกเอาไว้ ไอ้พวกนักเรียนนอกคลั่งลัทธิเหตุผล นักรบจากทุนนิยมระยำ”
“จำใส่กระโหลกเอาไว้ สำหรับไอ้พวกลูกอีช่างติ โดยไม่ไตร่ตรอง คิดว่าตนถูก เจ๋ง”
“ส่วนข้อหา ชักว่าว นั้น ผมบอกได้เลยว่า วิชาความรู้เมื่อเรียนมา ต้องเอาลงสู่มวลชนให้ได้ นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ มวลชน คนไทย อยู่ง่าย กินง่าย เสื้อผืน ข้าเหนียวกระติ้บ ฟังเพลงลูกทุ่ง พูดจากันภาษาซื่อๆ ตรงๆ หยาบๆ แต่น่ารัก บ้านเมืองมีภัยมหาศาล ผมออกเสี่ยงชีวิตรบราทั้งรู้ว่าใครเป็นใคร แต่มิเห็นเหล่าบัณฑิตผู้ใด ลงมายืนเคียงข้างประชาชน หากอยู่เมืองนอก ก่อนหน้าทำไมบินกลับมากินเหล้า กินไวน์ได้ แต่พอพี่น้องเดือดร้อน กลับอยู่เฉย ข้อกล่าวหาว่า ชักว่าวคงผิด แต่กลายเป็นพวก นกเขาไม่ขันมากกว่า”
ฯลฯ
มันทำให้เหตุผลที่พี่ยกขึ้นมาต่อสู้ตกลงไป ทำให้คนอื่นๆที่เข้ามาอ่านมองว่าพี่ไปอัดเขาแบบฟาดงวงฟาดงา
ไม่ได้ว่าเรื่องคำหยาบ หรือ ใช้คำแรงๆนะ แต่ว่าที่เนื้อหาเลย ผมอยากเห็นพี่อธิบายเป็นฉากๆมากกว่าชุดคำตอบที่ว่า “ผมไม่โกรธ ผมนิ่ง” “ไอ้พวกนั้นมันโง่เองที่มองไม่เห็นว่าทักษิณมันชั่ว” “ไอ้พวกนั้นมันนักเรียนนอก ไม่รู้เรื่องเมืองไทย” “ไอ้พวกนั้นมันกอดตำรา ตามฝรั่ง” “ไอ้พวกนั้นมันจะรู้อะไร กูเหนื่อยสายตัวแทบขาด”
คำตอบแบบนี้ ผมเห็นว่ามันออกจะง่ายไปซักหน่อย และไม่เห็นว่ามันจะตอบคำถามหลักของการสนทนาตลอด ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมาแต่อย่างใด
พี่ต้องไม่ลืมว่า เขาไม่เคยด่าที่พี่ร่วมกับผู้ชุมนุม เขาไม่เคยด่าว่าพี่อยากดัง เขารู้ว่าทักษิณมันชั่ว เขาแค่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางประการของการชุมนุม พี่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ว่ามา ก็น่าจะจบ ไม่น่ามีการด่าแบบสาดเสียเทเสียตามมา หรือพี่ต้องการเพิ่มอรรถรสในบล็อก (อันนี้แหย่เล่นนะ) แต่ถ้าพี่บอกว่ามันเป็นลีลาในการเขียนของพี่ อันนี้ผมก็ยอมรับและขออภัย
ที่ผมแจกแจงมาทั้งหมด พี่จะบอกว่าผมคิดไปเอง ผมอ่านพี่ผิด ผมไม่เข้าใจ ก็สุดแท้แต่ ผมแค่คิดจากการอ่านบล็อกตลอด ๑ อาทิตย์แล้วก็รู้สึกแบบนี้ ก็เท่านั้นเอง พี่จะบอกว่าไม่ใช่ ผมก็ยอมรับ
หวังว่าพี่จะลองทบทวนดู ถ้าพี่ยืนยันอีกว่าพี่ได้ทบทวนมาตลอด ผมก็ขอให้พี่ทบทวนอีกทีละกัน
ยังเชื่อเสมอว่าพี่เป็นคนมีเหตุมีผล พร้อมรับฟังผู้อื่น มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง และเราน่าจะเป็นกัลยาณมิตรทางวิชาการด้วยกันต่อไปได้
ก่อนจะเข้าไปสู่คำชี้แจง ผมอยากให้พี่เข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า ผมไม่ได้ปรารถนาให้มีการโต้กันไปมาเชิงทะเลาะแบบไม่จบไม่สิ้น แต่ต้องการชี้แจงให้พี่เข้าใจว่า การที่ผมเข้าไปตอบในบล็อกพี่ การโต้ตอบของพี่ในช่วง ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมา การเขียนบทความของผมเรื่องมาตรา ๗ และการไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางประการของกลุ่มผู้ชุมนุม ผมมีความคิดเห็นและวัตถุประสงค์เช่นไร ส่วนพี่จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ นั่นก็สุดแท้แต่พี่จะพิจารณา
การอ่านคำชี้แจงนี้ ผมขอให้พี่ข้ามพ้น “การโค่นทักษิณ” ไปก่อน แล้วจึงอ่านคำชี้แจงของผม ผมไม่ได้ชอบทักษิณ ผมด่าออกสาธารณะหลายครั้ง แสดงความไม่เห็นด้วยตามบทความหลายชิ้น แต่คำชี้แจงนี้ จะว่าไป ผมต้องการถกเถียงกับพี่แบบวิชาการล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าทักษิณเลว ทักษิณต้องออกไป แต่อย่างใด หากเกี่ยวกับ หลักการของมาตรา ๗ หลักประชาธิปไตย การให้เหตุผลของพี่บางข้อที่ผมไม่เห็นด้วย การตำหนิผู้อื่นของพี่ที่ผมไม่เห็นด้วย
อย่าลืมนะครับ ว่ากันที่เนื้อหาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับ ใครรักทักษิณ ใครเกลียดทักษิณ ไม่เกี่ยวกับ เด็กนอก เด็กใน ไม่เกี่ยวกับเซน ไม่เซน
๑. ถ้าย้อนกลับไป ผมเข้าไปตอบในบล็อกพี่ครั้งแรกว่า ผมได้ดูการปราศรัยของพี่ ก็เกิดนิยมในความกล้าหาญ แต่เห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอัตวินิจฉัยของผมเอง จากนั้นผมก็ไปตอบขยายความหลังวันที่ ๒๖ ก.พ. ผ่านไปว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัยกักขฬะของแกนนำบางคน ดังที่ผมยกมาแล้ว
๒. จุดยืนของผมมี ๒ ข้อ ข้อแรก ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัยของแกนนำบางคน ไม่เห็นด้วยกับนายกฯพระราชทาน จุดยืนข้อนี้ผมได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้ว จึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีก ข้อสอง ผมไม่เห็นด้วยที่พี่ไปตำหนิผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับพี่ ถ้าพี่ไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพี่ ผมว่าโอเค ก็เถียงกันด้วยเหตุด้วยผล แต่ไม่น่าจะไปตำหนิเขาในลักษณะที่ว่า เขาเป็นคนโง่ เขาเป็นคนขี้ขลาด เขาเป็นคนไม่รักชาติ เขาเก่งแต่ในตำรา ฯลฯ แรกๆผมก็คิดว่าอารมณ์พาไป หรือไม่มีเวลาชี้แจงแบบละเอียดๆ แต่มาคิดอีกที พี่ย้ำเสมอว่าพี่เป็นคนนิ่ง สงบ ประกอบกับพี่ยังคงแสดงความเห็นทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงคิดว่าพี่คงตำหนิแบบนั้นจริงๆ
๓. ผมไม่ติดใจกับประเด็นที่พี่ใช้คำหยาบ หรือปราศรัยโดยใช้คำหยาบ ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ดีตีนแดง ทุกวันนี้สนทนากับใครก็ติดคำว่า “แม่ง” “ไอ้เหี้ย” “ไอ้ห่า” ตลอด ข้อนี้ผมจึงเฉยๆ แต่ที่ผมว่าแกนนำบางคนนั้น มันไม่ใช่เรื่องคำหยาบ แต่มันเป็นวิธีคิดที่กักขฬะ เช่น นายอวยชัย วะทา พูดว่า “ใครโกงให้ลูกเป็นกะหรี่” เป็นต้น แบบนี้ไม่ใช่เรื่องคำหยาบแต่มันเป็นเรื่องวิธีการคิดของผู้พูด ทักษิณมันเลว มันชั่วก็ว่าไป ไม่ใช่ไปพูดแบบนี้
๔. ผมย้ำเสมอว่า เป้าหมายที่ดีต้องมีวิธีการที่ดีด้วย ข้อนี้พี่แย้งผมว่า “นั่นคือ เป้า อย่าติดยึดกับหนทาง” ผมเห็นดังนี้เลยคิดต่อไปว่า มันก็ตรรกะชุดเดียวกับเนติบริกรทั้งหลาย มันก็ตรรกะชุดเดียวกับทักษิณปราบยาบ้าด้วยการฆ่าตัดตอน แมคเคียวิลี่ คนที่พี่ยกมาตำหนิคนอื่นนั่นแหละ (จากบล็อกตอนล่าสุดของพี่ที่ว่า “บังเอิญ ผมเป็นคนไม่ดัดจริต จึงพูดภาษาหยาบ จนอ้ายมาเคลเวลลี่ พลกุล และลูกหาบ ทนไม่ไหวออกมาวิจารณ์”) เป็นเจ้าของ “ไปให้ถึงเป้าโดยไม่สนใจวิธีการ”
และถ้าผมจำไม่ผิด ในวงสนทนาที่ร้านบัดดี้ ถนนข้าวสาร พี่เคยบอกกับผมเองว่า เป้าหมายที่ดีต้องไปกับวิธีการที่ดี
๕. ข้อนี้ถามจุดยืนพี่เพื่อความแน่ใจ พี่เห็นด้วยกับนายกฯพระราชทาน ใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด แล้วพี่เกิดยอมรับความคิดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ก่อนหรือหลังมีการถวายฎีกา ก่อนหรือหลังอธิการ มธ. ออกมา พี่คิดไว้นานแล้วหรือพึ่งคิดได้เพราะหาทางออกไม่เจออีกแล้ว
ถามให้กว้างไปอีก พี่เห็นด้วยกับวาทกรรม “พระราชอำนาจ” หรือไม่
๖. อันนี้ออกมาแสดงจุดยืนของตัวเอง เห็นพี่ว่าแบบเหมาเข่งไปหมดโดยไม่ระบุชื่อ ไม่รู้มีผมอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็อย่าหาว่าผมกินปูนร้อนทองละกัน
ผมไม่สมาทานกับทุนนิยม ออกจะซ้ายๆด้วย ความข้อนี้พี่น่าจะรู้ดีจากการสนทนากันในหลายๆครั้ง
ผมไม่ได้กอดตำราฝรั่ง ผมตำหนิอยู่ในกรณีที่เอาของนอกมาใส่กฎหมายไทยโดยไม่พิจารณา ความข้อนี้พี่น่าจะรู้ดีจากการสนทนากันในหลายๆครั้ง
ผมไม่สามารถกลับไปร่วมรบด้วยได้ การที่พี่ต่อว่า “ทำไมกลับมาเที่ยวเล่น กินเหล้า กินไวน์ได้” ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการตำหนิแบบนี้ เพราะถึงแม้ผมอยู่เมืองไทยตอนนี้ผมก็ยังเห็นแบบเดิม และคงไม่ออกไปร่วมชุมนุม
ผมไม่ใช่ลูกอีช่างติ ไม่ใช่นักวิจารณ์ปากตะไกร สักแต่ด่า โดยไม่ไตร่ตรอง เห็นได้จากการวิวาทกันในครั้งนี้ ผมตอบในบล็อกน้อยมาก เพราะผมต้องใช้เวลาคิด อย่างครั้งนี้ก็คิดมาร่วมสัปดาห์ ผมไม่ใช่ประเภทที่ว่า ไม่เห็นด้วยปุ๊บสวนกลับปั๊บ หรืออ่านเจอคนที่มาตำหนิเราปุ๊บแล้วรีบจิ้มคีย์บอร์ดอัดกลับปั๊บ
๗. ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของตำราฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง การปกครองตนเอง เพิ่มอำนาจให้ประชาชน ไม่พึ่ง “อำนาจพิเศษ” ไม่ใช่เรื่องฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง หรือถ้าหากมันเป็นฝรั่งจริง แล้วเราเห็นว่ามันถูกต้อง ผมว่าก็ไม่น่าแปลกที่จะเอาฝรั่งมาใช้ แล้วไอ้ที่ว่า “แบบไทยๆ” คืออะไร หากว่าหมายถึง เอะอะก็ถวายอำนาจคืนๆ เห็นทีผมจะไม่เอาด้วย
การไม่ทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะไม่อยากทำ หรือทำไม่ได้ แล้วอ้างว่า “โอ๊ย ของนอกๆ ไม่เหมาะๆ” ผมว่าไม่น่าจะถูกต้อง จนอาจกลายเป็น “องุ่นเปรี้ยว” ไปด้วยซ้ำ เคยอ่านเจอนัก ก.ม.เปรียบเทียบคนหนึ่ง ชื่ออะไร จำไม่ได้ เขาบอกประมาณว่า คงเป็นเรื่องตลก หากคนเป็นมาลาเรียปฏิเสธยาควินินที่เอาเข้ามาจากบ้านอื่นเพื่อมาใช้รักษา ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังบ้านของเขาปลูกต้นควินินไม่ขึ้น
ธงชัย วินิจจะกูลกล่าวไว้ในงานของเขาชื่อ “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง ๑๔ ตุลา” (งานชิ้นนี้ผมถือว่าเยี่ยมที่สุด ใครสนใจทิ้งเมล์ไว้ได้ จะส่งไปให้ หรือเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/document/tongchai.pdf
หรือไปซื้อตามร้านหนังสือก็ได้ )
“การที่ระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยเป็นแนวคิดและประสบการณ์ที่เริ่มมาจากสังคมอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่เหตุผลเพื่อปฏิเสธประชาธิปไตย เพราะถ้าใช้เหตุผลนี้ เราคงต้องปฏิเสธพระมนูศาสตร์ ทศพิธราชธรรมด้วย... เราไม่สามารถกล่าวด้วยซ้ำไปว่าประชาธิปไตยเป็นของนอก ไม่มีประสบการณ์สั่งสมมาในสังคมไทย หากเรานับจาก ๒๔๗๕ เป็นต้นมา สังคมไทยมีประสบการณ์มาแล้ว ๗๓ ปี และเริ่มลงหลักปักฐานมั่นคงขึ้นใน ๓๐ ปีที่ผ่านมา... หากเชื่อว่าหลักการสิทธิมนุษยชนเป็นของดีสำหรับสังคมไทย ต่อให้ไม่มีรากฐานในจารีตวัฒนธรรมไทย ย่อมสมควรลงแรงต่อสู้จนกว่าจะปลูกขึ้น...”
๘. ผมถามพี่ด้วยใจจริงเลยว่า “พี่ว่ามาตรา ๗ มันใช้ได้หรือ?”
เราก็เรียนกันมาทั้งคู่ อ้างอาจารย์สักคนก็ได้ เผื่อผมจะมีเครดิตไม่พอในสายตาพี่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ปรมาจารย์ของเราทั้งสองคน ได้สอนพวกเราว่า หลักการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญต้องตีความให้บทบัญญัติมีผล ต้องตีความให้กลไกต่างๆมันทำงาน ต้องเกิดช่องว่างทางกฎหมายรัฐธรรมนูญจริงๆจึงจะนำประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาใช้ตามมาตรา ๗
แล้วการอ้างมาตรา ๗ ในตอนนี้มันจะสอดคล้องกับหลักการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญหรือ?
วรเจตน์ยังสอนพวกเราอีกด้วยว่า องค์กรตามรัฐธรรมนูญทุกองค์กรมีอำนาจการใช้และตีความรัฐธรรมนูญทั้งนั้น เมื่อมีปัญหามาถึงตนเอง ก็ต้องวินิจฉัยไปตามที่ตนเห็น ไม่ใช่เฉพาะแต่ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจตีความ กรณีนี้ ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย หรือถึงมีปัญหาจริง (ปัญหาอะไร ช่วยชี้ให้กระจ่างด้วย ไม่ใช่ปัญหาว่าจะโค่นทักษิณนะ อันนั้นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่ปัญหากฎหมาย) แล้วลูกบอลปัญหาลูกนี้ จะส่งไปให้ใครใช้อำนาจเพื่อตีความล่ะ ใครจะเป็นคนบอกว่าตอนนี้ “ไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับ” จึงต้อง“วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แน่นอน ไม่ใช่ผม ไม่ใช่พี่ ไม่ใช่อธิการ มธ. ไม่ใช่สนธิ ไม่ใช่ ๑๐๐ คนถวายฎีกา
วรเจตน์ย้ำเสมอว่า การตีความกฎหมายไม่ใช่ตีความแล้วอ้างว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์แต่อย่างเดียว เช่นกัน จะตีความโดยยึดลายลักษณ์อักษรอย่างเดียวก็ไม่ได้ หากแต่ต้องควบคู่กันไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวอักษรเป็นด่านแรกที่แสดงให้เราเห็นว่ากฎหมายว่าเช่นไร การตีความโดยอ้างเจตนารมณ์ทั้งๆที่เจตนารมณ์ที่ยกขึ้นอ้างมันเลยตัวอักษรอย่างเห็นได้ชัด ย่อมทำไม่ได้
แต่ถ้าพี่บอกว่า “มันใช้มาตรา ๗ ไม่ได้หรอก แต่มันจำเป็นว่ะ” ผมก็เคารพในวิถีของพี่ แล้วจะไม่ถกเถียงกันเรื่องมาตรา ๗ อีกต่อไป
๙. ข้อนี้ขอเตือนกันตรงๆในฐานะกัลยาณมิตร พี่ไม่น่าจะไปอัดคนอื่นในลักษณะนี้เลย
“ปกป้อง จันท์วิทย์ หากผมไม่มีชื่อเสียงก็คงไม่เข้ามา ตาไม่เหลียว ใช่มะ เรามันกระจอกจะตายนาย นายทำเวบนายให้ดังเถอะ เรามันแค่มดปลวกไม่อาจเทียบราชันบล็อกเกอร์อย่างท่าน คนอย่างผมมันก็อย่างนี้แหละกว่าจะได้อะไรมันยาก หากระคายใจ ก็อย่าโกรธกันแล้วผิดไหม ถ้าผมจะดัง เพื่อให้คนหันมาสนใจความคิด และปัญญาผมบ้าง ท่านพี่กล้า มีชื่อแล้วนิ บุญชิต So COOL ผมติดตามทางผู้จัดการตลอด และแอบอยากรู้จักมานานปกป้อง ก็โด่งดัง BLOG BLOG ผมอ่านทุกหน้าสามรอบนิติรัฐ ก็สุดยอดเป็นคนรุ่นใหม่ที่ปราดเปรื่องมากราติโอ้ ก็เยี่ยมยุทธ ทั้งเหตุผล และจริยธรรมแล้วไงวะ ท่านจะให้เมฆบ้าลอยขึ้นฟ้ามิได้หรือ”
หรือ อีกหลายครั้งที่พี่ว่ารวมๆแบบไม่เจาะจง เช่น
“เหตุดังนี้ พวกบัณฑิต มิรู้อิโหน่อิเหน่ จึงถูกคมดาบฟาดฟันจนเกิดริ้วแผล ด้วยความพยายามเสนอหน้า เข้ามาโดนดาบเอง บางคนด่าพ่อจาบจ้วงบุพการี น่าละอาย”
“จำใส่กระโลหกเอาไว้ ไอ้พวกนักเรียนนอกคลั่งลัทธิเหตุผล นักรบจากทุนนิยมระยำ”
“จำใส่กระโหลกเอาไว้ สำหรับไอ้พวกลูกอีช่างติ โดยไม่ไตร่ตรอง คิดว่าตนถูก เจ๋ง”
“ส่วนข้อหา ชักว่าว นั้น ผมบอกได้เลยว่า วิชาความรู้เมื่อเรียนมา ต้องเอาลงสู่มวลชนให้ได้ นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ มวลชน คนไทย อยู่ง่าย กินง่าย เสื้อผืน ข้าเหนียวกระติ้บ ฟังเพลงลูกทุ่ง พูดจากันภาษาซื่อๆ ตรงๆ หยาบๆ แต่น่ารัก บ้านเมืองมีภัยมหาศาล ผมออกเสี่ยงชีวิตรบราทั้งรู้ว่าใครเป็นใคร แต่มิเห็นเหล่าบัณฑิตผู้ใด ลงมายืนเคียงข้างประชาชน หากอยู่เมืองนอก ก่อนหน้าทำไมบินกลับมากินเหล้า กินไวน์ได้ แต่พอพี่น้องเดือดร้อน กลับอยู่เฉย ข้อกล่าวหาว่า ชักว่าวคงผิด แต่กลายเป็นพวก นกเขาไม่ขันมากกว่า”
ฯลฯ
มันทำให้เหตุผลที่พี่ยกขึ้นมาต่อสู้ตกลงไป ทำให้คนอื่นๆที่เข้ามาอ่านมองว่าพี่ไปอัดเขาแบบฟาดงวงฟาดงา
ไม่ได้ว่าเรื่องคำหยาบ หรือ ใช้คำแรงๆนะ แต่ว่าที่เนื้อหาเลย ผมอยากเห็นพี่อธิบายเป็นฉากๆมากกว่าชุดคำตอบที่ว่า “ผมไม่โกรธ ผมนิ่ง” “ไอ้พวกนั้นมันโง่เองที่มองไม่เห็นว่าทักษิณมันชั่ว” “ไอ้พวกนั้นมันนักเรียนนอก ไม่รู้เรื่องเมืองไทย” “ไอ้พวกนั้นมันกอดตำรา ตามฝรั่ง” “ไอ้พวกนั้นมันจะรู้อะไร กูเหนื่อยสายตัวแทบขาด”
คำตอบแบบนี้ ผมเห็นว่ามันออกจะง่ายไปซักหน่อย และไม่เห็นว่ามันจะตอบคำถามหลักของการสนทนาตลอด ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมาแต่อย่างใด
พี่ต้องไม่ลืมว่า เขาไม่เคยด่าที่พี่ร่วมกับผู้ชุมนุม เขาไม่เคยด่าว่าพี่อยากดัง เขารู้ว่าทักษิณมันชั่ว เขาแค่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางบางประการของการชุมนุม พี่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ว่ามา ก็น่าจะจบ ไม่น่ามีการด่าแบบสาดเสียเทเสียตามมา หรือพี่ต้องการเพิ่มอรรถรสในบล็อก (อันนี้แหย่เล่นนะ) แต่ถ้าพี่บอกว่ามันเป็นลีลาในการเขียนของพี่ อันนี้ผมก็ยอมรับและขออภัย
ที่ผมแจกแจงมาทั้งหมด พี่จะบอกว่าผมคิดไปเอง ผมอ่านพี่ผิด ผมไม่เข้าใจ ก็สุดแท้แต่ ผมแค่คิดจากการอ่านบล็อกตลอด ๑ อาทิตย์แล้วก็รู้สึกแบบนี้ ก็เท่านั้นเอง พี่จะบอกว่าไม่ใช่ ผมก็ยอมรับ
หวังว่าพี่จะลองทบทวนดู ถ้าพี่ยืนยันอีกว่าพี่ได้ทบทวนมาตลอด ผมก็ขอให้พี่ทบทวนอีกทีละกัน
ยังเชื่อเสมอว่าพี่เป็นคนมีเหตุมีผล พร้อมรับฟังผู้อื่น มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง และเราน่าจะเป็นกัลยาณมิตรทางวิชาการด้วยกันต่อไปได้
12 ความคิดเห็น:
การที่คนเรามีกฎหมายขึ้นมาใช้ และเอากฎหมายมาพร่ำเรียนเพียรศึกษานั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะความแปรปรวนของอารมณ์ และการเข้าข้างตนเองของแต่ละคน แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นในบล็อกนั้น ก็คงบอกได้ดีว่ากฎหมายที่ร่ำเรียนนั้นมันกำซาบในจิตใจเขาเพียงใด
ผมเห็นด้วยกับคุณ Etat de droit ในกรณีนี้อย่างยิ่งครับ ผมได้เข้าไปอ่านบล๊อกของคุณโตอยู่บ่อยๆ
หลังๆ พบว่าจะเห็นลักษณะการแสดง "อัตตา" โดยอ้าง "อนัตตา" บ่อยมาก จนผมสงสัยว่าคุณโตกำลังติดแน่นในอัตตาของคำว่าอนัตตาหรือเปล่า
การออกมาใช้ถ้อยคำแรงๆ แล้วก็ตบท้ายว่าข้านิ่ง ข้าสงบแล้ว นั้นฟังดูแล้วเหมือนเขาทำเพื่อสร้างอัตลักษณ์ หรือ (ขออนุญาตพูดภาษาฝรั่งว่า) differentiate สินค้าให้ดูหวือหวาต่างจากของอื่นในตลาดเท่านั้นหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ส่วนผสมหรือวัสดุมันก็ไม่วิเศษพิสดารอะไรต่างไปจากของคนอื่นๆ
ผมยอมรับในความรู้ของคุณโต แถมยังเชื่ออย่างสนิทใจว่าคุณโตกำลังทำเพื่อบ้านเมืองเป็นเป้าหมายอย่างแท้จริง แต่ผมไม่นับถือวิธีการของคุณโต
ผมอาจจะยังไม่บรรลุคุณวิเศษอะไร หรือมีสติปัญญาอะไรมากมาย แต่เท่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นบุคคลผู้ได้ชื่อว่า "มหาบุรุษ" ท่านใด ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทางคดีโลก หรือคดีธรรม ด้วยการใช้ผรุสวาจาหรือการด่าทอปรามาสคนอื่นอย่างหยาบๆ สักนิด
อย่างน้อยผมก็ยังเชื่อมั่นใน ทาน ศีล และภาวนา
สิ่งที่คุณโตพยายามแสดงมานั้น ผมเห็นว่าคุณโตพยายามเน้นภาวนาอย่างเดียว โดยไม่เน้นศีล คือการควบคุมกายวาจาให้สะอาดบริสุทธิ์
มันก็เลยเป็นประเด็นให้พวกเราได้มาวิพากษ์กันอยู่ทุกวันนี้
อัตตานัตตา
ไม่ได้มาบล็อกนี้เสียนาน
ตอนแรกจะเข้ามาเพื่อบอกว่า จะขออนุญาต
เอา" ไม่เอานายกพระราชทาน "ที่ลงที่โอเพ่นออนไลน์ไปแปะที่บล็อก
พี่แทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมกับการชุมนุมเลย
ไปครั้งเดียว แป๊บนึงประมาณ 10 นาทีมั้ง
รู้สึกอยู่ในใจว่าการชุมนุมคราวนี้มัน"แหม่งๆ"
แต่ความที่ไม่รู้กฏหมาย
ความรู้รัฐศาสตร์ ที่เคยมีก็คืนอาจารย์ไปนานแล้ว
(แล้วมันเป็นความรู้แบบรัฐศาสตร์ ทวนกระแส ด้วย
พี่จึงไม่รู้เรื่องระบอบการปกครอง ระบบรัฐสภาเอาเสียเลย แถมตัวเองก็ทำตัวสายลมแสงแดดตลอดเวลา)
เลยอธิบายกับตัวเองไม่ได้เสียที ว่า อะไรที่มันแหม่งๆ
อะไรที่ทำให้เราไม่ได้อยากออกจากบ้าน "อะไร"อันนั้นมันคืออะไร
มาอ่านบล็อกนี้ คิดว่า "มีอะไร"ให้ขบคิดบ้างแล้ว
จะได้ตอบตัวเองได้เสียทีว่าทำไม ถึงไม่ไปเข้าร่วมการชุมนุม
พี่เห็นด้วยกับอาจารย์ป็อกนะ
pattaya
อ้าวพี่แป๊ด สวนทางกันพอดี พึ่งไปโพสที่บล็อกพี่มา
ส่วนพี่แจ๋ว สวัสดีครับ เมื่อไรจะเขีนบล็อกบ้างอ่ะ
แวะมาเยี่ยมครับ
ขอบคุณที่เอางานดีๆมาให้อ่านนะครับ
เป็นงานกฏหมายชิ้นแรกที่ผมจะลองอ่านดูเลยนะเนี่ย555
วุฒิภาวะแน่นมากครับ ขอชม..
พี่เอาบทความ "ไม่เอานายก ฯ พระราชทาน"
ไปแปะ ที่บล็อกแล้ว มีคนมาถามคำถามต่อด้วย
วานป๊อกไปตอบหน่อยเน้อ
ว่าแล้วก็ไปดื่มไวน์ต่อ
ชื่นชม
เห็นด้วยค่ะ
การฟาดฟัน และใช้ความรู้ของตนเองมาโต้ตอบกันนั้น คงจะดีและสร้างสรรค์กว่า อย่างที่ป๊อกพูด การที่ใช้คำพูดหยาบคายแสดงอารมณ์ เสียดสี หรือกล่าวหาผู้อื่นนั้นอาจดูว่าเป็นเรื่องของคนที่เอาอารมณ์เป็นหลักมากกว่าเอาวิชาการเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยอ่านบล๊อกของพี่โตอย่างจริงจังเสียที ฉะนั้นก็คงไม่อาจให้ความเห็นไปได้มากกว่านี้ แต่ถ้าดูรวมๆ ก็เห็นด้วยกับป๊อกนะ แต่อย่างว่าการแสดงความคิดเห็นของคุณโต ก็เป็นแค่การแสดงความคิดในบล๊อกของเขา เขาก็มีสิทธิที่จะเขียนแสดงความรู้สึกอย่างไรก็ได้ เกี่ยวกับเรื่องทักษิณ ซึ่งบางทีอาจมีการก้าวก่ายถึงบุคคลที่ 2 3 4 ด้วย เราก็ได้แต่ต้องชี้แจงแถลงไขให้ถูกต้องเท่านั้นเอง
情趣用品,情趣用品,情趣用品,情趣用品,情趣用品,情趣用品,情趣,情趣,情趣,情趣,情趣,情趣,情趣用品,情趣用品,情趣,情趣,A片,A片,情色,A片,A片,情色,A片,A片,情趣用品,A片,情趣用品,A片,情趣用品,a片,情趣用品,A片,A片
A片,A片,AV女優,色情,成人,做愛,情色,AIO,視訊聊天室,SEX,聊天室,自拍,AV,情色,成人,情色,aio,sex,成人,情色
免費A片,美女視訊,情色交友,免費AV,色情網站,辣妹視訊,美女交友,色情影片,成人影片,成人網站,H漫,18成人,成人圖片,成人漫畫,情色網,日本A片,免費A片下載,性愛
情色文學,色情A片,A片下載,色情遊戲,色情影片,色情聊天室,情色電影,免費視訊,免費視訊聊天,免費視訊聊天室,一葉情貼圖片區,情色視訊,免費成人影片,視訊交友,視訊聊天,言情小說,愛情小說,AV片,A漫,AVDVD,情色論壇,視訊美女,AV成人網,成人交友,成人電影,成人貼圖,成人小說,成人文章,成人圖片區,成人遊戲,愛情公寓,情色貼圖,色情小說,情色小說,成人論壇
成人電影,微風成人,嘟嘟成人網,成人,成人貼圖,成人交友,成人圖片,18成人,成人小說,成人圖片區,成人文章,成人影城,愛情公寓,情色,情色貼圖,色情聊天室,情色視訊
A片,A片,A片下載,做愛,成人電影,.18成人,日本A片,情色小說,情色電影,成人影城,自拍,情色論壇,成人論壇,情色貼圖,情色,免費A片,成人,成人網站,成人圖片,AV女優,成人光碟,色情,色情影片,免費A片下載,SEX,AV,色情網站,本土自拍,性愛,成人影片,情色文學,成人文章,成人圖片區,成人貼圖
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก