วันศุกร์, มิถุนายน 23, 2549

Bisous


ก่อนมาเรียนที่ฝรั่งเศส ผมพอทราบธรรมเนียมการทักทายของคนที่นี่อยู่บ้าง ยามเจอกัน ผู้ชายและผู้หญิงจะเอาแก้มขวามาชนกันที แก้มซ้ายมาชนกันที บางท้องถิ่น เล่นชนข้างละสองก็มี

บางครั้งลามปามเอาปากไปจุ๊บตรงแก้มของคู่กรณีก็พอได้

พอลากัน เราก็เอาแก้มชนกันอีกรอบ

รวมไป – กลับ เราอาจได้เอาแก้มชน (หรือจุ๊บ) กับแก้มสาวๆ สี่ถึงแปดหน

การทักทายแบบนี้ เรียกว่า Bisous

ที่กล่าวมานั้น นิยมทำกันเฉพาะชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ชายกับชายมักทักทายกันด้วยการจับมือมากกว่า

ในแง่นี้ ผมเห็นว่า Bisous สร้างกำไรให้แก่ฝ่ายชายเป็นอย่างยิ่ง คนฝรั่งเศสอาจเฉยๆมั้ง เห็นเป็นเรื่องปกติไป

ผมเคยถามบรรดาสาวๆไทย เธอก็กล่าวทำนองว่าเธอก็อยากจะเลือกชายหล่อๆที่จะมา Bisous เหมือนกัน ไม่ใช่เจอพ่อหนุ่มที่หนวดเคราไม่โกน บิสซูทีเล่นเอาแก้มสึกหรอเพราะหนวดทิ่ม หรือไม่ใช่เจอตาลุงนักดื่ม กลิ่นเหล้าคลุ้งกาย

เมื่อผมได้เหยียบแผ่นดินฝรั่งเศส คิดในใจว่า อีกไม่นาน ไม่ช้าก็เร็ว กูจะได้หอมแก้มสาวๆฝรั่งเศสแล้ว

เพราะผมทราบดีว่า หากสาวๆมาขอเราเมื่อไร เรามัวแต่ขวยเขินไม่กล้า Bisous ตอบ แต่ยื่นมือไปให้เค้าจับมือแทนแล้ว ย่อมเสียมารยาทอย่างร้ายแรง

คิดได้ดังนั้น ผมก็เฝ้ารอวันแรกที่จะได้ Bisous สาวๆฝรั่งเศส

วันแรก ณ เมือง Vichy ที่ผมเรียนภาษาอยู่ในขณะนั้น ผมพยายามหาโอกาสให้ตัวเอง ด้อมๆมองๆหาเป้าหมายไปเรื่อย แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ

จนกระทั่งวันที่สอง ผมออกไปหาแอลกอฮอล์ดื่มยามค่ำคืน

ขากลับ ฝนตกพรำๆ ผมเดินกลับบ้าน

ระหว่างทางผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งล้มคว่ำอยู่กลางถนน เดชะบุญ Vichy เมืองที่ผมอยู่เป็นเมืองเล็กๆ ประกอบกับยามค่ำคืน รถราไม่ขวักไขว่ จึงไม่มีรถขับตามมาเสย

ชายแก่คนหนึ่ง คะเนได้ว่าต้องอายุมากกว่าพ่อผมแน่นอน ล้มลุกลุกคลาน พยายามยกมอเตอร์ไซค์ของเขากลับขึ้นมา

ด้วยน้ำจิตน้ำใจเต็มเปี่ยมตามสไตล์คนไทย ผมเลยอาสาเข้าไปช่วยยกมอเตอร์ไซค์ให้เขา ทันใดนั้น ผมได้กลิ่นที่ผมคุ้นเคยดี ร่างกายของชายคนนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า ไม่ต้องเป็นนักดื่มมืออาชีพก็พอรู้ได้ว่าเขาอยู่ในสภาพไม่สมประดี

ผมเกรงว่าหากปล่อยให้เขาขี่รถกลับบ้านไปต่อ ไม่แคล้ว ไม่ถึง ๑๐๐ เมตร คงคว่ำอีก

ผมตัดสินใจงัดภาษามือบวกภาษาฝรั่งเศสแบบงูๆปลาๆเท่าความรู้ที่มีในขณะนั้นออกมาใช้ เพื่อบอกเขาว่าผมจะช่วยลากรถมอเตอร์ไซค์ไปให้จนถึงบ้าน คุณบอกทางผมมาละกัน

ระหว่างทาง เราคุยกันแบบไม่รู้เรื่อง

จะให้รู้เรื่องได้อย่างไร ในเมื่ออยู่ในสภาพมึนๆเมาๆมาทั้งคู่ แถมภาษาของผมก็ห่วยบรม จับใจความได้หนึ่งคำถาม เขาถามผมว่ามาจากประเทศไหน ผมตอบว่า เฌอ ซวี ไตล็องเดส์ เขาบอกว่า อ่อๆ ไต้หวันๆ

ผมขี้เกียจอธิบายต่อ เดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้านกันพอดี

ผ่านไปได้ ๑๐ นาที ก็ถึงบ้านของเขา

เขาขอบคุณผม (อันนี้ฟังออกๆ เขาพูดว่า แมร์กซี่) แล้วก็บอกอะไรอีกไม่รู้ ผมทำหน้างง เขาเลยบอกว่า “ยู อาร์ กู๊ด บอย”

จากนั้นเขาก็เข้ามาโอบกอดผม ผมใจหายวาบ

ยังไม่พอๆ เขายังเอาปากอันคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้ามาจุ๊บลงตรงแก้มผม ขวาที ซ้ายที พลางพูดว่า “แมร์กซี่ๆ ยู อาร์ กู๊ด บอย”

ผมอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้จะทำไง

ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมบ่นกับตัวเองว่า โธ่ ความหวังพังทลาย ตั้งใจจะบิสซูกับสาวๆฝรั่งเศส ที่ไหนได้ แก้มนุ่มนิ่มของผมต้องมาเสียความบริสุทธิ์ให้กับชายแก่ฝรั่งเศสนักดื่มไปเสีย

แต่คิดอีกที ก็โอเค

ความบริสุทธ์ของแก้มผมแลกกลับความปลอดภัยของเขา ก็ดูสมน้ำสมเนื้อกันดี

2 ความคิดเห็น:

Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แหม...

ไอ้ผมก็นึกว่า ท้ายสุดจะมีหักมุม
ไปเจอเอา ลูกสาวคนสวยของขี้เมาคนนั้น เสียอีกครับ..

=)

4:08 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

จริงๆแล้ววัฒนธรรมไทย(ในบางสถานที่)เลยเถิดไปไกลกว่าบิสซูมากครับ อันนี้ประสบพบเห็นมากับตัวเอง

ผับบาร์ในไทย แม้จะไม่ทักทายกันด้วยบิสซู แต่พอเหล้าเข้าปาก ประกอบกับดนตรีกระตุ้นเร้าอารมณ์อย่างอึกทึกครึกโครม ซักพัก มือไม้ก็ป่าย ไต่ ไปตามร่างกาย นัวเนียทั้งชายหญิง ศัพท์สากล เรียกว่า "นัว" ส่วนศัพท์เทคนิคเฉพาะกลุ่มจะก็เรียกพฤติกรรมนี้ว่า "จก" จนถึงกับทำให้เจ้าของบล็อคต้องเรียกเพื่อนคนหนึ่งของเค้าว่า "ไอ้จก"

เวลาผ่านไปซักระยะจาก "นัว" หรือ "จก" ก็จะล่วงเลยไปถึง "จูบ" และในที่สุดก็ "จบ" ครับ

4:48 ก่อนเที่ยง  

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก