tag:blogger.com,1999:blog-11720999.post114213170122778672..comments2023-11-05T11:11:22.773+01:00Comments on Etat de droit: ความเห็นของวรเจตน์ต่อกรณีมาตรา ๗ และนายกฯพระราชทานEtat de droithttp://www.blogger.com/profile/03908980528583804214noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-60735683877606457642018-10-17T09:11:36.967+02:002018-10-17T09:11:36.967+02:00hermes outlet online
jordans
coach factory outlet
...<a href="http://www.hermesonlineshop.com" rel="nofollow"><strong>hermes outlet online</strong></a><br /><a href="http://www.jordanssneakers.us.com" rel="nofollow"><strong>jordans</strong></a><br /><a href="http://www.coachoutletsfactory.com" rel="nofollow"><strong>coach factory outlet</strong></a><br /><a href="http://www.yeezyboost.com.co" rel="nofollow"><strong>yeezy boost 350</strong></a><br /><a href="http://www.yeezy-500.us.com" rel="nofollow"><strong>yeezy boost 500</strong></a><br /><a href="http://www.kobeshoes.uk" rel="nofollow"><strong>kobe shoes</strong></a><br /><a href="http://www.michaelkorsoutletonlineus.com" rel="nofollow"><strong>michael kors outlet online</strong></a><br /><a href="http://www.yeezyboost350v2shoes.us.com" rel="nofollow"><strong>yeezy boost 350</strong></a><br /><a href="http://www.lebron16.us" rel="nofollow"><strong>lebron shoes</strong></a><br /><a href="http://www.lebronjames-shoes.us.com" rel="nofollow"><strong>lebron 10</strong></a><br />Anonymoushttps://www.blogger.com/profile/07429531453789318434noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1142593698852023942006-03-17T12:08:00.000+01:002006-03-17T12:08:00.000+01:00เง้ออาจารย์วรเจตน์ทำไมไม่ออกมาวันที่ ๑๐ หละครับเพร...เง้อ<BR/>อาจารย์วรเจตน์ทำไมไม่ออกมาวันที่ ๑๐ หละครับ<BR/>เพราะวันที่ ๑๑ ป๋าออกข้อสอบเข้าป.โทเรื่องนี้<BR/>หุหุAnonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1142176300342222642006-03-12T16:11:00.000+01:002006-03-12T16:11:00.000+01:00ขอรายละเอียดชัดๆได้มั้ยครับพี่โตว่าใช้มาตรา ๗ เพื่...ขอรายละเอียดชัดๆได้มั้ยครับพี่โต<BR/><BR/>ว่าใช้มาตรา ๗ เพื่อขอนายกฯพระราชทานได้ เพราะอะไร ใช้อย่างไร<BR/><BR/>เหตุการณ์ตอนนี้ถือว่าไม่มีบทบัญญัติใดมาใช้ได้แล้วหรือไม่ อย่างไร<BR/><BR/>แล้วจะเอาประเพณีฯมาใช้นี่ ใครเป็นคนวินิจฉัยว่าให้ใช้ ใช้อะไร <BR/><BR/>ผมจะได้อภิปราย แลกเปลี่ยนกันได้ถูกจุด<BR/><BR/>ส่วนทางออก ผมเสนอไว้แล้ว ทั้งสามพรรคตกลงเลื่อนวันเลือกตั้ง ลงไปเลือกตั้ง แก้รัฐธรรมนูญ ภาคประชาชนกดดันต่อเพื่อไม่ให้นักการเมืองเบี้ยว <BR/><BR/>จะว่าไปเครือข่ายพันธมิตรน่าจะร่างตัวแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง พร้อมประเด็นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญนะครับ แล้วเสนอประกบไปเลย ไม่ใช่มีแต่ตะโกน ทักษิณ ออกไป<BR/><BR/>หรือว่าในเครือข่ายพันธมิตรฯเองก็ยังตกลงกันไม่ได้ ตั้งแต่เอาหรือไม่เอานายกฯพระราชทาน เอาไม่เอากับสภาร่างฯแบบอมรฯ<BR/><BR/>ผมเชื่อว่าแนวสภาร่างแบบอมรนี่นะ สุริยะใส พิภพ สมศักดิ์ คงไม่เอาด้วยแน่ๆ <BR/><BR/>บางทีที่ชุมนุมๆกันอยู่ อาจมีจุดร่วมกันอยู่ข้อเดียว คือ ทักษิณ ออกไปEtat de droithttps://www.blogger.com/profile/03908980528583804214noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1142157395384107852006-03-12T10:56:00.000+01:002006-03-12T10:56:00.000+01:00ผมเห็นว่าใช้มาตรา 7 ได้เพื่อขอ การปฏิรูปการเมืองพร...ผมเห็นว่าใช้มาตรา 7 ได้<BR/><BR/>เพื่อขอ การปฏิรูปการเมืองพระราชทาน<BR/><BR/>เหตุเพราะ 313 มีรู ครับ<BR/><BR/>รูแรก ยุบสภา<BR/><BR/>รูสอง สภาที่กำลังมาใหม่จะกลายเป็นสภาประชานิยม<BR/><BR/>แล้วก็เกิดรัฐธรรมนูญประชานยิม<BR/><BR/>ดังนั้น 313 หมดสภาพ รูโหว่เบ่อเริ่มเทิ่ม<BR/><BR/>จำได้หรือไม่ ฮิตเล่อร์เกิดจาก ตรรกะทางกฎหมายแบบสมบูรณ์<BR/><BR/>ตรรกะมีไว้รับใช้ ประโยชน์สุข<BR/><BR/>ไม่ได้มีไว้รับใช้ ตัวตรรกะเอง<BR/><BR/>หากใครบอกว่า ขอนายกฯไม่ได้<BR/><BR/>กรุณาเสนอทางให้ชาติรอดประกอบด้วยก็ดี<BR/><BR/>กษัตริย์ คือรากเหง้า ลักษณะเฉพาะ<BR/><BR/>มองในแง่กฏหมาย คือ จารีตประเพณีครับ<BR/><BR/>กฎหมายลายลักษณ์อักษร ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อรับใช้เจตนารมณ์ หากเจตนารมณ์ถูกทำลาย ก็เปรียบ มีดที่เหลือแต่ด้าม<BR/><BR/>ตัดฟัน ทำลายความยุคเข็ญไม่ได้<BR/><BR/>และนั่น คือกฎหมาย หรือตรรกะที่หมดสภาพครับ<BR/><BR/>กรณี ผมฟันธง ว่าใช้มาตรา 7 ได้ แต่เพื่อขอการปฏิรูปการเมืองพระราชทานขอรับcrazycloudhttps://www.blogger.com/profile/09797264531309679626noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1142157131731567682006-03-12T10:52:00.000+01:002006-03-12T10:52:00.000+01:00ยังเป็นที่น่าดีใจ ว่ายังน้อย ผศ.ดร.วรเจตน์ฯ ที่เป็...ยังเป็นที่น่าดีใจ ว่ายังน้อย ผศ.ดร.วรเจตน์ฯ ที่เป็น อาจารย์ ของผมเหมือนกันนี่ ท่านยัง เคารพในกติกาประชาธิปไตย และ แสดงความเห็นได้อย่างกล้าหาญ แม่จะขัดกับ ศ.ดร.สุรพลฯ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ตาม ...<BR/><BR/>การแสดงออกซึ่งท่าทีของ ศ.ดร.สุรพล ฯ เป็นที่น่ากังขาในความบริสุทธิ์ใจในการทำความเห็นทางวิชาการ ว่าแท้จริงท่านต้องการอะไรกันแน่ จะว่าท่านไม่ทราบและไม่เข้าใจ หลักการในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่น่าจะเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้ เพราะท่าน จบปริญญาเอก จากฝรั่งเศส ที่มีประวัติการต่อสู้ในเรื่องการเมืองการปกครอง อย่างยาวนาน ทั้งล้มเหลวและประสบความสำเร็จ ในอดีตที่ผ่านมา ไม่แน่ใจว่าเพราะ ความโกรธ หรือ ความไม่พอใจในตัวบุคคลเท่านั้นหรือไม่ ที่ทำให้ท่าน จะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง เสียดื้อ ๆ โดยไม่สนใจหลักการและความชอบด้วยกฎหมายของสิ่งที่ท่านเสนอมา <BR/><BR/>ผมจำได้ว่าสมัยเรียนปริญญาโท ที่คณะนิติศาสตร์ มธ. เราเคยยกประเด็นปัญหาเรื่อง กฎมณเทียรบาล และรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ กำหนดองค์รัชทายาทได้เอง โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ชอบด้วยหลักการในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ด้วยเหตุที่ พระมหากษัตริย์ คือ องค์พระประมุขของประเทศ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ องค์พระประมุข อันสมควรที่จะต้องเป็นที่สักการะอย่างมั่นคงของพสนิกรทุกหมู่เหล่า จะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป <BR/><BR/>องค์พระประมุข จึงสมควรจะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้ทรงอำนาจอธิไตยอย่างแท้จริง คือ ประชาชน โดยผู้แทนปวงชนทั้งหมดด้วย กล่าวโดยสรุป รัฐสภา จะต้องยอมรับหรือให้ความเห็นชอบในการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ เฉกเช่น ที่เราเคยถือกันเป็นโบราณราชประเพณี เรื่อง พระมหากษัตริย์ คือ เอนกชนนิกรสโมสรสมมุติ ตั้งแต่ต้นรัชสมัยรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้ เหตุใด เราจะยอมรับว่า พระมหากษัตริย์ จะเป็นใครก็ได้ ที่รัฐสภา ไม่ต้องรับรู้รับทราบและเห็นชอบด้วย มาตรานี้ ในรัฐธรรมนูญ จึงขัดกับหลักการประชาธิปไตยเสียเอง สมควรตีความไม่ให้มีผลบังคับบังคับใช้ไปด้วย <BR/><BR/>จะกล่าวตรงไปตรงมา พระมหากษัตริย์ นั้นเป็นสถาบัน ๆ หนึ่ง ขององคาพยพของประเทศ แต่ต้องเป็นสถาบันที่เป็นกลางทางการเมือง หากอยากให้สถาบันนี่ ยั่งยืน คือ รักกันจริง ว่างั้นเหอะ ก็ต้องไม่ให้อำนาจอย่างเด็ดขาด ปราศจากขอบเขตแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่างั้นเหอะ ไม่งั้น สถาบันก็จะเสื่อมเร็ว <BR/><BR/>การเมือง มีแต่เรื่องผลประโยชน์ หรือ เป็นเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ที่มารวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น มีแนวคิดเดียวกัน จัดตั้งเป็นพรรคการเมือง (Political party) และดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ... ซึ่งก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย <BR/><BR/>อย่างตอนนี้ ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า ความขัดแย้งทางการเมืองนั้น จะเป็นเรื่องแข่งขันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ ที่พยายามจะกำหนดกลุ่มผลประโยชน์ ที่กำลังจะสูบเลือดเนื้อจากคนในแผ่นดินอย่างไม่หยุดหย่อน กับอีกกลุ่มคนหนึ่ง ที่เคยเป็นกลุ่มนายทุนเดิม และพยายามกลับเข้ามาขอสูบเลือดเนื้อของประชาชนในแผ่นดินบ้าง ... โดยมีประชาชนอันบริสุทธิ์ และกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์อย่างแท้จริง เข้าร่วมกระบวนการด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ....หรือไม่ ..... <BR/><BR/>นักวิชาการที่แท้จริง ก็ควรจะต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่สังคม เพราะสังคม กำลังสับสน ว่าอะไรกันแน่ คนก็พูดกันไปเรื่อย หนังสือพิมพ์ ก็ตีพิมพ์บทความเพื่อสร้างกระแสที่ตนเองต้องการเข้าไป ... การตีพิมพ์และเผยแพร่ข่าวสารในลักษณะนี้ มีนักวิชาการ ได้เสนอผลงานเอาไว้ว่า การเสนอข่าวสารโดยสื่อมวลชน จะทำให้ประชาชนเข้าใจและรู้สึกถึงความรุนแรงเกินกว่าความเป็นจริงได้เกิน ๑๕๐ % เลยทีเดียว หากไม่มีนักวิชาการที่ แสดงความเห็นโดยบริสุทธิ์และถูกต้องแล้ว ผมเอาไม่ออกว่า อะไรจะเกิดขึ้นครับ <BR/><BR/>แม้ว่า ผศ.ดร.วรเจตน์ ท่านจะมีอายุน้อยกว่าผม แต่ในฐานะอาจารย์ผม ต้องขอแสดงความนับถืออย่างจริงใจครับ และขอแสดงความนับถือ น้องปิยะบุตรฯ ด้วยเช่นกัน ที่แสดงความเห็นได้อย่างกล้าหาญAnonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1142151992467852322006-03-12T09:26:00.000+01:002006-03-12T09:26:00.000+01:00ขอนำบทความทางฝั่งสามย่านที่เผยแพร่เมื่อ 12 มกราคม...ขอนำบทความทางฝั่งสามย่านที่เผยแพร่เมื่อ 12 มกราคม 2549 ในมติชนรายวัน มาให้อ่านกันครับ<BR/><BR/><BR/>..............<BR/><BR/>ข้อควรคำนึงในการเรียกร้อง “รัฐบาลพระราชทาน” <BR/><BR/>ชัชพล ไชยพร <BR/>อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย <BR/><BR/>วิถีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยเรานั้น มีที่มา วิวัฒนาการ และคุณลักษณะพิเศษต่างไปจากบ้านเมืองอื่นอยู่หลายประการ ด้วยเหตุนี้ หลายต่อหลายครั้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งยุ่งยากใดๆ ในเมืองไทย อันก่อให้เกิดอารมณ์ที่ขุ่นหมองขึ้นในหัวจิตหัวใจ คนจำนวนไม่น้อยจึงหวังอ้างเอาพระบารมีปกเกล้าฯ เป็นที่พึ่ง จนในบางโอกาส อาจลืมนึกถึงหลักการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบที่เราเลือกใช้ และนิยมนับถือกันว่าดีที่สุดนั้น มีวิถีทางเฉพาะอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อหลักการที่เรายอมรับกันโดยทั่วไปว่าพระมหากษัตริย์ทรงวางพระองค์เป็นกลาง และทรงสถิตเป็นหลักชัยอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง<BR/><BR/>จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ในระยะนี้ ได้เกิดกระแสเรียกร้องรัฐบาลพระราชทานและนายกรัฐมนตรีพระราชทานขึ้นอย่างหนาหู เมื่อฟังเผินๆ ก็ดูคล้ายจะเป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจจงรักภักดี เช่น การกล่าวอ้างว่าสมควรจะถวายพระราชอำนาจคืนไปยังพระมหากษัตริย์ เพื่อจักได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยชี้ชัดเลือกสรรบุคคลผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาล สุดแต่พระราชอัธยาศัยทุกประการ <BR/><BR/>ท่ามกลางกระแสดังกล่าว ก็เกิดประเด็นสงสัยขึ้นในใจใครหลายคนว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ เป็นจลาจลวุ่นวายถึงขั้นเรียกได้ว่าหมดหนทางเยียวยา กระทั่งกฎหมายสิ้นสภาพบังคับ ถึงขนาดว่าต้องรบกวนพระยุคลบาลให้พระองค์ต้องทรงตัดสินพระราชหฤทัย มีพระบรมราชวินิจฉัยชี้ขาดในทางการเมืองแล้วกระนั้นหรือ? นอกจากนี้ ยังเป็นการสมควรแล้วหรือไม่ที่เราจะปลุกกระแสเรียกร้องขอรัฐบาลพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ โดยไม่ขวนขวายหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นใดตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ? รวมทั้งเกิดมีข้อควรคำนึงว่าการพระราชทานรัฐบาลในภาวะวิกฤต เฉกเช่นอดีตสมัยนั้น เป็นพระบรมราชวินิจฉัยที่พระราชทานมาเองในยามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร มิใช่ธุระของผู้หนึ่งผู้ใดในการรบเร้าร้องขอ เช่นนั้นหรือไม่?<BR/><BR/>การเรียกร้องรัฐบาลเช่นว่านั้น จะส่งผลดีต่อพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของพวกเราชาวไทยหรือไม่ ...เป็นเรื่องที่น่าคิดคำนึง และยิ่งน่ากังวลใจ เมื่อพิจารณาอุทาหรณ์ในหลายประเทศ (ที่ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย) เช่น บรูไน ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตั้งคณะรัฐบาลได้โดยพระราชอัธยาศัยของพระองค์เอง จะพบว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการตรวจสอบ หรือวิจารณ์รัฐบาลก็ดำเนินไปได้อย่างไม่ใคร่สะดวก และแน่นอนว่าเมื่อใดบุคคลที่ได้รับมอบหมายตามพระราชอัธยาศัยให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในคณะรัฐบาลดำเนินนโยบายผิดพลาด หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ดี พระเดชานุภาพแห่งพระเจ้าแผ่นดินของประเทศเหล่านี้ก็ถูกกระทบกระเทือนโดยตรงเมื่อนั้น <BR/><BR/>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงวางบรรทัดฐานการวางพระองค์ของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทยเรานั้น ทรงถึงพร้อมด้วยพระปรีชาสามารถ แม้จะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามกฎหมายและตามราชประเพณีหลายประการ แต่ก็ทรงบริหารพระราชอำนาจนั้นอย่างมีขอบเขต หากไม่จำเป็นอย่างยิ่งยวดแล้ว ก็หาได้ทรงนิยมใช้พระเดชเชิงบัญชาสั่งการทางการเมือง ตามลักษณะ “โองการ” ของเทวราชผู้ทรงอำนาจ หากแต่ทรงใช้พระคุณ โดยเฉพาะพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณในลักษณะของธรรมิกราชผู้ทรงธรรม ในการพระราชทานคำแนะนำและคำตักเตือนแก่ฝ่ายบริหารเป็นการภายใน เพื่อฝ่ายบริหารจะได้รับใส่เกล้าฯ มาพิจารณาเป็นแนวทางและใช้สติสำนึกในการปฏิบัติ นับเป็นจุดเชื่อมประสานวิถีประชาธิปไตยกับการมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้อย่างสมานสนิทลงตัว และเป็นหนทางที่ทำให้ทรงดำรงความเป็นกลางในทางการเมืองไว้ได้เสมอมิมีด่างพร้อย<BR/><BR/>ในรัชกาลปัจจุบัน แนวพระราชดำริต่อหลักการที่ว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น พระมหากษัตริย์ทรงวางพระองค์เป็นกลางทางการเมือง ปรากฏในพระราชดำรัสที่พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวในรายการพิเศษเรื่อง “The Soul of the Nation” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ บี.บี.ซี ไว้ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๒ ความว่า <BR/><BR/>“เราพยายามวางตัวให้เป็นกลาง และร่วมมือโดยสันติวิธีกับทุกฝ่าย เพราะเชื่อว่าความเป็นกลางนี้จำเป็นสำหรับเรา...”<BR/><BR/>ส่วนแนวพระราชดำริในหลักการที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง นั้น ปรากฏแจ้งชัดในคราวที่มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๑๗ ซึ่งได้ระบุให้ประธานองคมนตรี เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา <BR/><BR/>ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน บันทึกพระราชกระแสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๑๗ มีเนื้อความในข้อ ๒. แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทรงยึดถือตามหลักที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ทั้งยังไม่ทรงต้องพระราชประสงค์ที่จะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ทรงเลือก หรือทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ไปเกี่ยวข้องพัวพันเสมือนหนึ่งองค์กรทางการเมือง <BR/><BR/>ขออัญเชิญความตอนหนึ่ง จากบันทึกพระราชกระแสดังกล่าวที่เคยตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๑๗ มาเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางใส่เกล้าฯ ดังต่อไปนี้<BR/><BR/>“ตามมาตรา ๑๐๗ วรรค ๒ แห่งร่างรัฐธรรมนูญนี้ บัญญัติให้ประธานคณะองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภานั้น ไม่ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัยตามความในมาตรา ๑๖ เป็นการขัดกับหลักที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง (ในระบอบประชาธิปไตย) ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเหมือนเป็นองค์กรทางการเมือง ซึ่งขัดกับมาตรา ๑๗ ด้วย”<BR/><BR/>เพียงแนวคิดที่จะให้ประธานองคมนตรีซึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งบุคคลทางการเมือง เช่น สมาชิกวุฒิสภา นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังไม่ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ดังนี้ ผู้ที่กำลังเรียกร้องให้มีรัฐบาลพระราชทานอาจไม่ทันฉุกคิดก็เป็นได้ว่า “รัฐบาล” ตามวิถีทางแห่งระบอบประชาธิปไตย นั้นก็คือองค์กรทางการเมืององค์กรหนึ่ง ซึ่งย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกเพ่งเล็งสงสัย และถูกตรวจสอบซักฟอกได้ หากมีข้อผิดพลาดในการตัดสินใจก็ดี หรือในปฏิบัติการใดๆ ก็ดี ความรับผิดชอบทั้งนั้นย่อมตกแก่คณะรัฐบาล <BR/><BR/>“รัฐบาลพระราชทาน” ย่อมอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องถูกเพ่งเล็งวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยสาธารณชนดุจกัน แล้วเราท่านไม่กังวลกันบ้างหรือว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาลพระราชทานหรือบุคคลในรัฐบาลนั้นๆ อาจจะกระทบกระเทือนล่วงละเมิดไปถึงองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นหลักชัยของประเทศ อันจะขัดต่อความในมาตรา ๘ แห่งรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”<BR/><BR/>กล่าวโดยสรุปก็คือ การเรียกร้องรัฐบาลพระราชทานนั้นอาจทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องพัวพันเกี่ยวข้อง และรับผิดชอบโดยตรงในการตัดสินใจทางการเมือง ประหนึ่งเป็นองค์กรการเมืององค์กรหนึ่งไปเสียโดยไม่จำเป็น<BR/><BR/>การใช้พระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ในภาวะวุ่นวายทางการเมืองเช่นที่เคยมีมาในอดีตนั้น ล้วนบังเกิดด้วยพระราชญาณทัศนะอันรอบคอบและแยบคาย เพื่อแก้ไขภาวะจลาจลของบ้านเมืองที่ จำเป็นเฉพาะหน้า เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ หากจะรอให้มีการซาวเสียงกันในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็จะเนิ่นช้าไป เพราะเหตุการณ์ในบ้านเมืองขณะนั้นยังวุ่นวายไม่น่าไว้วางใจนัก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีประธานสภานิติบัญญัติลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ <BR/><BR/>การตัดสินพระราชหฤทัยพระราชทานนายกรัฐมนตรีในภาวะวิกฤตเช่นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยสอดส่องเห็นสถานการณ์ล่อแหลมอันตรายของประเทศ ในเวลาที่สภาพการบังคับใช้กฎหมายตกอยู่ในภาวะปั่นป่วน เป็นสุญญากาศทางการเมือง แล้วจึงทรงแสดงพระราชบริหารในการนั้นออกมาด้วยดุลพินิจของพระองค์เอง เพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ มิได้เป็นด้วยกระแสรบเร้า “ตั้งเรื่อง” ขึ้นไปขอพระราชทานรบกวนเบื้องพระบรมบาทยุคล <BR/><BR/>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของพวกเราชาวไทยทั้งหลายนั้น ทรงเป็นรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน ทรงมีประสบการณ์ได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปในด้านการเมืองการปกครองของไทยในยุคสมัยประชาธิปไตยมามากที่สุด เพราะทรงพบพานกับสถานการณ์ทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ มาตลอดระยะที่ทรงดำรงอยู่ในมไหสูรยราชสมบัติ นับถึงบัดนี้ได้ ๖๐ ปี เนิ่นนานกว่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่เพียงผ่านมา แล้วก็ผ่านไปในระยะเวลาอันสั้น<BR/><BR/>อาณาราษฎรผู้ได้อาศัยพระบรมโพธิสมภารเป็นที่พึ่งจึงพึงตระหนักในความจริงข้อนี้ เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจและมั่นใจว่า เมื่อได้ทรงพระราชดำริตริตรองด้วยพระราชอัจฉริยภาพทั้งด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์อันสุขุมคัมภีรภาพแล้วว่าบ้านเมืองเดือดร้อนแสนสาหัสถึงขนาด หากทรงพระราชดำริเห็นสมควรที่จะทรงแสดงพระราชบริหารในการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อความผาสุกของปวงชน พระพ่อเมืองของพวกเราย่อมไม่ทรงดูดาย และด้วยเดชะพระบารมีธรรม และพระราชอำนาจที่ยังทรงมีบริบูรณ์อยู่ตามนัยแห่งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กับทั้งพระบรมราชกุศโลบายอันล้ำเลิศ แน่นอนว่า สมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า พระองค์นั้น "ย่อมทรงตัดสินพระราชหฤทัยได้ด้วยพระองค์เอง" ที่จะเสด็จลงมาทรงบำราบยุคเข็ญ แก้ไขวิกฤตการณ์นานาได้ ตามสถานและกาลสมัยอันเหมาะสม <BR/><BR/>ดังที่เคยปรากฏมีกรณีตัวอย่างให้เห็นประจักษ์อยู่แล้วAnonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1142146625810776932006-03-12T07:57:00.000+01:002006-03-12T07:57:00.000+01:00ผมก็เห็นด้วยกับ อ.วรเจรน์นะ เรื่องการดำรงรักษาให้ ...ผมก็เห็นด้วยกับ อ.วรเจรน์นะ เรื่องการดำรงรักษาให้ กษัตริย์ เป็นสถาบัน ไม่ใช่มีความหมายแค่ตัวบุคคลเพราะหากเรายังยึดติดกับพระบารมี ยึดว่าท่านคือทางออก แล้วเมื่อใดที่เปลี่ยนรัชสมัย หลักในการปกครองบ้านเมืองไทยเราก็จะเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ?<BR/><BR/>ลึกๆ ผมก็คนหนึ่งละที่ไม่อยากให้ รัฐธรรมนูญดีๆ มาถูกฉีกโดยปัญญาชนAnonymousnoreply@blogger.com