tag:blogger.com,1999:blog-11720999.post111669143442157653..comments2023-11-05T11:11:22.773+01:00Comments on Etat de droit: Un enfant ? Si je veux … quand je veuxEtat de droithttp://www.blogger.com/profile/03908980528583804214noreply@blogger.comBlogger11125tag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-20320463649402406902013-05-28T14:24:11.980+02:002013-05-28T14:24:11.980+02:00It's impressive that you are getting thoughts ...It's impressive that you are getting thoughts from this paragraph as well as from our discussion made at this place.<br /><br />Here is my site ... <a href="http://www.win-tec.de/setuser.php?error=3" rel="nofollow">anti cellulite treatment</a>Anonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1128787812188549882005-10-08T18:10:00.000+02:002005-10-08T18:10:00.000+02:00Vous avez un blog très agréable et je l'aime, je v...Vous avez un blog très agréable et je l'aime, je vais placer un lien de retour à lui dans un de mon blogs qui égale votre contenu. Il peut prendre quelques jours mais je ferai besure pour poster un nouveau commentaire avec le lien arrière. <BR/><BR/>Merci pour est un bon blogger.Mr Krishttps://www.blogger.com/profile/04404210240955149859noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116861898718253142005-05-23T17:24:00.000+02:002005-05-23T17:24:00.000+02:00ขอบคุณครับพี่บุญชิตฯ ที่แสดงทัศนะ ทำให้ผมเกิดแรงบั...ขอบคุณครับพี่บุญชิตฯ ที่แสดงทัศนะ ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจให้เขียนเรื่องศีลธรรมกับกฎหมายขึ้นมา<BR/><BR/>ไว้ผมจะลองเขียนดูนะครับ ว่าเราจะสามารถพูดคุยเรื่องศีลธรรมในกฎหมาย ให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร<BR/><BR/>และเป็นเหตุเป็นผลด้วยครับratioscriptahttps://www.blogger.com/profile/01820026479900544045noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116855402535869592005-05-23T15:36:00.000+02:002005-05-23T15:36:00.000+02:00เอากระทู้มาให้อ่านกันเล่นๆ...การรักษาศีลธรรมจนละเม...เอากระทู้มาให้อ่านกันเล่นๆ...<BR/><BR/>การรักษาศีลธรรมจนละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น<BR/><BR/><A HREF="http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3494253/P3494253.html" REL="nofollow">http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3494253/P3494253.html</A><BR/><BR/>คือถ้าเอาทุกเรื่องไปโยงเข้าศีลธรรม ศาสนา การพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลกไม่เกิดน่ะครับ...Anonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116854236535938482005-05-23T15:17:00.000+02:002005-05-23T15:17:00.000+02:00ผมชั่งใจอยู่นานในการตอบเรื่องนี้ เพราะความเห็นของผ...ผมชั่งใจอยู่นานในการตอบเรื่องนี้ เพราะความเห็นของผมมันค่อนข้างหมิ่นเหม่และสุดโต่ง<BR/><BR/>กล่าวคือ ผมไม่เห็นด้วย หากรัฐจะมีบทบาทในการ “ปกป้องศีลธรรม” ให้ใคร<BR/>ผมเห็นว่ารัฐสมัยใหม่ มีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และรับรองเจตจำนงอิสระของสมาชิกในรัฐมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตราบเท่าที่ไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของสมาชิกคนอื่นๆ หรือความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของรัฐหรือสังคมในภาพรวม เพราะเหตุหนึ่งของการมีรัฐ คือเพื่อรักษาไม่ให้ประชาชนในรัฐกระทำการตามใจชอบของตนจนละเมิดต่อผู้อื่นจนเกิดสภาวะอนาธิปไตย<BR/><BR/>เหมือนกับที่ผมเห็นโดยสุจริต (แต่ไม่เสียค่าตอบแทน) ว่า หลักความสมบูรณ์ของนิติกรรม เพียงแค่นิติกรรมนั้นไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็พอ ไม่จำต้องมีคำว่า “ศีลธรรมอันดี...”<BR/><BR/>เพราะคำถามที่ตามมา คือ ศีลธรรมอันดีนั้น คือศีลธรรมอันดีของใคร ?<BR/>ของสังคม ? ของประชาชน ? ถ้าอย่างนั้นใครเป็นผู้ตัดสินว่าอะไรเป็นศีลธรรมอันดีเล่า ? นายมูลทณต์ แย้มไรฟัน พ่อค้าไข่ปิ้งหน้าคณะคุรุศาสตร์จุฬาฯ ? ของผู้พิพากษาศาลแพ่ง ? ของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดี ? หรือของใครที่ไหน<BR/><BR/>ผมว่า “ศีลธรรม” มันเป็นเรื่องของปัจเจกชน เป็นความเชื่อของแต่ละคน ระดับศีลธรรมของคนไม่เท่ากัน ศีลธรรมของคนหนึ่ง อาจจะเป็นบาปกรรมของอีกคนหนึ่งได้เสมอ เช่นศีลธรรมของพวกซิธ ฆ่าเจไดเด็กๆ เพื่อเพิ่มพลังได้ไม่ผิด ศีลธรรมของเจได ห้ามรัก โกรธ กลัว ฯลฯ <BR/><BR/>เช่นนี้หากรัฐจะปกป้องศีลธรรม มันก็มีปัญหาอีก ว่าปกป้องศีลธรรมให้ใคร ? ดังนั้นผมจึงเห็นว่า รัฐนั้น เพียงควบคุมการกระทำของประชาชน ไม่ให้ละเมิดกันเอง หรือละเมิดต่อรัฐ ที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ก็น่าจะพอ ส่วนศีลธรรม เป็นเรื่องใครใคร่เชื่อ ปฏิบัติไปตามครรลองของแต่ละคน เช่น เรื่องกินเหล้า ที่ทางพุทธและอิสลามว่าผิดศีลธรรม ทางศาสนาอื่นว่าไม่เป็นไร เชนนี้รัฐที่ดีก็ไม่ควรห้ามคนกินเหล้า ยกเว้นรัฐที่นับถือศาสนาในระดับเทียบเท่ากับรัฐธรรมนูญ เช่นรัฐธรรมนูญของอิหร่าน <BR/><BR/>ดังนั้น คำพูดที่ผมเกลียดที่สุดประโยคที่สอง (ประโยคที่หนึ่ง คือ “เรื่องนี้ต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ มิควรใช้หลักนิติศาสตร์”) คือ <B>“ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ”</B> ผมเป็นชาวพุทธครับ และมั่นใจว่าเป็นชาวพุทธที่ดี แม้ไม่ห้อยพระ แต่ผมก็สวดมนตร์ทำวัตรบ่อยๆในวันพระ ทำบุญตักบาตรเท่าที่โอกาสจะมี เคยบวช อ่านหนังสือธรรมะไม่ต่ำกว่าปีละหนึ่งเล่ม <BR/><BR/>แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการยกเหตุผลว่า <B>“ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ”</B> มาเพื่อเป็นข้อยุติ หรือเป็นเหตุผลให้รัฐดำเนินการหรือไม่ดำเนินการอะไร ผมว่าเป็นเหตุผลปิดปากชาวบ้าน ที่ไม่ยุติธรรม เช่นการห้ามไม่ให้บริษัทเบียร์ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์... เพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธ สั่งปิดเกมส์โชว์ทางทีวี ... เพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธ ... ไม่ให้ตั้งบ่อนคาสิโน (แต่เจือกขายหวย) เพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธ ห้ามนางงามถ่ายรูปคู่กับพระเจดีย์ พระปรางค์ เพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ... ห้ามค้าประเวณี (แต่มีอาบ อบ นวด ฟาร์มแมว วัดโพธิ์ ฯลฯ ได้) เพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธ<BR/><BR/>ผมว่าเหตุผลแบบนี้ มันเป็นเหตุผลปิดปาก เราใช้เหตุผล “บ้านเราเป็นเมืองพุทธ” มาเพื่อปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วยมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เราใช้เหตุผลประหลาดๆ แบบนี้เพื่อระงับกิจกรรมของรัฐหรือเอกชนมาแล้วเท่าไร (เช่นการที่ท่านมหาหัวเกรียน ผู้ชอบคิดว่าศีลธรรมนั้นไซร้อยู่ในมือฉัน ออกมาประท้วงไม่ให้เอากิจการเบียร์ไทยระดับโลกเข้าตลาดหลักทรัพย์ซะงั้น) ไม่มีตรรกะที่ยอมรับได้ในทางการเมืองการปกครองมารองรับ ไม่ใช่ว่าผมเห็นด้วยกับกิจกรรมต่างๆเหล่านั้น ผมจะรับได้แบบไม่มีปัญหา ถ้าเหตุผลเป็นอย่างนี้...<BR/><BR/>ไม่ให้ตั้งบ่อนคาสิโน เพราะรัฐเกรงจะเกิดปัญหาอาชญากรรมในระดับที่ยากต่อการควบคุม หรือคนจะเล่นการพนันจนทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม<BR/><BR/>ห้ามค้าประเวณีเสรี เพราะป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์<BR/><BR/>เซ็นเซอร์รายการ “บิ๊กฮักเกอร์” หรือย้ายเวลาออกอากาศ เพราะสุ่มเสี่ยงว่าจะมีการปั๊มป๊ามกันหน้าจอ ทำให้เด็กๆใจแตก เกิดปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ<BR/><BR/>ผมรับเหตุผลพวกนี้ได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นเหตุผลเพื่อการป้องกันรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม<BR/><BR/>ไม่ใช่เหตุผลว่า มันขัดต่อศีลธรรมของใครก็ไม่รู้... ศีลธรรมศาสนาไหนก็ไม่รู้ ในที่สุดเมื่ออ้างกันมากๆ ศีลธรรมก็จะกลายเป็นเรื่องดับเบิ้ลหรือขนาดทริปเปิ้ลสะแตนดาร์ด ว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไม่ควรมีการพนันที่ถูกกฎหมาย แต่ไหงหวยขายได้ นี่ก็ตอบไม่ได้แล้ว<BR/><BR/>แต่ถ้าใช้เหตุผลในเชิงความสงบเรียบร้อยของสังคม เราจะตอบได้ ว่าที่มีบ่อนไม่ได้ เพราะบ่อนแม่มเล่นกันทุกวันเช้ายันดึก คนสามารถเสียตังค์จนล้มประดาตายได้ภายในสิบสองชั่วโมง แต่หวยนั้น สามารถควบคุมได้ เพราะมันออกเพียงสองสัปดาห์ครั้ง จะแทงให้วายวอดอย่างไรก็ไม่รุนแรงรวดเร็วเท่าคาสิโน ดังนั้นรัฐจึงพออนุโลมให้ขายหวยได้ เพราะกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมน้อยกว่าการเปิดบ่อน<BR/><BR/>กลับมาเรื่องทำแท้ง เมื่อผมมองว่า รัฐไม่มีหน้าทีต้องรักษาศีลธรรมให้ใครแล้ว ผมจึงเห็นว่า รัฐไม่ควรห้ามสตรีผู้ตั้งครรภ์ไม่ให้ทำแท้ง เพราะการทำแท้งของเธอนั้น มันเป็นเรื่องที่เธอเองต้องตัดสินใจ รัฐไม่น่าที่จะทำหน้าที่เป็นครูศีลธรรม ห้ามเธอทำแท้ง เพราะการทำแท้งนั้น ไม่ได้ทำให้สังคมเดือดร้อน เพราะถ้าพูดแรงๆ ก็คือ “มันเรื่องของเขา จิ๊ของเขา มดลูกของเขา” <BR/><BR/>ก็ตอนเขา “เอาลูกเข้าท้อง” ไม่เห็นเขาต้องมาขออนุญาตรัฐเลย แล้วไหงตอนจะเอาออก รัฐถึงต้องมาห้ามด้วย ไม่ยุติธรรมเลย<BR/><BR/>ผมเองเชื่อว่า ตราบใดที่ทารกยังไม่พ้นจากช่องคลอดของผู้เป็นแม่ ยังเป็นสิทธิของผู้เป็นแม่ แต่เมื่อใดที่พ้นออกมาแล้ว เขาเป็นบุคคล และพ้นจากอำนาจการตัดสินใจของผู้เป็นแม่ อันนี้ถือตามกฎหมายแพ่งปัจจุบัน<BR/><BR/>เว้นแต่เราจะหาเหตุผลที่พอฟังได้ในเชิงสังคมว่า การทำแท้งก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคมอย่างไร<BR/><BR/>เมื่อเทียบกับการที่มีเด็กถูกทอดทิ้ง หรือเด็กที่เกิดมา แต่ไม่มีใครรักเลย และกลายเป็นปัญหาต่อสังคม เป็นเหยื่ออาชญากรรม หรือเป็นผู้ประกอบอาชญากรรมเสียเองในอนาคต<BR/><BR/>ผมเห็นด้วยกับคุณราโช ว่า สิ่งมหัศจรรย์ที่ผู้หญิงทำได้เท่านั้น คือการให้กำเนิดชีวิตใหม่จากร่างกายของตน ... เป็นมหัศจรรย์แห่งชีวิตและธรรมชาติ ... เป็นศักดิ์ศรีที่สูงยิ่งของผู้หญิง แต่ผมขอวงเล็บไว้นิดหนึ่งว่า มหัศจรรย์เช่นว่านั้น ควรจะเกิดจากความรักด้วย<BR/><BR/>แม้ความรักเพียงช่วงสั้นๆ หากมีก็คุ้มค่า เสมือนกับอมิดาลาที่ให้กำเนิดลุค และเลอา ทายาทของดาร์ธ เวเดอร์ (แอนาคิน) จอมโฉด แต่เธอก็สุขใจ แม้เธอจะตายหลังจากนั้น แต่ทารกก็มีคนที่รักเขา ไม่ว่าจะเป็นโอบีวัน เบล ออกาน่า หรือแม้แต่ลุงโอเว่นและป้าเบรู<BR/><BR/>เฮ้ย สตาร์วอรส์มาจากไหนวะ...!!!<BR/><BR/>แต่ถ้าเด็กที่เกิดมาโดยไม่ได้รับความรักเลย นี่มันเป็นเรื่องน่าเศร้า<BR/><BR/>ผมคิดว่า การเปลี่ยนใจไม่ทำแท้ง รักษาเด็กไว้ ที่คุณราโชเล่ามาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่น่าสรรเสริญ<BR/><BR/>แต่ผมก็เคารพ หากใครจะไม่เอาไว้ ... และไม่คิดว่า รัฐจะต้องไปรักษาศีลธรรมให้ โดยละเลยถึงประโยขน์ของเธอ ประโยชน์ของเด็ก<BR/><BR/>ศีลธรรมนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ศรัทธาก็พึงรักษาไว้เองครับ.Anonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116836642522673792005-05-23T10:24:00.000+02:002005-05-23T10:24:00.000+02:00ตกลงคุณพี่บุญชิตเข้าใจผมผิดมาตลอดหรือเนี่ย !!!ตกลงคุณพี่บุญชิตเข้าใจผมผิดมาตลอดหรือเนี่ย !!!pin poramethttps://www.blogger.com/profile/06619475390733660225noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116832445044624262005-05-23T09:14:00.000+02:002005-05-23T09:14:00.000+02:00เพิ่งนึกออกจากอีเมล์ว่า ปกป้องที่เขาคุยๆกัน นี่คือ...เพิ่งนึกออกจากอีเมล์ว่า ปกป้องที่เขาคุยๆกัน นี่คือคุณปกป้อง จันวิทย์...<BR/><BR/>ไอ้ผมก็นึกว่าปกป้อง ศรีสนิท เวรจริงๆ<BR/>เกือบเรียกว่าพี่อ๋องตั้งหลายที<BR/><BR/>อย่างนี้มีลูกให้ชื่อปกป้องบ้าง เผื่อฉลาดAnonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116827192279430782005-05-23T07:46:00.000+02:002005-05-23T07:46:00.000+02:00ป๊อกผมขออีเมลคุณหน่อยสิส่งไปหาผมที่ pokpongj@yahoo...ป๊อก<BR/><BR/>ผมขออีเมลคุณหน่อยสิ<BR/><BR/>ส่งไปหาผมที่ pokpongj@yahoo.com นะAnonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116795997472945322005-05-22T23:06:00.000+02:002005-05-22T23:06:00.000+02:00แวะมาทักทายครับผมว่าถ้าถามความเห็นนักเศรษฐศาสตร์(ก...แวะมาทักทายครับ<BR/><BR/>ผมว่าถ้าถามความเห็นนักเศรษฐศาสตร์(กระแสหลัก) เกี่ยวกับเรื่องการทำแท้ง เค้าคงจะต้องไปนั่งคำนวณหา individual benefits and costs of abortion, social benefits and costs of abortion แล้วก็ derive social welfare function ออกมาเสียก่อนจึงจะออกความเห็นได้<BR/><BR/>ที่พูดมาเนี่ยก็มีนักเศรษฐศาสตร์บางคนทำวิจัยมาแล้วนะครับ ผมไม่เคยอ่านงานวิจัยฉบับเต็มๆ แต่เคยเห็นผ่านตามาครับ<BR/><BR/>แต่ผมว่าที่สุดแล้วเรื่อง sensitive อย่างการทำแท้งนี้ มันก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคล ต่างจิตต่างใจจริงๆแหละครับ แม้งานวิจัยที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความเป็น subjective อยู่ดี<BR/><BR/>แต่ถ้าถามผมนะ ผมว่าไปแก้ที่ต้นเหตุดีกว่า ให้การศึกษาเรื่องคุมกำเนิดให้ดี มันก็น่าจะลดการท้องแบบไม่ได้ตั้งใจลงไปได้เยอะนะครับ<BR/><BR/>หรือทุกท่านคิดอย่างไร?David Ginolahttps://www.blogger.com/profile/00380508898043357811noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116717074196440422005-05-22T01:11:00.000+02:002005-05-22T01:11:00.000+02:00Very knowledgeable krab. Thank you for sharing yo...Very knowledgeable krab. Thank you for sharing your ideas. <BR/><BR/>POL_USAnonymousnoreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-11720999.post-1116695266268670192005-05-21T19:07:00.000+02:002005-05-21T19:07:00.000+02:00ผมเคยเขียนเรื่องทำนองนี้ในบล็อกของผมแล้วเช่นกัน เม...ผมเคยเขียนเรื่องทำนองนี้ในบล็อกของผมแล้วเช่นกัน เมื่อเพื่อนเขียนอีก ก็ขอเข้ามาอ่านแล้วแสดงความเห็นเล็กน้อย<BR/><BR/>คงพอได้กลิ่นแห่งความต่างในหัวข้อเดียวกันระหว่างบล็อกนี้และของผม จะว่าผมอนุรักษ์นิยม ก็กึ่งๆ<BR/><BR/>ประเด็นที่ผมเห็นว่าเป็นแก่นหลักในการต่อสู้เรียกร้องและการถกเถียงอันยาวนานในเรื่องการทำแท้ง เห็นจะมีอยู่ เรื่องหนึ่ง คือ สิทธิสตรี<BR/><BR/>ผมคงไม่สรุปว่าใครคิดผิดถูก เพราะสิ่งที่ผมคิดก็ยังไม่รู้ว่าจะผิดหรือถูก <BR/><BR/>ผมจำได้ว่าเคยอ่านงานอยู่ชิ้น ฝรั่งเขียนไว้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจหากผมจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อสารผิดๆ เนื่องด้วยความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศของผมมีอยู่อย่างจำกัด<BR/><BR/>ทำนองนี้ล่ะครับ คือ สิทธิสตรีในการใช้ร่างกายของตนเอง แต่หัวเรื่องของเขาจริงๆคือ การถกเถียงกันเรื่องกรณี "อุ้มบุญ" นั่นคือ การที่หญิงคนหนึ่งตัดสินใจอุ้มท้องแทนหญิงอีกคนที่ต้องการลูกแต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยตนเองได้ โดยแลกเปลี่ยนกับเงิน<BR/><BR/>ทำได้อย่างเสรีหรือไม่ สิทธิสตรีหรือไม่<BR/><BR/>แล้วประเด็นก็ต้องพันเกี่ยวไปถึง การคิดเทียบเคียงกับปรากฏการณ์อื่นๆในสังคม เช่น สิทธิสตรีกับการทำแท้งเป็นต้น หรือแม้กระทั่ง สิทธิสตรีที่จะขายบริการทางเพศแลกกับเงิน นั่นก็สิทธิในร่างกายของหญิงเช่นกัน<BR/><BR/>ต้องขอออกตัว อีกครั้งว่าผมไม่ใช่พวกกดขี่ข่มเหงเพศตรงข้าม และไม่ใช่ผู้ที่ต่อต้าน พร้อมกับทำหน้าเบ้ เวลามีประเด็นเรื่องสิทธิสตรีแต่อย่างใด<BR/><BR/>ตรงกันข้าม ผมสนับสนุนกิจการและกิจกรรมของสิทธิสตรี ถ้าผมทำอะไรได้ ก็อยากทำด้วย <BR/><BR/>แต่ผมอยากเห็นวิธีคิดอีกด้านของการเรียกร้องสิทธิสตรี<BR/><BR/>งานชิ้นนั้น ก็โปรยและตอบคำถาม มาเหมือนๆกับหลายๆประเด็นที่คาบเกี่ยวกับปัญหาเช่นนี้ นั่นคือ ลงท้ายด้วย การเป็นสิทธิเสรีภาพในเนื้อตัวร่างกาย รวมไปถึงสิทธิในการกำหนดตนเอง และสิทธิเสรีภาพในการเข้าทำสัญญา<BR/><BR/>แต่มีอยู่สองสามประโยคที่ทำให้ผม ฉุกคิด และรู้สึกว่าด้านนี้ยังมีอยู่ในการเรียกร้องสิทธิสตรี นั่นคือ เขาบอกว่า ในเรื่องการทำสัญญาจ้างอุ้มครรภ์ดังกล่าว มีนักสิทธิสตรีสองกลุ่มออกมาชนกันเอง นั่นคือกลุ่มที่สนับสนุนซึ่งเป็นกระแสส่วนใหญ่ กับ กลุ่มน้อย ที่ออกมาต่อต้าน ด้วยเหตุผลที่ว่า การกระทำดังกล่าวหาใช่การเพิ่มคุณค่าให้แก่สตรีแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้าม กลับลดคุณค่าของหญิงให้เป็นแค่โรงงานผลิตเด็ก <BR/><BR/>ซึ่งเจ้าของความคิดเองก็อาจจะไม่ได้มาไกลจนถึงเรื่องทำแท้ง แต่ผมเอาเขามาเดินต่อในทางของผม<BR/><BR/>ผมมาคิดต่อว่า ในเรื่องการทำแท้ง การที่หญิงตัดสินใจยุติการมีชีวิต และยุติการก้าวสู่สภาวะของ "บุคคล" ของเด็ก กับการที่หญิงเก็บเด็กนั้นไว้ อย่างไหนจะส่งเสริมคุณค่าของหญิงมากกว่ากัน <BR/><BR/>ไม่รู้สิ ผมมองว่าอย่างหลังนะ<BR/><BR/>อาจจะมีปัญหาตามมามากมายว่า หากปล่อยให้หญิงตั้งท้องต่อไปทั้งๆที่ไม่ต้องการ จะไม่เป็นผลร้ายต่อหญิงและเด็กมากกว่าเหรอ ผมมองว่าก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่...<BR/><BR/>1. มันไม่ใช่สำหรับหญิงและเด็กทุกคนในสถานการณ์อย่างนั้น ผมเคยอ่านงานอยู่ชิ้นหนึ่ง เธอก็เกือบทำแท้ง เพราะคิดว่าตนไม่พร้อมและคงไม่มีความสุขในอนาคตหากเก็บเด็กคนนี้ไว้ แต่ด้วยอะไรมาดลใจไม่ทราบ ทำให้เธอตัดสินใจรักษาชีวิตน้อยๆนั้นไว้ ใครจะทราบ อีกยี่สิบกว่าปีต่อมา เป็นเด็กคนที่เธอเกือบโยนลงโถส้วมคนนี้แหล่ะ ที่อุปถัมภ์ ทำให้เธอมีชีวิตสุขสบายในบั้นปลาย<BR/><BR/>2.ผมไม่คิดว่า การทำแท้งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดของปัญหาความไม่พร้อมดังกล่าว การวางแผนครอบครัว สภาพเศรษฐกิจ เป็นปัญหาการท้องที่ไม่พร้อม การแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการทำแท้ง มันก็คงไม่ต่างอะไรกับ การฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากผจญปัญหาร้อยแปด ทำแท้งเพราะจน ทางแก้ ก็ต้องทำให้รวย เลี้ยงเองไม่ได้ รัฐต้องเข้ามา อย่างน้อย ก็แสดงความรับผิดชอบที่ตัว ให้ความรู้ และสร้างสภาพสังคม ที่ทำให้หญิงผู้นั้นไม่พร้อมที่จะเป็นแม่ได้ด้วย<BR/><BR/>แต่ผมก็ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยที่จะเปิดช่องให้ทำแท้งได้นะครับ ทำน่ะทำได้ แต่มันต้องตอบคำถามได้ด้วยว่า ทำเพื่ออะไร แล้วได้อะไร<BR/><BR/>ง่ายๆคือ รับผิดชอบในการตัดสินใจนั้นได้หรือไม่<BR/><BR/>รับผิดชอบไม่ใช่การหลอกตัวเอง ไม่ใช่การหลอกว่าสิ่งที่ทำนั้นมันชอบธรรมแล้ว <BR/><BR/>หรือกล่าวได้ว่า เพราะมันจำเป็น ถึงต้องทำ อะไรคือจำเป็น ผมเคยว่าไว้แล้วว่า หญิงทุกคนที่ทำแท้งก็จำเป็นทั้งนั้น ไม่มีใครผิวปากไปด้วยความสุขขณะถูกหมอทั้งเถื่อนและไม่เถื่อนทำแท้ง<BR/><BR/>ผมคิดว่าลำพังช่องทางที่กฎหมายไทยเปิดไว้ ก็น่าจะเพียงพอ นั่นคือ ให้ทำแท้งได้ในกรณีที่ต้องรักษาชีวิตของมารดาไว้ นั่นคือชีวิตมารดาอยู่ในอันตราย ทางเดียวที่จะช่วยชีวิตมารดาได้ คือ ต้องทำลายชีวิตในครรภ์นั้นเสีย โดยไม่มีทางเลือกอื่น กับกรณีที่หญิงท้องโดยถูกข่มขืน (ซึ่งสองกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องกำหนดอายุครรภ์ในการทำแท้งด้วยซ้ำ เพียงแต่เป็นวินิจฉัยของหมอเองว่า อายุครรภ์เท่าใด จึงจะไม่เป็นอันตราย และยิ่งกรณีที่ต้องทำแท้งเพื่อรักษาชีวิตมารดา ยิ่งไม่ต้องไปดูอายุครรภ์เลย เท่าไร หากต้องทำเพื่อรักษาชีวิตมารดาก็ต้องทำ เหตุที่กำหนดอายุครรภ์เพราะกลัวว่าทำแล้วแม่จะอันตราย ฉะนั้นหากชีวิตแม่มีอันตราย แม้อายุครรภ์มันจะเกินก็ต้องทำล่ะครับ)<BR/><BR/>หากจะเพิ่ม ผมว่า เพิ่มเหตุที่ทารกในครรภ์อาจผิดปกติหรือมีกาย หรือสมองที่พิการ อย่างรุนแรง อันนี้ก็น่าจะเป็นอีกความ "จำเป็น" หนึ่งที่ยินยอมให้ทำได้<BR/><BR/>ผมยังคงพึงใจกับการบีบให้แคบ แล้วเปิดช่องให้ทำได้อย่างจำกัด ในปัญหาที่เกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวพันกับ คำว่า "ศีลธรรม" น่ะครับ<BR/><BR/>เพราะผมไม่ได้มองว่า เรากำลังรักษาสิทธิของหญิง หรือสิทธิของทารกในครรภ์อย่างเดียว ในฐานะปัจเจกบุคคลรายใดรายหนึ่งเท่านั้น<BR/><BR/>สิ่งหนึ่งที่เรากำลังรักษาด้วย นั่นคือ ศีลธรรม ครับ<BR/><BR/>ก่อนจบ...<BR/><BR/>ขอแสดงความยินดีกับอาร์เซนอล แชมป์เอฟเอคับ ทีมล่าสุดครับ<BR/><BR/>เกี่ยวกันไหมเนี่ยratioscriptahttps://www.blogger.com/profile/01820026479900544045noreply@blogger.com