วันอังคาร, เมษายน 08, 2551

แด่หยุด แสงอุทัย

เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีชาตกาลของศ.ดร.หยุด แสงอุทัย ในฐานะที่ผมได้อ่านตำรา บทความ หมายเหตุท้ายฎีกา คำอภิปรายต่างๆของหยุด จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นลูกศิษย์ทางตำรา ผมไม่มีอะไรจะอุทิศให้ นอกเสียจากนำบทความของผมที่เกี่ยวกับเรื่องพระราชอำนาจ (หยุดแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยครั้ง) มาเผยแพร่อีกครั้ง ทางเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน

นี่เป็นบทนำที่ผมเขียน ส่วนรายละเอียด อ่านเพิ่มเติมต่อที่

http://www.sameskybooks.org/2008/04/04/yud/

.................

วันที่ ๘ เมษายน ปีนี้ เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาลของศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ผู้มีคุณูปการต่อวงการกฎหมายไทย

หยุด เกิดเมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๑ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จากโรงเรียนมัธยมโฆษิตสโมสร เนติบัณฑิตไทยจากโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม สำเร็จปริญญาเอกกฎหมายขั้นเกียรตินิยมชั้นสูง (Magna Cumlaude) จากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน

ในอดีต เคยรับราชการในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรรมการร่างกฎหมาย จนกระทั่งถึงปี ๒๕๑๑ จึงเกษียณอายุราชการ นอกจากนั้นยังดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นอีก เช่น ตุลาการรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายลักษณะต่าง ๆ แทบทุกลักษณะวิชาในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่น ๆ ด้วย

หยุดแต่งตำราทางกฎหมาย เขียนบทความทางกฎหมายและบันทึกท้ายคำพิพากษาฎีกาไว้เป็นจำนวนมาก

ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๒

..............

หยุดเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายแทบทุกประเภท แต่ที่ได้การยอมรับนับถือเป็นอย่างมาก คือ กฎหมายอาญา และกฎหมายรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้หยุดยังเขียนตำราคลาสสิก “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป” ซึ่งปัจจุบันยังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย

หยุดเข้าไปมีบทบาททางการเมืองเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยตำแหน่งของหยุดแล้วก็เปรียบเสมือนเป็น “มือกฎหมาย” ของรัฐบาลนั่นเอง จากบทบาทดังกล่าว ส่งผลให้หยุดต้องรับวิบากกรรมทางการเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จากขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามของจอมพล ป. (ดูรายละเอียดได้ในบทความ “กรณี หยุด แสงอุทัย ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ๒๔๙๙” ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลได้ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2006/09/blog-post_1973.html%20%20%20และhttp://midnightuniv.org/midnight2545/document9542.html)

จากการศึกษาตำรากฎหมายของรัฐธรรมนูญของหยุด บทความ หรือคำอภิปรายต่างๆ เรายืนยันได้ว่า หยุด มีความคิดอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย คือ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีผู้ใดที่มีและใช้อำนาจทางการเมืองโดยปราศจากความรับผิดชอบ เพื่อมิให้กษัตริย์ต้องรับผิด ตามคำกล่าวที่ว่า “The King Can Do No Wrong” จึงต้องมิให้กษัตริย์กระทำการใดๆ เว้นแต่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการซึ่งเป็นผู้กระทำอย่างแท้จริง

ดังปรากฏให้เห็น เช่น

“ในขณะนี้ปรากฏว่าได้มีการวิพาษ์วิจารณ์การกระทำของพระมหากษัตริย์ในที่ชุมนุมสาธารณะหรือในทางหนังสือพิมพ์อยู่บ้าง ซึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะตามรัฐธรรมนูญนั้น องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ฉะนั้นในทางรัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์จึงทรงกระทำผิดมิได้ (The King Can Do No Wrong) แต่ทรงกระทำตามคำแนะนำของรัฐมนตรีหรือประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งจะเป็นผู้รับผิดชอบแทนพระองค์” และ "องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงตรัสสิ่งใดอันเป็นปัญหาหรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเมือง หรือทางสังคมของประเทศ โดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ"
(ในบทความชื่อ “อำนาจและความรับผิดชอบในระบอบประชาธิปไตย” อ่านออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงของกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙)

“ในเวลานี้ ในประเทศไทยยังมีรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคนเอาพระมหากรุณาธิคุณที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้สิทธิ ๓ ประการ คือ สิทธิที่จะได้รับการปรึกษาหารือ สิทธิที่จะทรงสนับสนุน และสิทธิที่จะทรงตักเตือน ไปใช้ในทางที่ผิด กล่าวคือ มักจะนำพระราชดำรัสในการที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้สิทธิ ๓ ประการดังกล่าวนั้น ไปเผยแพร่แก่สื่อมวลชนบ้าง แก่บุคคลอื่นบ้าง การที่ทำเช่นนั้น อาจเป็นโดยเจตนาดี เพราะเห็นว่าจะเป็นที่เชิดชูพระเกียรติบ้าง หรือเห็นว่าแสดงว่าได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยบ้าง หรือเป็นเกียรติที่ได้เข้าเฝ้าและรับสนองพระราชประสงค์บ้าง ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งนั้น คำแนะนำหรือตักเตือนของพระมหากษัตริย์ย่อมต้องเป็นความลับ เพราะมิฉะนั้น ผู้ที่ไม่เห็นชอบด้วยจะนำไปวิพากษ์วิจารณ์ และจะทำให้องค์พระมหากษัตริย์ไม่เป็นที่เคารพสักการะ ถ้าคณะรัฐมนตรีจะรับคำแนะนำตักเตือนไปปฏิบัติ ต้องปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบของตนเอง จะอ้างพระมหากษัตริย์มิได้ เพราะเป็นการนำพระมหากษัตริย์ไปทรงพัวพันกับการเมือง” และ "... ในกรณีที่ไม่ทรงเห็นด้วย ก็จะทรงทักท้วงตักเตือนให้เห็นภยันตรายของการดำเนินตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงเช่นว่านี้ ย่อมเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องประชุม ปรึกษาหารือกันใหม่ คณะรัฐมนตรีอาจยืนยันความเห็นเดิมก็ได้ และเมื่อคณะรัฐมนตรียืนยันตามความเห็นเดิม พระมหากษัตริย์ก็ต้องทรงยอม เพราะคณะรัฐมนตรีต่างหากเป็นผู้รับผิดชอบต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ..."
(หยุด แสงอุทัย, คำอธิบายธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๑๕. หน้า ๔๖-๔๗)

ผู้เขียนได้รับความรู้ทางกฎหมายจากตำราของหยุด และได้รับอิทธิพลทางความคิดของหยุดในเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยมาพอสมควร และเนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาลของหยุด แสงอุทัย ผู้เขียนจึงขออนุญาตใช้พื้นที่ของฟ้าเดียวกันในการเผยแพร่บทความบางส่วนของผู้เขียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นการอุทิศแด่ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้แก่

๑. พระราชอำนาจ การลงพระปรมาภิไธย และการสนองพระบรมราชโองการ

๒. พระราชดำรัสของกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
๓. อะไรคือ ตัดสิน “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์”
๔. การลดพระราชอำนาจกษัตริย์ในสวีเดน และการเพิ่มพระราชอำนาจกษัตริย์ในลิคเตนสไตน์
๕. กฎมณเฑียรบาลกับรัฐธรรมนูญ

อนึ่ง บทความเหล่านี้ เคยเผยแพร่ทางสื่อสาธารณะในหลายๆที่มาก่อน หากผู้ใดเคยอ่านมาแล้ว ผู้เขียนต้องขออภัยที่นำ “ของเก่า” มา “ขายใหม่” และหากจะก่อให้เกิดประโยชน์โภชผล ผู้เขียนขออุทิศให้แด่ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย