วันจันทร์, ธันวาคม 11, 2549

หลายๆเรื่อง

-๑-
ชวนอ่านปาฐกถาของส.ศิวรักษ์ เนื่องในโอกาสวันรัญธรรมนูญ
เรื่อง "สถาบันกษัตริย์กับรัฐธรรมนูญ"

"ระบบกษัตริย์มักเกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ด้วยเสมอไป เพราะพระราชพิธีมักโยงไปในทางลัทธิศาสนาด้วย แม้รัชกาลของพระนางเอลิซเบธที่ 2 ของอังกฤษนี่เอง เมื่อเสวยราชย์แล้วได้ 4 ปี (คือปี ค.ศ. 1956) ประชามติยังออกมาว่าคนอังกฤษถึงร้อยละ 35 เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกพระนางเธอให้เสวยราชย์

แต่ในปัจจุบัน ความเชื่อในเรื่องพระสภาวะอันพิเศษของพระบรมราชินีนาถปลาสนาการไปจากคนอังกฤษเกือบหมดแล้ว ยิ่งสมัยที่นางมากาเร็ต แทตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แต่ปี 1979 ถึง 1990 ด้วยแล้ว นางถึงกับประกาศว่า สถาบันอันเก่าแก่ทั้งหลายของอังกฤษต้องได้รับการท้าทาย หาไม่จะไม่เกิดความทันสมัย ดูทักษิณ ชินวัตร ก็จะได้กระเส็นกระสายความคิดในเรื่องนี้มามิใช่น้อย นางมากาเร็ต แทตเชอร์ท้าทายระบบข้าราชการ ศาล ศาสนจักร มหาวิทยาลัย รวมถึงบีบีซี แต่สถาบันกษัตริย์กลับปลอดไปจากความสั่นสะเทือนเอาเลยก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่นางมีพฤติกรรมและแสดงอาการกิริยาท้าทายสถาบันดังกล่าวมิใช่น้อย

ทั้งนี้ก็เพราะสถาบันสามารถปรับตัวเองได้ มิใยว่าเสรีภาพจะมีมากขนาดไหน ในทางสื่อสารมวลชนถึงขนาดล่วงละเมิดไปยังวิถีชีวิตส่วนพระองค์ขององค์พระประมุขและราชตระกูลอย่างจังๆ แต่ก็ทรงไว้ซึ่งพระขันติธรรม และปรับปรุงสถาบัน แม้จะไม่ถึงกับทันสมัย ก็ไม่ล้าหลังไปเสียเลยทีเดียว ถึงจะล่าช้าไปบ้างหรือขัดขืนประชามติไปบ้าง แต่พอรู้พระองค์ ก็ยอมเปลี่ยนท่าทีอย่างงามสง่า"

"ในระบอบกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญนั้น ประมุขของประเทศแตกต่างจากประมุขของรัฐบาล ประมุขของประเทศประกอบพระราชกรณียกิจ 3 ประการที่สำคัญ คือ 1) หน้าที่อย่างเป็นทางราชการ เช่น ตั้งนายกรัฐมนตรี และออกพระราชกำหนด ปิดรัฐสภา (ถ้าพระราชาไม่เป็นเพียงเจว็ดหรือเป็นเผด็จการแล้วไซร้ ย่อมทรงใช้พระราชอำนาจทั้งสองประการนี้อย่างแยบคาย) 2) หน้าที่ในทางพิธีกรรม รวมถึงกิจการงานทางสังคม 3) ที่สำคัญสุด คือสัญลักษณ์ของประชาชาติ ถ้าพระราชาขาดความเป็นกลาง หรือไม่เป็นที่ยอมรับอย่างจริงใจในหมู่ชนชั้นนำหรือในบรรดาทวยราษฎร์ ไม่อาจทรงเป็นสัญลักษณ์ของประชาชาติได้ การสดุดีพระราชาอย่างสุดๆ ไม่ได้หมายความว่า นั่นคือสัญลักษณ์ที่แท้ของประชาชาติ หากประโยชน์ดังกล่าวได้กับพวกสอพลอปอปั้นต่างหาก และการเยินยออย่างเกินเลยไปนั้น อาจเป็นไปดังนิทานที่ว่า The King and the new cloth ก็ได้"

"ปี 1802 Sir William Anson ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถึงกับเขียนข้อความว่า “ในเรื่องของรัฐ พระราชาย่อมไม่รับคำแนะนำจากคนอื่น ที่ไม่ใช่คนของรัฐบาล พระองค์ย่อมไม่ทรงแสดงทัศนะทางการเมือง โดยไม่ได้ทรงหารือรัฐบาลก่อน และย่อมทรงรับทัศนะของรัฐบาลและสนับสนุนคณะรัฐมนตรี ตลอดเวลาที่เขาเหล่านั้นเป็นรัฐบาลของพระองค์”

แม้ทัศนคติของพระราชาในทางส่วนพระองค์ ก็ย่อมต้องระวังพระองค์ ไม่ให้กระทบกระเทือนรัฐบาลของพระองค์ และที่สำคัญเหนืออื่นใดสำหรับสถาบันกษัตริย์กับรัฐธรรมนูญนั้นก็คือ พระราชาและพระราชินีต้องไม่ข้องแวะกับขุนพลทั้งหลายทั้งปวง ทหารมีหน้าที่เพียงรักษาพระราชอิสริยยศ หากนอกเหนือไปจากนี้ ในระยะยาวจักเป็นอันตรายกับสถาบันกษัตริย์อย่างร้ายแรงที่สุด"

"บทบาทของราชเลขานุการนั้นเป็นไปเพื่อรักษาพระสถานะทางรัฐธรรมนูญของพระราชา โดยที่พระราชาย่อมต้องทรงทราบเรื่องต่างๆ ที่เจ้ากระทรวงต่างๆ ทูลเสนอขึ้นมา เพื่อไม่ให้ทรงทราบความข้างเดียว เพื่อจะได้ตัดสินพระทัยถูก ทางด้านการใช้พระราชอำนาจ พระราชาองค์เดียวจะทรงรอบรู้ทุกๆ เรื่องกระไรได้ จำต้องมีคนกล้าทูล กล้าท้วง แต่ไม่ใช่เพื่อมาชี้แนะพระองค์ท่าน

ระบบองคมนตรีของอังกฤษเป็นเพียงสัญลักษณ์ในทางนิตินัยและพิธีกรรมเท่านั้น ดังระบบองคมนตรีและอภิรัฐมนตรีของไทยในสมัยราชาธิปไตยก็เริ่มมาด้วยดี แล้วก็กลายสภาพไปจากสาระที่แท้อย่างน่าเสียดาย

ดังกล่าวแล้วว่า Bagehot บ่งว่า พระราชาทรงไว้ซึ่งสิทธิที่รัฐบาลจำต้องหารือ เพื่อจะได้ทรงอุดหนุนให้กระทำการ หรือทรงเตือนให้ระวัง แต่ก่อนที่จะทรงกระทำเช่นนั้นได้ จำต้องทรงสามารถใช้พระราชวินิจฉัย นอกเหนือไปจากคำกราบทูลของรัฐบาล ราชเลขาฯ มีหน้าที่กราบทูลให้ได้ทรงทราบข้อเท็จจริงอย่างกว้างขวางออกไป แต่ราชเลขาฯไม่มีหน้าที่เพ็ดทูล เสนอแนะ ซึ่งมาได้เพียงจากรัฐบาลเท่านั้น

ที่ว่ามานี้เป็นของอังกฤษ ของเราเองเป็นไปเช่นไร จักยังไม่ขอเอ่ยถึงในที่นี้..."

"ถ้าเห็นคุณค่าของสถาบันกษัตริย์ จำต้องช่วยกันทำให้ความเป็นกลางและความโปร่งใสของสถาบันดังกล่าวเป็นไปอย่างไม่ให้สถาบันสูงสุดไปพัวพันกับทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร หรือในทางอื่นใด นอกเหนือวิถีทางของประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นพื้นฐาน

ถ้าสถาบันกษัตริย์ขัดกับรัฐธรรมนูญเมื่อใด สถาบันนั้นก็จะคลอนแคลนไป โดยยากที่จะรับรู้ได้อย่างผิวเผิน และถ้าไม่ตระหนักให้ชัด สถาบันกษัตริย์ก็จะเป็นไปเพื่อพระราชา ยิ่งกว่าเพื่อราษฎร ถ้าความจริงข้อนี้เข้าใจกันชัดเจนและกว้างขวางเพียงใด หายนภัยของสถาบันกษัตริย์ก็จะมีมากและเร็วขึ้นเพียงนั้น"

อ่านฉบับเต็มได้ที่ ประชาไท

-๒-
บทสัมภาษ์ บ.ก.ลายจุด แกนนำเครือข่าย ๑๙ กันยา โดยแท็บลอยด์ ไทยโพสต์

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=10/Dec/2549&news_id=134634&cat_id=220100


-๓-
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วิจารณ์ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ กับ หนังสือ "พระผู้ทรงปกเกล้าฯ ประชาธิปไตย : ๖๐ ปีสิริราชสมบัติกับการเมืองการปกครองไทย" ซึ่งพิมพ์ขึ้นในวาระแห่งการเฉลิมฉลองการสถาปนาครบรอบ ๗๒ ปี ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

http://www.midnightuniv.org/forum/index.php?PHPSESSID=76b20e7e7eb99d3dada871fb304b8c6e&topic=1945.0

http://www.midnightuniv.org/forum/index.php?PHPSESSID=76b20e7e7eb99d3dada871fb304b8c6e&topic=1946.0

-๔-
เปลี่ยนสีมหาวิทยาลัยดีไหม?

พักหลังเห็น มธ.โหนกระแส "สีเหลือง" บ่อยมาก ตั้งแต่บริจาคโลหิต ไปทำนาที่ทุ่งรังสิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เสื้อเชียร์ที่แทบจะมองไม่เห็นสีแดง ออกหนังสือแนวอาเศียรวาท คณะต่างๆจัดอภิปรายแนวอาเศียรวาท ฯลฯ

เข้าใจดีว่า ใครเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็คงหลีกหนีการปฏิบัติตามกระแสหลักไม่พ้น

แต่ก็ทำให้ มธ เสียเอกลักษณ์บางอย่างบางประการไปพอสมควร

หรือว่าต่อไปนี้ สีเหลือง-แดง จะเหลือแต่ สีเหลือง

23 ความคิดเห็น:

Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านเรียบร้อยตั้งแต่ประชาไทเอามาลงใหม่ๆ ก็เห็นด้วยนะ แนะนำให้อ่าน "The King Never Smile" หนังสือหนาประมาณ 500 หน้าเอง อ่านแล้วจะเข้าใจโครงสร้างประเทศไทยทุกอย่าง

เรื่องเศรษฐกิจเพียงพอ ลองๆอ่านกระทู้นี้ดู ว่าเพีบงพอคืออะไร
http://www.prachatai.com/05web/th/board/showboard.php?QID=44680&TID=5


เรื่องธรรมศาสตร์ ณ. วันนี้ หึหึ ไม่อยากออกความคิดเห็นอะไรมาก เอาเป็นว่าสมัยมันเปลี่ยนไป อ่ะนะก็ทำใจ

7:31 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอแก้คำผิดครับ
เศรษฐกิจพอเพียง*

7:42 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

มิน่า....... ทักเท่าไหร่ไม่ตอบซะที สงสัยคงกำลังบรรเลงผลงานชิ้นนี้อยู่หละซิ


ป.ล. จริงๆ ตั้งใจจะ post ลง topic นี้แต่แรกหรอกนะ
ขออภัยอีกครั้ง

10:15 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นคล้องกันกับอาจารย์ปิยบุตรครับ

ตอนนี้ กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ผมทำอยู่บ่อย ๆ เมื่อเดินเข้าไปในมธ.ท่าพระจันทร์ก็คือ พกกล้องวิดีโอเข้าไปด้วย เพื่อนำไปถ่ายป้ายอะไรแปลก ๆ จำนวนมาก
เช่น

ป้ายแดงของเราคือโลหิตอุทิศให้ (บริจาคเลือดเพื่อ...)
ป้ายทำนาเศรษฐกิจพอเพียงที่รังสิตอันน่าภาคภูมิใจ (แต่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับนายทุน พ่อค้าคนกลาง หรือธกส. ใด ๆ ทั้งสิ้น)(ถ้าอยากให้นศ.ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนยากจนจริง ๆ ผมว่าไม่ต้องแสร้งเป็นทำนาอยู่ในรั้วมหาลัยหรอก แน่จริงส่งนศ.ออกไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ แถวคลองหลวง แถวรังสิตสิครับ นั่นแหละชีวิตของคนยากไร้ในประเทศนี้)
เห็นด้วยเรื่องเสื้อเชียร์ในปีนี้ที่เน้นสีเหลืองอย่างเด่นชัดเหลือเกินครับ

นอกจากนี้ยังมีป้ายประชาสัมพันธ์ ประเภท ดร.สุเมธ(ท่านนายกสภามหาลัย) ปาฐกถาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแทรกอยู่ตามที่ต่าง ๆ ด้วย นี่ยังไม่รวมป้ายประชาสัมพันธ์งานอาเศียรวาททางวิชาการของคณะนิติศาสตร์ และงานเปิดตัวผลงานทางวิชาการ? ของคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ผู้สร้างชื่อจากการเขียนงานประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่เรื่อง 2475

ฯลฯ

ในช่วงผมเรียนป.ตรีอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ผมไม่ค่อยซาบซึ้งอะไรกับประเด็นเรื่อง "การเมืองของพื้นที่" สักเท่าไหร่ แต่พอจบออกมา กลับยิ่งรู้สึกว่ามีการเล่นการเมืองเรื่องพื้นที่อย่างหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในมธ.ท่าพระจันทร์ (นับตั้งแต่การสร้างห้องประชุมวรรณไวทยากร ไปจนถึง การตัดพื้นที่สนามบอลซึ่งมีความเชื่อมโยงลึกซึ้งกับประวัตศาสตร์การต่อสู้ของธรรมศาสตร์เพื่อสร้างลานอะไรบางอย่าง)ซึ่งไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการย้ายธรรมศาสตร์ไปรังสิตอยู่มากน้อยเพียงไร

11:42 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Today, TU is even more yellow than CU.

I used to love TU because TU taught me to love the people. But that's not the case any more...

2:29 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แม้ผมเองจะไม่เคยศึกษาที่ มธ.

หากแต่ ยอมรับและชื่นชม แนวทางที่คน มธ. และ มธก. ในอดีตได้ชี้แนะและสร้างประโยชน์สู่สังคมและ "ประชาชน" อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน...

แม้นในปัจจุบัน สังคม มธ. จะดูแปร่งๆ บิดเบี้ยวไปบ้าง
จาก คนใหญ่ๆโตๆบางคน ที่บริหาร มธ.เอง ที่สามารถใช้สื่อมาแสดงความคิดของตัว
แถมยังพยายาม ที่จะให้คนเขารับรู้ว่า แสดงความเห็นในนามมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ

หลายๆคน ก็เลยอนุมานและเผลอๆไปเหมารวมว่า
เป็นความเห็นในนาม มธ. ทั้งที่เป็นความเห็นของคนในมธ.บางคนเท่านั้น

เรื่องแบบนี้
ผมว่า ช่างมันเถอะครับ
มธ.เอง สมัยโดนเผด็จการคุกคามหนัก
อธิการยังเป็นมีคนอย่างจอมพลทหารมาเป็นเลยครับ

แต่ หลักการด้านใน ก็ไม่ได้เสียไปดอกครับ

ดังนั้น
กับอีแค่ ศ.ดร. ด้านนิติศาสตร์ 1 คน และพรรคพวก จะมาทำอย่างในปัจจุบัน


สำหรับผม..
ผมไม่ห่วง มธ.ดอกครับ

มธ. ก็คือจิตวิญญาณประชาธิปไตยอยู่เสมอครับ

ส่วน คน
เวลา ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง

4:20 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ต้องตำหนิคุณสุรพล นิติไกรพจน์ ก่อนละมังครับ .... รู้สึกแกบิดเบี้ยวมานานแล้ว

6:17 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบท่อนนี้

"...ทั้งนี้ก็เพราะสถาบันสามารถปรับตัวเองได้ มิใยว่าเสรีภาพจะมีมากขนาดไหน ในทางสื่อสารมวลชนถึงขนาดล่วงละเมิดไปยังวิถีชีวิตส่วนพระองค์ขององค์พระประมุขและราชตระกูลอย่างจังๆ แต่ก็ทรงไว้ซึ่งพระขันติธรรม และปรับปรุงสถาบัน แม้จะไม่ถึงกับทันสมัย ก็ไม่ล้าหลังไปเสียเลยทีเดียว ถึงจะล่าช้าไปบ้างหรือขัดขืนประชามติไปบ้าง แต่พอรู้พระองค์ ก็ยอมเปลี่ยนท่าทีอย่างงามสง่า..."

ทำให้เราได้คิดว่า เอาเข้าจริงๆแล้ว สถาบันในบริบทของเรา "เข้มแข็ง" หรือ "เปี่ยมบารมี" แค่ไหน

อย่าลืมว่า สิ่งใดที่มีมาตรการทางกฎหมายคุ้มครองการละเมิดอย่างรัดกุม สิ่งนั้นมักจะเป็นสิ่งที่อ่อนแอ ต้องได้รับการปกป้องทั้งสิ้น เช่น กฎหมายคนพิการ หรือกฎหมายคุ้มครองการทำนิติกรรมของผู้เยาว์

ดังนั้นการขันไขมาตรการเพื่อคุ้มครอง "สถาบัน" มากเท่าไร มันยิ่งมองภาพมุมกลับได้มากขึ้นเท่าน้น

เหมือนที่กระทั่งพระเจ้าอยู่หัวเอง ยังทรงเคยดำรัสไว้ในวันที่ 4 ธันวา ปีที่แล้ว ว่า การที่ฟ้องคดีหมิ่นฯ กันมากๆ คนถูกฟ้อง คนฟ้องไม่เดือดร้อนหรอก แต่พระเจ้าอยู่หัวเดือดร้อน

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องคิดกันให้ดี ในการกำหนด "นโยบายความเข้มงวดในการรักษาพระเกียรติ"

อย่าลืมว่า เราผ่านพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยห้ามออกพระนามกษัตริย์ตรงๆ สมัยห้ามมองพระพักตร มาจนถึงตอนนี้ ถ้าจะมีปรับเปิดกว้างต่อไปอีกหน่อย เพื่อให้เห็นว่าสถาบันนั้น "พระทัยนักเลง" ก็น่าจะดี

8:19 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

"อีแค่ ศ.ดร. ด้านนิติศาสตร์ 1 คน และพรรคพวก จะมาทำอย่างในปัจจุบัน"


คุณ "หมีpooh!" เยี่ยมจริงๆ ครับ ขนาดไม่ใช่ศิษย์ที่นี่ ยังให้ credit สถาบันนี้มากกว่าผม (ซึ่งเป็นศิษย์เก่า) ซะด้วยซ้ำ
ผมหละรู้สึกละอายใจเลย ที่เมื่อเร็วๆ นี้ เคยรู้สึกว่าจิตวิญญาณของ มธ. ได้สูญสลายไปหมดซะแล้ว
post ของคุณ "หมีpooh!" ทำให้ผมได้กลับไปทบทวนและต้องเปลี่ยนความคิดเลยครับ

11:29 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

...ก่อน 19 กันยา

ทหารต้องเป็นทหารของกษัตริย์

...หลัง 19 กันยา

ทหารต้องเป็นทหารของประชาชน

ไม่เป็นไร...เพราะฉันรักธรรมศาสตร์
เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน

3:14 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

...เพราะฉันรักธรรมศาสตร์
เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน...


ไม่เป็นไรหรอก เลิกรัก เลิกแคร์ เลิกสนใจ และ ใส่ใจ ชาวบ้าน ชาวประชา ก็ได้

สมัยนี้ใครๆก็เอาตัวรอดทั้งนั้นแหละ อิงอำนาจเพื่อความก้าวหน้า เพื่อความอยู่รอด จบมหาวิทยาลัย โก้หรูได้เป็นอาจารย์ นักวิชาการ อยู่บนหอคอยหินอ่อน

มองลงมาดูประชาชนต่อสู้เพื่อประชาชนแล้วกัน อย่าลืม เหยียดหยามด้วยสองตา และเย้ยหยันด้วยหนึ่งปาก

ผมเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่า..

..ไม่มีพลังใดจะยิ่งใหญ่เท่าพลังของประชาชน..
สัญชาตญาณของการรักชีวิต สิทธิเสรี และ ความเป็นธรรม มันมีอยู่ในสายเลือดทุกหมู่เหล่าแหละ

ประชาชน ณ วันนี้คงต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง ผมเขียน Comment นี้ด้วยความรู้สึกที่เศร้าๆ ไงไม่รู้ คงเป็นเพราะ ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกัน ที่ไม่ได้จบห่าเหว ไม่ได้เป็นเทวดาทางวิชาการอะไร รู้สึกเศร้าที่ หลายๆ ครั้ง ธรรมศาสตร์เป็นแกนหลัก เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่ ณ วันนี้ ธรรมศาสตร์นั่งกินโต๊ะจีน จุดผลุฉลองในขอบเขตรั้วมหาลัย ในขณะที่ด้านนอก คนจำนวนเล็กน้อย อ่อนกำลัง เดินประท้วงขับไล่เผด็จการ


แต่ไม่เป็นไร ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกของสังคม เชื่อว่าวันหนึ่ง ประชาชนจะได้ชัยชนะ

ยังคงเชื่อต่อไป

6:40 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เกือบลืม

ขอปรบมือ และ ชื่นชม อาจารย์ธรรมศาสตร์ ทั้ง 4 ท่าน คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ ที่ยืนเคียงข้างความถูกต้อง ออกมายื่นแถลงการณ์ขับไล่เผด็จการนับแต่วันแรกเลย

จะบอกว่ามีคนเห็น มีคนรับรู้ มีคนแอบให้กำลังใจ และ ปลื้มใจ

จะขอเป็นกำลังใจให้ต่อไปครับ

6:59 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

"ธรรมศาสตร์นั่งกินโต๊ะจีน จุดผลุฉลองในขอบเขตรั้วมหาลัย"

ทุนนิยมมันคืบคลานเข้ามาในหัวใจของคนที่นี่ไง
ไม่ใช่สิ มันได้เวลาี่แสดงออกอย่างไม่เคอะเขินต่างหาก
เพราะมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกผู้์อยู่แล้ว

เราผ่านเวลาการต่อสู้มานานแล้ว จะนั่งชิมผลลัพธ์ของความเหนื่อยยากบ้าง จะเป็นไร

7:15 หลังเที่ยง  
Blogger Soulseeker กล่าวว่า...

ถ้าจะแก้เรื่องความคิดหรือจิตวิญญาณคงต้องแก้ที่ต้นขั้วหัวกบาลก่อน นั่นคือยุค

ยุคที่มิใช่ยุค ศรีอาริยะ

แต่เป็นยุคสันขวานเงินตราเป็นพระเจ้า การบริโภคเป็นแม่ของพระเจ้าอีกทีหนึ่ง
transnational corporation เป็นโบสถ์
corporate executives เป็นบาทหลวง
corporate financier เป็นมิชชั่นนารี
และมีผมและอีกหลายคนเป็นทาสแห่งมัน ในความรัญจวนของ marketing

Is another world could be possible?

จากเด็กมธ.รสนิยมสุดจะสาธารณ์

10:27 ก่อนเที่ยง  
Blogger Soulseeker กล่าวว่า...

ถ้าจะแก้เรื่องความคิดหรือจิตวิญญาณคงต้องแก้ที่ต้นขั้วหัวกบาลก่อน นั่นคือยุค

ยุคที่มิใช่ยุค ศรีอาริยะ

แต่เป็นยุคสันขวานเงินตราเป็นพระเจ้า การบริโภคเป็นแม่ของพระเจ้าอีกทีหนึ่ง
transnational corporation เป็นโบสถ์
corporate executives เป็นบาทหลวง
corporate financier เป็นมิชชั่นนารี
และมีผมและอีกหลายคนเป็นทาสแห่งมัน ในความรัญจวนของ marketing

Is another world could be possible?

จากเด็กมธ.รสนิยมสุดจะสาธารณ์

10:31 ก่อนเที่ยง  
Blogger Soulseeker กล่าวว่า...

ถ้าจะแก้เรื่องความคิดหรือจิตวิญญาณคงต้องแก้ที่ต้นขั้วหัวกบาลก่อน นั่นคือยุค

ยุคที่มิใช่ยุค ศรีอาริยะ

แต่เป็นยุคสันขวานเงินตราเป็นพระเจ้า การบริโภคเป็นแม่ของพระเจ้าอีกทีหนึ่ง
transnational corporation เป็นโบสถ์
corporate executives เป็นบาทหลวง
corporate financier เป็นมิชชั่นนารี
และมีผมและอีกหลายคนเป็นทาสแห่งมัน ในความรัญจวนของ marketing

Is another world could be possible?

จากเด็กมธ.รสนิยมสุดจะสาธารณ

12:43 หลังเที่ยง  
Blogger bact' กล่าวว่า...

เห็นเสื้อเชียร์แล้ว เอ่อ...

ก็เข้าใจนะ แต่มันเยอะไปหน่อยแล้วรึเปล่า ? - -"

คิดว่าคงซื้อล่ะ แต่คงใส่เสื้อปีอื่นไปแทน ถ้าไป


วันที่ 10 ไปสังเกตการณ์การชุมชุมมาที่สนามหลวง
ในสนามหลวงคนบางตา
ที่แน่นขนัด เหมือนมีงานรื่นเริง โน่น ดังมาจากหน้าคณะนิติ
ตรงลานประวัติศาสตร์น่ะแหละ
(เป็นลานประวัติศาสตร์ที่มีอะไรหลาย ๆ อย่างขัดแย้งในตัวเองอยู่ ลองไปอ่านป้าย "หมายเลข 8" หน้าต้นยูงทองดู)

7:36 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ทหารไทย มั่นใจ เราทำได้
อำนาจไซร้ นี่หนา ฉันหวงแหน
พ่อค้าไพร่ ปกครอง แสนแร้นแค้น
ทำการแทน ปฏิวัติ เอาคืนมา

ทำหน้าเศร้า เล่าความ ชาติฉิบหาย
แสนเสียดาย คนไม่รู้ อนาถหนา
แสร้งร้องไห้ รักชาติ เหลือพรรณา
โอ้ชีวา ฉันนี้ พลีให้ไทย

ในใจนี่ คงหัวเราะ กูเล่นเก่ง
เล่นตัวเกร็ง ทำหน้าเศร้า ห่วงกันไหม
มาวันนี้ เล่นบท พ่อพระไง
จะช่วยไท ชาตินี้ ให้แข็งแรง

เคยถามไหม คนไทยเห็น ด้วยจริงหรือ
เสียงร้องอื้อ คอมอชอ มายื้อแย่ง
ปล้นอำนาจ เอาชาติไทย ไปปันแบ่ง
แล้วสาบแช่ง คนเก่า ทำเสียหาย

กรอกหูคน พอเพียงไซร้ อยู่ได้แน่
จริงแน่แท้ นำคำพ่อ ตีหลากหลาย
บอกให้เชื่อ กล่อมหู เป็นอุบาย
หลอกให้ตาย ใจแล้ว ยึดไม่วาง

อำนาจนี้ หอมหวน ทำคนเสีย
ทำไม่เคลียร์ คนมันชั่ว ก่นถางถาง
มุ่งเข้ามา ล้างแค้น บ่ หันวาง
หมาหวงก้าง ที่แท้นี้ คอมอชอ

ขยันทำ แต่เรื่องที่ ตนไม่รู้
คนอดสู เพลียใจ มันเหลือขอ
หวยเหล้ายา ทำมั่ว เห็นแล้วส่อ
ให้คนล้อ เลียนว่า โง่แต่ขยัน

ปัญหาใต้ รบไม่เป็น แถมไม่สู้
ทำเป็นรู้ ขอโทษโจร เจอแสบสันต์
ทำให้วาย ชาติไทย ตายทุกวัน
นายกฯนั้น ยังไม่พอ ขอกราบโจร

นี่แหละหนา สันชาติ ขุนนางเก่า
ปากพร่ำเล่า คุณธรรม สอนเป็นโขน
ในใจแท้ ชนชั้นไพร่ แล้วทำโยน
ไอ้กระโถน คุณทักษิณ มันทำเสีย

จึ่งจำเป็น ต้องทำ ยึดอำนาจ
แต่จริงขาด เขลากลัว ใจมันเพลีย
เขาไม่อยู่ วันสิบเก้า รัฐอ่อนเปลี้ย
อ้างคนเชียร์ ล้มล้าง ประชาธิปไตย

ยึดเขามา เท่ห์จริง กูแสนเก่ง
ทำเป็นเบ่ง จะปัดเป่า เร่งผลักไส
ให้ความชั่ว มัวซัว ออกจากไทย
แต่จริงไซร้ กบในกะลา พอพอกัน

คนมันชั่ว โง่เขลา เบาปัญญา
ขันอาสา เข้ามา คนขำขัน
ฉันไม่เชิญ ไม่ชอบ ทำกีดกั้น
ทหารนั้น รักชาติเป็น กลุ่มเดียวหรือ

จริงแน่แท้ อำนาจไซร้ มาจากพ่อ
ไม่ต้องรอ คืนท่านไป อย่าทำหือ
จัดเลือกตั้ง เร็วพลัน ให้ร่ำลือ
ทำไขสือ ยึดมั่น เดี๋ยวบรรลัย

คุณเป็นไท ฉันเป็นไท อย่าแบ่งแยก
อย่าทำแปลก ถือตัว หวงเอาไว้
แต่พวกเดียว แล้วบอก ฉันนี่ไง
รักชาติไทย น้ำลายไหล กินกันเอง

คืนอำนาจ อธิปไตย ปวงชนเถิด
อย่าละเมิด สิทธิ์ไทย อย่าอวดเบ่ง
ให้คนเขา สรรเสริญ ไม่ต้องเพ่ง
ไทยร้องเพลง ชาติไทย สามัคคี

ทำได้ไหม ทำได้จริง คนโห่ร้อง
จะแซ่ซร้อง อวยชัย แสนสุขขี
ทหารไทย หาญกล้า ประชาชี
ไทยมั่งมี น้ำใจงาม อบอุ่นใจ
โดย : ชอบกลอนนี้จัง

5:10 ก่อนเที่ยง  
Blogger bact' กล่าวว่า...

Siam Rumoured: the Thongchai lecture in London

1:31 ก่อนเที่ยง  
Blogger crazycloud กล่าวว่า...

เหลืองของเรา

คือ ธรรม ประจำจิต

แดงของเรา

คือ โลหิตอุทิศให้

สงสัยจะเกิดขบวนการใช้มายาคติทางการเมืองตีความออกน้ำอออกทะเล

ด้วยเหตุนี้ นิติรัฐ จึงเสนอให้แยกกฎหมายของจากศีลธรรม เพราะนิติรัฐไม่ชอบสีเหลือง คือ ธรรม กระมัง

ด้วยเหตุนี้ นิติรัฐ จึงออกใบประกาศต่อต้าน คปค.แล้วหนีกลับกรุงฝรั่งเศส เมืองแม่ทางวิชาการของนายนิติรัฐเพราะกลัวเสียเลือด จึงไม่อาจกล่าวได้ว่านายนิติรัฐเป็นพวกสีแดง

ดังนั้น หากนายนิติรัฐ จะเอาสีของธรรมศาสตร์ มากกล่าวอ้างเขียนเล่น ก็ดูจะตื้นเขินยิ่งนัก

เพราะนิติรัฐ เป็นนักวิชาการ ผู้เชื่องต่อความคิดทางการเมือง สมัยปี หนึ่งเก้า ขณะที่นายนิติรัฐยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป

เหลือง คือ ธรรม ธรรม คือ ความจริง ความจริงของราชาผู้ทรงธรรม คือทศพิธราชธรรมที่ในหลวงทรงมี

แดง คือ ความกล้าหาญของชาวธรรมศาสตร์ ที่หลั่งได้แม้โลหิต อุทิศด้วยการปฏิบัติต่อประชาชน มิใช่แช่งชัก ดูถูกประชาชนคนยากไร้ในที่ชุมนุม

เหลือง แดง ของนายนิติรัฐ ช่างอ่อนเยาว์ ร้ายเดียงสาซะยิ่ง

6:12 ก่อนเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

และแล้ว เขาก็มา..
จนได้

8:58 ก่อนเที่ยง  
Blogger Unknown กล่าวว่า...

www0815
nike soldes
christian louboutin shoes
pandora
oakley sunglasses
christian louboutin shoes
ugg boots clearance
mulberry uk
fitflops sale
reebok
pandora jewelry

10:06 ก่อนเที่ยง  
Blogger Unknown กล่าวว่า...

pure boost
yeezy boost
stephen curry 5
lebron 15 shoes
cheap mlb jerseys
kyrie shoes
air max
coach outlet online
supreme hoodie
yeezy shoes

9:21 ก่อนเที่ยง  

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก