วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 06, 2548

๒๙ ปี ๖ ตุลา


รูปนายตำรวจคาบบุหรี่มาดเท่ห์ถือปืนลั่นไกยิงเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างไม่สะทกสะท้านราวกับตนเป็นคาวบอยหรือเจ้าพ่อ อัล คาโปนก็มิปาน ผมจำความได้ว่าเห็นมันครั้งแรกเมื่อตอนผมอยู่ชั้นมัธยมต้น

ผมสงสัยจึงไตร่ถามพ่อ พ่อผมผู้เรียนหนังสือจบชั้นประถม ๔ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ๖ ต.ค. ๒๕๑๙ เกิดการล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรโดยฝีมือของกลุ่มขวาจัดที่คิดว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นภัยต่อราชบัลลังก์ และมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ซับซ้อนจนไม่อาจเปิดเผยในที่สาธารณะได้

ด้วยความรู้เท่าหางอึ่งที่ยังแยกไม่ออกว่า ๑๔ ตุลา ๑๖ กับ ๖ ตุลา ๑๙ แตกต่างกันอย่างไร ผมจึงไปขอความรู้เพิ่มเติมจากมาสเตอร์สอนวิชาสังคมศึกษาที่โรงเรียน

มาสเตอร์บอกผมว่า นักศึกษาในช่วงนั้นเหิมเกริม กำเริบ คิดการณ์ใหญ่ จะเปลี่ยนแปลงเมืองไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อนบ้านของเราเป็นคอมมิวนิสต์กันหมดแล้ว อีกไม่นานคอมมิวนิสต์จะเข้ามากินประเทศไทย ประชาชนจึงเกรงว่าไทยจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์จึงต้องร่วมมือกันสู้กับนักศึกษา

สมควรกล่าวด้วยว่า บางครั้งมาสเตอร์ก็เรียกเหตุการณ์ ๑๖ ตุลา และมาสเตอร์คนเดียวกันนี้เคยบอกผมว่าปรีดีเป็นคนอยู่เบื้องหลังในกรณีสวรรคตในหลวงอานันท์

จนกระทั่งก้าวเข้าสู่มัธยมปลาย ผมเริ่มเสาะหาหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาอ่าน เมื่อผมก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จากการเรียนวิชาพื้นฐานตอนปี ๑ ที่อาจารย์ชาญวิทย์เป็นผู้สอน จากการค้นคว้าอ่านหนังสือสะสมเรื่อยมา ผมจึงเริ่มปะติดปะต่อพอเข้าใจว่า ๖ ตุลา มีที่มาและที่ไปอย่างไร

ผมพบว่าคนอย่างมาสเตอร์ในยุคสมัยนั้นคงมีมากเอาการ

มากถึงขนาดที่ฆ่านักศึกษาสายเลือดไทยเหมือนกันได้อย่างโหดเหี้ยม เลือดเย็น
มากถึงขนาดโห่ร้องสะใจยามเห็นนักศึกษาถูกฆ่าหรือทารุณกรรม
มากถึงขนาด “ฆ่าซ้ำสอง” ด้วยการนำเหล็กตอกซ้ำลงบนร่างของนักศึกษาที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว
มากถึงขนาดเตะต่อยเอากับร่างไร้วิญญาณที่ถูกแขวนคอ
มากถึงขนาดสาดกระสุนเข้าไปในหมู่นักศึกษามือเปล่า
มากถึงขนาดลากเอานักศึกษาที่หลบภัยอยู่ในวัดออกมาให้ตำรวจจับ
และ มากถึงขนาดกระทำการอุกอาจเช่นว่ากลางท้องสนามหลวง หน้าพระราชวังและวัดพระแก้ว

....................

ตลอดวันนี้ทั้งวัน ผมเปลี่ยนชื่อในเอ็มเอสเอนเป็น “๖ ตุลา ลืมไม่ลง คนในรูปยังไม่ได้รับโทษ” แล้วเอารูปของนายตำรวจคนนี้ขึ้นโชว์

มีคนเข้ามาทักทายผมเป็นจำนวนมาก

“๖ ตุลา คืออะไรคะ”
“แล้วคนในรูปคือใครเหรอ”
“ตำรวจคนนี้เค้าไปทำอะไรคะ”
“พี่ๆ นี่โปสเตอร์ปิดหนังไทยสมัยก่อนเหรอ โคตรเท่เลย”

ไม่น่าแปลกใจที่ ๖ ตุลาถูกหลงลืมจากสายธารแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกันที่บางคนเรียกเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา เป็น ๑๖ ตุลา

ผมนำรูปนายตำรวจคนนี้ขึ้นโชว์ในเอ็มเอสเอ็นและตั้งชื่อในเอ็มเอสเอ็นเช่นว่านั้น ไม่ใช่ว่าผมอาฆาตหรือเคียดแค้นนายตำรวจแต่อย่างใด ผมซึ่งเกิดไม่ทัน ย่อมไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเหตุการณ์ ๖ ตุลา พ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายก็ไม่มีสักคนเดียวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม

ทว่าผมทำไปเพื่อเรียกความทรงจำแก่ผู้ผ่านเข้ามาในโลกไซเบอร์สเปซว่าสังคมไทยเคยเกิดเหตุการ์สังหารหมู่ ณ ใจกลางมหานคร ฆาตกรทั้งหลายยังไม่ได้รับโทษใดๆเลย ส่วนรูปภาพของนายตำรวจผมเห็นเป็นสัญลักษณ์ของ “อำนาจ” ที่ถือสิทธิในการ “ฆ่า” คนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

ภาวนาว่า ๖ ตุลา จะไม่ย้อนกลับมาเกิดกับสังคมไทยอีก เป็นเรื่องแปลก มนุษยชาติผ่านสงคราม การฆ่า การนองเลือด มาหลายต่อหลายครั้ง แต่มนุษย์ก็ไม่เคยเก็บมาเป็นบทเรียน

หรือมนุษย์จะเหมือนไดโนเสาร์ที่ต้องฆ่ากันเองจนสิ้นเผ่าพันธุ์ ?

10 ความคิดเห็น:

Blogger ratioscripta กล่าวว่า...

สะเทือนใจเหมือนกันแม้จะไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ (และก็ไม่สามารถระลึกชาติได้ว่าตอนนั้นอยู่ตรงไหนในจักรวาลอันไพศาล)

ผมมารับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวหลังจากที่ผมเกิดได้ร่วมยี่สิบปี ช้ากว่านายนิติรัฐร่วมสิบปีได้

ตอนดูวีดีโอฉายภาพอันน่าสังเวช ตอนเรียนปีหนึ่ง น้ำตาไหลไม่รู้ตัว ขนลุก เพราะไม่คิดว่า "คน" กับ "คน" จะทำกันได้เยี่ยงนี้

ขอกระชากอารมณ์กลับมานิดนึง

........

บรราดคนที่เข้ามาทักมึงดังที่มึงกล่าวไว้ กูสังเกตแล้วพบว่า

มีแต่ลงท้ายประโยคด้วย "เหรอคะๆ"

ไม่ทราบว่า

ในลิสต์มึงนี่ มีเพศผู้สักกี่หน่อครับ

หรือเลือกบล็อกตามเพศ

ไม่ได้จับผิดนะ ก็หลักฐานมันโทนโท่

7:00 หลังเที่ยง  
Blogger Etat de droit กล่าวว่า...

ว่าแล้วเชียว

ถ้าผมโพสบล็อกตอนนี้ บล็อกตอนพระราชอำนาจจะต้องหาย

ผมคิดว่าคงหมดปัญญากู้คืนมาได้แล้วล่ะ

แต่คุณปิ่น ปรเมศวร์เป็นคนรอบคอบ ละเอียด ประณีต (สาวๆโปรดรับไปพิจารณา) จึงนำบล็อกตอนดังกล่าวไปโพสไว้ในบล็อกของเขา

ทำให้บล็อกตอนพระราชอำนาจจึงไม่หายไปจากโลกไซเบอร์สเปซ

ใครสนใจอ่าน เชิยไปที่บล็อกปิ่น ปรเมศวร์ได้

ขอบคุณคุณปิ่นมา ณ ที่นี้

ใจบุญอย่างนี้ ขอให้มีสาวๆมารายล้อมมากๆนะครับ

7:01 หลังเที่ยง  
Blogger Tanusz กล่าวว่า...

ผมเพิ่งมาได้ดูวีดีโอชุดนั้น ตอนอยู่ปีสอง รู้สึกว่าตอนนั้นมีงานเดือนตุลาที่ธรรมศาสตร์ ยืนดูอยู่ไม่ถึง 5 นาที ทนดูต่อไม่ไหว

ทั้งที่ๆ ผมก็เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่อารมณ์ความรู้สึกมันคนละเรื่อง จำได้ว่าในวีดีโอมีถ่ายติดไอ้ตำรวจนี่ด้วย และถ้าจำไม่ผิดมันพูดว่า "ลูกปืนลูกละไม่กี่ตังส์ ใช้ฆ่าพวกห่านี่คุ้ม"

3:42 หลังเที่ยง  
Anonymous ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สารภาพตรงๆ ว่าลืมเรื่อง 6 ตุลา ไปเลย
มัวแต่วุ่นวายกับการงานสัปดาห์หนังสือ

เข้ามาอ่านบล็อคนี้แล้วสะดุ้ง นี่เราลืม 6 ตุลาไปเลยหรือ ขอบคุณที่ย้ำเตือนกันด้วยภาพนี้
ทำให้คิดได้ว่าความรุนแรงจากอำนาจรัฐ
ไม่เคยตกยุคสมัยจริงๆ

7:03 หลังเที่ยง  
Blogger crazycloud กล่าวว่า...

6 ตุลา วันที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่มีคนเข้าใจน้อยที่สุด และหลงลืมมากที่สุด

หกตุลา เป็นหน้าประวัติศาสตร์อันน่าชังของความเป็นคนไทย

เป็นประวัติศาสตร์ที่แสดงออกถึง การยึดติด ในแบบแผนความคิดจนนำไปสู่การฆ่าฟัน

มีเยาวชน คน หนุ่มสาว ที่ถูกทำร้ายจาก ลุงป้า น้าอา ของเขาเอง

มีการยืมดาบฆ่าคน เสี่ยมเขาโคให้ขวิดกัน

เป็นความไร้ความรับผิดชอบ ชั่วร้าย ของอำนาจรัฐหรือกระบวนการขวาจัด ที่ระยำตำบอนยิ่วกว่า 14 ตุลาหลายเท่า

เป็นประวัติศาสตร์ สังเวช ที่ประชาชน ลุกขึ้น กินเลือด เถือเนื้อ กันเอง

เป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ สัตว์บนโลกชนิดเดียวที่เข่นฆ่ากันเองบ่อยครั้งที่สุด กว่าสัตว์ชนิดอื่น ทั้งที่เรียกตนเองว่า "สัตว์ประเสริฐ"

ท้ายที่สุด ในวันที่ 6 ตุลา ผมกลับมายืนที่จุดเกิดเหตุ ในธรรมศาสตร์ กลับไม่พบสิ่งใดอีก นอกจากการรำลึกของคนกลุ่มเล็กๆที่นั่งฟังดนตรีขับกล่อม

ไม่มีแม้เงานักศึกษาธรรมศาสตร์ ผู้ลุ่มหลงมัวเมาไปกับยุคสมัย สักคน ที่จะคำนึงให้สักห้วงของลมหายใจ ของเหยื่อ ความรุนแรง

หรือเรา ที่ชาวบ้านเรียกขาน "ปัญญาชน" จะตกเป็นเหยื่อของ "ยุคสมัย" ที่มาแทนที่ มัด เท้า และกระสุนปืน

ขอขอบคุณ "นิติรัฐ" ชายในแดนไกลที่ยังไม่ลืม และยังย้ำเตือนความรับรู้แก่เรา

11:25 ก่อนเที่ยง  
Blogger sweetnefertari กล่าวว่า...

ตอนทำรายงานเรื่อง 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภาทมิฬ เป็นการทำรายงานที่เรียกว่าได้ว่า เป็นรายงานที่น้ำเยอะที่สุดเลย ไม่ใช่เขียนเพ้อเจ้อหรอกนะ แต่เพราะอะไรนะรึ ก็ทำไปร้องไห้ไปงัย น้ำตานองหน้าเลย น้ำมูกด้วย(แหวะ)

ไม่รู้อินอะไรนักหนา

เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ทำภาคนิพนธ์ เรื่องแรงงานพม่า และรายงานเรื่องขบวนการนักศึกษาอินโด ว่างๆจะเอามาเขียนในบล็อกบ้าง อิ อิ

11:01 หลังเที่ยง  
Blogger sweetnefertari กล่าวว่า...

ปล.
เพิ่งรู้ว่าไดโนเสาสูญพันธ์เพราะฆ่ากันเอง ^_^

ที่รู้มาเนี่ย เค้าบอกว่าทฤษฎีที่ยอมรับกันมี 2 ทฤษฎี คือ
1.อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2.อุกาบาตพุ่งชนโลก

งุงิ..

3:38 หลังเที่ยง  
Blogger Etat de droit กล่าวว่า...

ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่คิดว่าส่วนนึงก็น่ามาจากฆ่ากันเองมั่งแหละ

คือผมหมายความว่า สิ่งมีชีวิตยุคโบราณๆๆๆน่ะ มันจะฆ่ากันเองเพื่อเอาตัวรอดไง

3:59 หลังเที่ยง  
Blogger sweetnefertari กล่าวว่า...

งั้นก็ไม่เห็นจะโบราณๆๆๆๆๆตรงไหนนี่นะ ออกจะร่วมสมัย ว่ามะ 55

รักนะ...เด็กโง่

10:01 หลังเที่ยง  
Blogger sweetnefertari กล่าวว่า...

ล้อเล่นนะ แต่รักจริง

2:17 หลังเที่ยง  

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก